พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 33 เดินตรวจตรา
ในตอนนี้เอง กริ่งประตูก็ดังขึ้นทันที
วารุณีใช้ไม้เท้าพยุงไปเปิดประตู อารัณก็รีบใช้โอกาสนี้วิ่งกลับเข้าไปในห้อง
เมื่อเปิดประตูออก พงศกรก็แบกกล่องยาเข้ามา ตอนที่กำลังจะทักทาย ก็เห็นว่าในห้องมีแขกอยู่ด้วย
“คุณนัทธี ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้?” พงศกรที่มีแววตาอ่อนโยน จู่ๆ กีสายตาก็พลันเปลี่ยนเป็นความคมกริบขึ้นมา
นัทธีมองออกว่าเขาไม่ค่อยอยากจะต้อนรับตัวเองเท่าไหร่ แถมยังมีความระแวงอีกด้วย เลยหรี่ตาสุกใสนี้ลง
ชายคนนี้ระแวดระวังอะไรเขาอยู่นะ?
วารุณีเห็นว่านัทธีเม้มปากบางๆโดยที่ไม่พูดอะไร เลยเปิดปากตอบเอง “ประธานนัทธีเป็นคนมาส่งพวกเรากลับมา”
“งั้นเหรอ” พงศกรมีแววตาจริงจังขึ้น “ต้องขอบคุณคุณนัทธีมากนะ”
เขายื่นมือไปหานัทธี
นัทธีมองสักพัก แต่ก็ไม่มีท่าทีจะจับมือทักทายเขากลับ ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก ฉันต้องไปแล้วล่ะ”
พงศกรเองก็ไม่ได้โกรธ พลางยิ้มเบาๆ แล้วก็เอามือลง “คุณนัทธีจะไม่อยู่อีกหน่อยเหรอ?”
“ไม่ต้องหรอก” นัทธีพูดออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะก้าวขาเดินออกไปจากประตู
ตอนที่ไหล่เสียดกัน ทั้งสองคนก็สบตากัน ก่อนจะประสานสายตากันสักพัก
ในเวลานั้น นัทธีก็พอที่จะมองพงศกรออกแล้ว
ชายที่เก่งกับการเสแสร้งนั้น ท่าทางอ่อนโยนนั้นมันจอมปลอม ความเย็นชาและยากแท้หยั่งถึงนั้นถึงจะเป็นด้านที่แท้จริงของชายคนนี้
แต่ชายที่จอมปลอมแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าเธอชอบไปได้อย่างไร
เมื่อคิดๆ ไป นัทธีก็หันหัวไปมองวารุณีสักพัก
วารุณียิ้มให้เขาเล็กน้อย โดยที่ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไร เมื่อส่งเขาไปข้างนอก แล้วมองเขาเข้าไปในลิฟต์ ถึงจะหันตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง
ตอนที่ปิดประตูแล้ว อารมณ์ของวารุณีก็ถูกกดลงมาทันที “อารัณ!”
เมื่ออารัณได้ยินเสียงเรียกเธอ ก็เดินออกมาด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “หม่ามี๊…”
วารุณีเดินมาหาอารัณด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “หนูบอกหม่ามี๊มา ว่าทำไมเอาของแบบนี้มากำไว้ในมืออีกแล้ว?ครั้งก่อนก็ดึงผมของน้องมาแล้ว หม่ามี๊ก็บอกหนูแล้ว ว่าอย่าเล่นอะไรแบบนี้อีก ทำไม……”
“หม่ามี๊ขอโทษ หนูรู้ว่าผิดไปแล้ว ครั้งหน้าหนูจะไม่ทำแล้ว” เธอยังไม่ทันพูดจบ อารัณก็ดึงชายเสื้อของเธอ พลางมีท่าทีน่าสงสาร
เมื่อวารุณีเห็นลูกชายออดอ้อน คำพูดที่อยากจะสั่งสอนก็พูดไม่ออกเลย ความโกรธในใจก็ระบายออกมาไม่ได้เช่นเดียวกัน
อีกสักพัก เธอก็ถอนหายใจอีกครั้ง พลางจิ้มหน้าผากของลูกชายด้วยความไร้ทางเลือก “หนูนี่นะ!”
