พิชิตใจนายปีศาจ - ตอนที่ 51
ตอนที่ 51 วัยรุ่นภายใต้แสงที่ย้อนลงมา
จันวิภาตกใจหันหน้ากลับไป มองไปที่หน้าประตูนั้น ใด้ แสงย้อนแยงตานั้นปรากฏวัยรุ่นร่างสูงหล่อเหล่าดูสง่าอยู่
วัยรุ่นคนนั้นใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่ทำให้คนรู้สึกถึง ความสดใจและอ่อนวัย
แต่ว่า ตอนที่เขามองเรื่องที่เกิดขึ้นในนี้แล้ว รอยยิ้มดูแฝง ไปด้วยความเขินอายและสงสัยขึ้น: “เอ่อ….รบกวนหน่อยครับ”
วัยรุ่นคนนั้นรีบหันตัวอยากจะออกไป สุมิตรรีบเอาผ้าห่ม คลุมจันวิภาไว้แล้วพูดขึ้น: “รอก่อน”
วัยรุ่นคนนั้นก็หยุดฝีเท้าแต่ไม่หันกลับมาแล้วพูดอย่าง สงสัยขึ้น: “พี่ มีอะไรเหรอ?”
สุมิตรเบะปากพร้อมพูด ขึ้น : “ทำไมอยู่ๆนายถึงมาที่นี้ได้?”
วัยรุ่นยักไหล่ขึ้นพร้อมโบกมือ: “ผมพึ่งจะลงเครื่องมา อยากจะเซอร์ไพรส์สักหน่อย” วัยรุ่นคนนั้นพูดจนก็ปิดประตู แล้วเดินไป เสียงยิ่งฟังยิ่งรู้สึกเดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
สุมิตรมองไปที่จันวิภาที่ยังงงอยู่ก็ขมวดคิ้วขึ้น: “จะมัวงง อะไรอีก รีบใส่เสื้อแล้วลงไปข้างล่าง”
จันวิภามองเขมงไปที่สุมิตรหนึ่งที่และพูดอย่างไม่พอใจ ขึ้น: “ตอนคุณกระชากเสื้อผ้าฉันคุณไม่เคยคิดอะไรเลยใช่ ไหม?
สุมิตรหาเสื้อเชิ้ตสีขาวจากตู้แล้วโยนให้จันวิภา:
“ใส่นี้ก่อนแล้วกัน”
จันวิภาใส่เสื้อเชิ้ตที่สุมิตรให้มา เธอรู้สึกว่าบนเสื้อตัวนั้นมี กลิ่นหอมจางๆอยู่ กลิ่นหอมนี้กลิ่นเหมือนกับกลิ่นเป็นกายของสุ มิตร พอคิดถึงจุดนี้คิ้วก็ขมวดขึ้น
“คนเมื่อกี้เรียกเธอว่าพี เขาเป็นน้องชายเธอเหรอ?” จัน
วิภาถาม
สุมิตรมองอย่างเย็นช้าแวบหนึ่งแล้วตอบ: ใช่ เขาชื่อ
เวธัส”
จันวิภาตกใจ ในขณะนั้นเองใจลึกๆของจันวิภาก็รู้สึกเศร้า ขึ้น เธอรู้สึกเธอไม่เพียงรู้เรื่องของสุมิตรน้อยมาก แม้แต่เรื่อง ของครอบครัวเขาเธอยังไม่รู้จักสักคนเดียว
แต่โชคยังดีที่จันวิภาชินกับเรื่องแบบนี้ตั้งนานแล้ว
ด้านล่าง
เวธัสนั่งกางขาชิดอยู่ที่โซฟา มุมปากมีรอยยิ้ม แสงสว่าง และความไร้เดียงสาของเขาทำให้สาวใช้หลงใหลสุดขีด เวธัส เป็นคนใจกว้างไม่ว่าจะเป็นใครก็จะไม่เก็บรอยยิ้มไว้
สุมิตรและจันวิภาแต่งตัวเรียบแล้วเดินลงมาจากข้างบน
เวธัสเรียกอย่างสนิทสนม
แต่ตอนที่เขามองใบหน้าสุดเย็นชาของสุมิตรนั้น ในท้อง ของเขาก็เหมือนถูกบังคับให้กระอักกระอวนขึ้น
เงียบสงัดไปสักพัก
เวธัสก็เอ่ยปากขึ้น: “พี่ ไม่ใช่ฉันรบกวนช่วงเวลาความสุข ของพี่ใช่ไหม? ทำไมดูหงุดหงิดล่ะ?”