อารัณกอดแขนของเธอ ก่อนจะมีแววตาของความเจ้าเล่ห์ และรู้ว่าเรื่องนี้คงจะรอดตัวแล้ว
“วารุณี เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?” พงศกรที่อยู่ข้างๆ ก็ได้ยินแม่ลูกคุยกัน เลยถามด้วยความงุนงง
วารุณีอธิบาย “เด็กคนนี้ดื้อ จนเกือบจะทำให้ประธานนัทธีไม่พอใจ ยังดีที่ประธานนัทธีไม่เอาเรื่อง ไม่อย่างนั้นฉันคงจะไม่ได้อยู่ในบริษัทต่อไปแล้ว”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เธอก็หยิกแก้มของอารัณ “โอเค เก็บเลโก้ให้ดี ถ้ามีครั้งหน้าอีก หม่ามี๊จะริบให้หมดเลย รู้ไหม?”
อารัณรู้ว่าครั้งนี้หม่ามี๊ไม่ได้ล้อเล่นกับตัวเอง เลยรีบตอบรับ “รู้แล้วล่ะ”
“รู้ก็ดี ไปเล่นเถอะ เดี๋ยวหม่ามี๊จะไปทำอาหารแล้ว”
เมื่อพูดจบ วารุณีก็กลับไปที่ห้องครัว
หลังจากกินข้าวเสร็จ วารุณีก็พาไอริณไปอาบน้ำ ในห้องรับแขกเลยเหลือเพียงอารัณกับพงศกร
อารัณปีนไปข้างๆ พงศกร “พ่อบุญธรรม ช่วยอะไรหนูหน่อยได้ไหม?”
“ช่วยอะไรเหรอ?” พงศกรกำลังเตรียมยาที่เดี๋ยวจะต้องทำความสะอาดแผลให้วารุณี เมื่อได้ยินเด็กคนนี้พูด ก็หยุดทำก่อนจะหันมามองเขา
อารัณมองไปในห้องด้วยความกลัว ก่อนจะหยิบถุงที่ปิดอย่างแน่นหนาสองใบในกระเป๋าออกมา
พงศกรรับมาดู ก่อนจะหรี่ตาลง “เส้นผมงั้นเหรอ?”
“อือๆ นี่เป็นเส้นผมของหนูกับคุณอานัทธี” อารัณพูดเสียงต่ำ
จู่ๆ พงศกรก็รู้ตัวขึ้นมา ใบหน้าที่อ่อนโยนก็จริงจังขึ้นมา “ทำไมเหรอ หนูสงสัยว่าคุณอานัทธีเป็นพ่อหนูเหรอ อยากให้ช่วยตรวจดีเอ็นเอให้งั้นเหรอ?”
อารัณยังไม่สังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปของเขา เลยพยักหน้าของตัวเอง “ใช่แล้ว คุณอานัทธีหน้าตาเหมือนหนูมากเลย มันไม่ปกติแน่ ดังนั้นพ่อบุญธรรม ช่วยหนูหน่อยนะ”
พงศกรผลุบตาลง มองเส้นผมในมือ แววตาก็มืดลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
อารัณเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีอะไร เลยยื่นมือเล็กๆ มาโบกต่อหน้าเขา “พ่อบุญธรรม?พ่อบุญธรรม?”
พงศกรมีสติกลับมา พลางกดอารมณ์ลง ก่อนจะดันแว่นของตัวเองขึ้น “โอเค เดี๋ยวจะช่วยหนู”
“ขอบคุณนะพ่อบุญธรรม!” อารัณยิ้มหวาน
พงศกรขยับมุมปากเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นก็กำผมในมือแน่น เหมือนอยากจะทำให้ผมนี้สลายไป
“อารัณ หนูขอบคุณพ่อบุญธรรมทำไมเหรอ?” วารุณีเดินออกมาจากห้อง ก็ได้ยินอารัณพูดขอบคุณ เลยถามขึ้นมา
“ไม่มีอะไร พ่อบุญธรรมให้ลูกอมหนู ใช่ไหมพ่อบุญธรรม?” อารัณส่งสายตาให้พงศกร
“ใช่แล้วล่ะ” พงศกรยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง แต่รอยยิ้มกลับมีไม่มากเท่าไหร่
“หม่ามี๊ หนูจะไปอาบน้ำแล้ว” อารัณปีนลงจากโซฟา ก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้อง
เมื่อเห็นเขาวิ่งเร็วขนาดนั้น จนขาแทบจะพันรวมกัน วารุณีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“โอเควารุณี รีบมาทำความสะอาดแผลเถอะ” พงศกรตบโซฟา ก่อนจะพูดอย่างอ่อนโยน
วารุณีตอบรับก่อนจะเดินไป
เมื่อทำความสะอาดเสร็จ ก็ใกล้ถึงเวลาสิบโมงแล้ว
พงศกรเก็บกล่องยาเสร็จ ก็เตรียมจะไปแล้ว
แต่หลังจากที่เขาออกไปจากคอนโด ก็กลับไม่ได้จากไปในทันที แต่ไปที่ทางหนีไฟ แล้วก็ทิ้งถุงทั้งสองใบนั้นไป ก่อนจะเดินตรงไปที่ลิฟต์
หลังจากนั้นสองวัน ณ บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป
ผู้ช่วยของพิชญาเข้าไปในห้องทำงานก็เริ่มตะโกนออกมา “เร็วๆ ทุกคนรีบเก็บของที่ไม่จำเป็นบนโต๊ะเร็วเข้า โดยเฉพาะขนมเครื่องสำอางเก็บให้หมดเลยนะ เดี๋ยวจะมีคนใหญ่คนโตมาเดินตรวจดู!”
“คนใหญ่คนโตงั้นเหรอ?ใครจะมางั้นเหรอ?” มีคนถามขึ้น
ผู้ช่วยมีสีหน้ามั่นใจ “แน่นอนว่าต้องเป็นคนที่ใหญ่ที่สุดน่ะสิ”
คนคนนั้นก็คือคู่หมั้นของพี่สาวเธอ
“เห้อ……” คนในห้องทำงานต่างพากันถอนหายใจออกมา
“ทำไมจู่ๆ ประธานถึงมาเดินตรวจแผนกของพวกเรา?”
“ใครจะไปรู้ แต่สรุปแล้วพวกคุณรีบเก็บของในห้องทำงานเถอะ ถ้าใครไม่ทำ เดี๋ยวรอโดนลงโทษเลยละกัน” เมื่อพูดคำเตือนออกมาแล้ว ผู้ช่วยก็หันตัวเดินออกไป
จากนั้นคนในห้องทำงานก็รีบทำตัวยุ่งกันขึ้นมา
วารุณีมองดูโต๊ะตัวเอง นอกจากเอกสารก็มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีของอย่างอื่น เลยไม่ได้เก็บอะไร ก่อนจะร่างแบบในมือต่อไป
“วารุณี คุณรู้ไหมว่าทำไมประธานจะมาเดินตรวจ?” พี่บุษบาที่อยู่โต๊ะข้างๆ ถามขึ้น
วารุณีมองเธอเล็กน้อย ด้วยความแปลกใจ “พวกคุณยังไม่รู้ แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไร?”
“งั้นเหรอ ฉันว่าคุณสนิทกับประธานไม่เบาเลย ฉันยังคิดว่าคุณจะรู้เสียอีก” พี่บุษบายิ้มขึ้นอย่างเขินอาย
วารุณีขมวดคิ้วแน่น “สนิทกับประธานนัทธีไม่เบางั้นเหรอ คุณไปฟังใครพูดมาน่ะ?”
“ฉันเห็นไง เมื่อวานคุณขึ้นรถของประธานไป” พี่บุษบาเข้าไปใกล้หูของเธอ ก่อนจะพูดเบาๆ
เป็นแบบนี้นี่เอง
วารุณีคลายคิ้วที่ขมวดอยู่ ก่อนจะอธิบายเบาๆ “ขาของฉันยังไม่หายดี เรียกแท็กซี่ไม่ค่อยสะดวกน่ะ ดังนั้นประธานนัทธีเลยส่งฉัน เดี๋ยวขาฉันหายดีแล้ว เขาก็ไม่ไปส่งแล้ว ดังนั้นคำพูดแบบนี้น่ะ พี่บุษบาอย่าเอาไปพูดที่ไหนอีกนะ ถ้าเกิดประธานกับผู้จัดการพิชญาได้ยิน……”
“ฉันรู้แล้วล่ะ จากนี้ฉันจะไม่พูดแล้ว” พี่บุษบารีบตัดบทเธอ ด้วยความกลัวเล็กน้อย
วารุณีมองพี่บุษบาจริงจังเล็กน้อย ก่อนจะรู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ก็บอกไม่ถูกว่ามันไม่ถูกตรงไหน แต่ก็ไม่พูดอีก พลางเย็บแบบที่ได้ออกแบบเอาไว้
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้าไปใกล้ฝ่ายออกแบบมากขึ้น จากนั้น ชายร่างสูงใหญ่ รูปงามก็เดินเข้ามาก่อน ข้างหลังนั้นมีคนหลายคนเดินตามเข้ามา หนึ่งในนั้นมีพิชญาด้วย