เวธัสทำหน้าให้ด้านยิ้มขึ้น แล้วไปนั่งข้างสุมิตร ยื่นมีมา จับที่ไหล่ของเขา: “แฟนของพี่สวยมากเหรอไง”
สุมิตรเอามือของเวธัสที่ไหล่ออกแล้วพูดอย่างเรียบๆ “ทำไมไม่เรียนที่เมืองนอกให้ดี หนีกลับมาทำไม?”
เวธัสถอดหายใจพูดอธิบายขึ้น: “เรียนเมืองนอกเหรอฉัน จบแล้ว ไม่งั้นจะหนีกลับมาทำไม”
สุมิตรพูด: “จริงเหรอ?”
เวธัสเบะปาก: “จะหลอกพี่ไปทำไม แล้วครั้งนี้ผมกลับมา เตรียมเรียนต่อ โรงเรียนก็หาเรียบร้อยแล้วด้วย”
สุมิตรตัดบท ขมวดคิ้วพร้อมพูดขึ้น: “ฉันว่านายน่าจะกลับ มาทำงานให้ตระกูลได้แล้ว ทำไมเรียนเยอะแยะ นายฉลาดอยู่ แล้ว อดทนสัก 2 ปี ยังไงก็ไปรอด”
น้องชายของสุมิตรคนนี้ดีไปซะทุกด้าน แต่เมื่อพูดถึงเรื่อง การค้าล่ะก็รอยยิ้มของเขาก็จางหายไปทันที
เวธัสพูด: “ได้ เรื่องของฉันพูดไปก็ไม่สนุก งั้นพี่แนะนำ แฟนให้ฉันฟังหน่อยสิ?” ลักษณ์คิ้วที่เหมือนยิ้มของเวธัสเหมือน กำลังวิเคราะห์จันวิภาอยู่ครู่หนึ่ง
ในขณะเดียวกันจันวิภากรพบว่า ใบหน้าแสนจะเนียนใสเยาว์วัยไม่มีความดุดันแบบสุมิตร ราวกับแสงสว่างที่ถูกส่องมา สองพี่น้องนี้ราวกับคนละขั้วกัน
แม้ว่าจันวิภาจะเพิ่งเคยพบหน้าเวธัสครั้งแรก คำพูดสัก ประโยคก็ยังไม่ได้พูด ก็ถูกคนหนุ่มคนนี้ทำให้รู้สึกดีซะแล้ว สุมิตรมองไปที่จันวิภาพูดขึ้น: “เธอไม่ใช่แฟนของฉัน”
จันวิภาก้มหน้าลง สุมิตรไม่ปล่อยโอกาสที่จะทำให้เธอาย
ไปได้หรอก
แต่สุมิตรกลับยิ้มแล้วพูดขึ้น : “เธอเป็นภรรยาของฉัน”
พอคำพูดนี้ออกมาไม่ใช่แค่จันวิภาตกใจเท่านั้น เวธัสก็ไม่ ต่างกัน แต่จันวิภารับรู้แล้วไม่ได้แสดงออกมาได้แต่เก็บไว้ใน ใจลึกๆ
สุมิตรโบกมือไม่พูดอะไร!
เวธัสต่อยแรงๆเข้าไปที่สุมิตรที่หนึ่งแล้วพูดอย่างโมโท ขึ้น: พี่แต่งงานยังไม่บอกผมเลย? แกล้งผมอยู่หรือเปล่าเนี่ย?”
สุมิตรมองเวธัสตกใจสักพักก็รู้สึกไม่พอใจ แล้วรีบจับไหล่ น้องชายของตัวเอง: “ที่ฉันแต่งงานกับเธอเพราะเรื่องของธรุกิจ ตระกูลเลยรีบไปหน่อย ฉันรู้ว่านายกำลังตั้งใจเรียน ไม่อยากจะ
รบกวนนายแค่นั้น”
เวกัสเหมือนถูกคนหลอกยังไงอย่างงั้น โกรธเดือดตาลอยู่ ในนั้น พูดอย่างงงงงออกมา: “พี่ ในชีวิตนี้พี่จะแต่งงานกี่ครั้ง กัน เรื่องนี้กลับไม่บอกฉันเลยสักนิด”
สุมิตรมองไปทจนวิภา ทง2คนไม่พูดอะไร บรรยากาศ กดดันยิ่งขึ้น แต่ผ่านไปคนที่ทำบรรยากาศนี้ขึ้นอย่างเวธัสก็ ปลอบใจตัวเองได้ สะบัดมือไปมา: “พอแล้ว พอแล้ว เรื่องที่ ผ่านมาช่างมัน”
สุมิตรยิ้มให้น้องชายคนนี้หนึ่งที่ เขารู้ว่ายังไงเวธสก็ไม่มี ทางโกรธได้ตลอดหรอก
ทั้งสองไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี พอเริ่มคุยกัน ก็ลืมไปแล้ว ว่าจันวิภาอยู่ที่นี่
จันวิภาฟังเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของสองพี่น้อง อยู่ๆก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ต่างจากคนนอก จึงค่อยๆออกไปจากที่ นั่งอย่างเงียบๆแล้วมุ่งไปทางประตู
จันวิภาออกไปที่สวนดอกไม้ข้างนอกคฤหาสน์ เดินเลยพัก สมองมองปลาที่ว่ายน้ำโลกแล่นอยู่ในสระ
จันวิภาก้มลงไปใช้มือจุ่มไปในสระ แต่พอแค่จุ่มลงไปใน น้ำใสใสนั้น กลับมาสามรถทำให้ปลาเหล่านั้นหนีออกไปจาก ปลายนิ้วได้
จันวิภามองเห็นเงาที่สะท้อนกลับด้านหลังของตัวเองจึงหัน หน้าไป ใบหน้าใสใสส่องสว่างไปด้วยรอบยิ้มเข้ากระทบที่ นัยน์ตา
“แท้จริงแล้วพี่สะใภ้เป็นคนที่ดูเศร้าหมองนี่เอง” เวลัสพูด อย่างสนอกสนใจ
จันวิภาไม่รู้จะพูดอะไร เลยถามขึ้น: “เธอกลับมาเรียนอะไรเหรอ?”
เวธัสยกมือกดบนอากาศราวกับบนนั้นมีตัวโน้ัตอยู่ มือ ของเขาเทียบกับสุมิตรแล้วแลดูนุ่มและดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่า
“ตนตรี” เวธัสตอบ: “ แม้ว่าเมื่อก่อนจะเรียนๆเล่นๆไป หน่อย แต่ครั้งนี้จะต้องเตรียมตัวตั้งใจเรียนแล้ว”
จันวิภาตกใจมองเวธสแล้วถาม: “ใช้โรงเรียนของเมืองA
ใช่ไหม?”
เวธัสพยักหน้า
จันวิภาราวกับเจอเพื่อนอย่างงั้น เหมือนเมฆดำลอยผ่าน ไป จันวิภาพูดอย่างดีใจขึ้น: “ฉันพึ่งไปทำเรื่องเข้าเรียนที่นั้น เหมือนกัน”
“จริงเหรอ คิดไม่ถึงเลยว่าซ้อจะชอบดนตรีเหมือนกัน” เวธัสดีใจเหมือนกัน เขาพูดต่อ: “มีซ้อเป็นเพื่อนก็ดีเหมือนกัน ผมยังกลัวจะไม่เหมาะใช้ชีวิตในประเทศนี้”