พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ - บทที่ 676 รพี
มือพงศกรที่สวมชุดกาวน์อยู่นั้นกำแน่นไว้ บีบอย่างแน่น เส้นเลือดหลังมือปูดออกมา จะเห็นว่าในใจเขาตอนนี้โกรธแค่ไหน
แต่แป๊บเดียว เขาก็ปล่อยมือออก หลับตาลง ปรับอารมณ์ ก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์
ส่วนอีกด้าน ชายหนุ่มพาปาจรีย์มาถึงข้างถนน
ปาจรีย์หยิบกุญแจรถจากกระเป๋ามากด
รถส่งเสียงออกมา หมายความว่าปลดล็อกแล้ว ปาจรีย์โค้งให้ชายคนนั้น คุณคะ ขอบคุณที่คุณมาส่งฉันนะคะ ไม่งั้นฉันอาจจะเปียกไปหมดแล้ว
ไม่เป็นไรครับ สมควรช่วยอยู่แล้ว ชายหนุ่มหัวเราะอย่างอบอุ่น
ทันใดนั้นปาจรีย์ก็คิดอะไรได้ มองชายหนุ่มแล้วถาม: ใช่สิคุณผู้ชาย ตั้งนานแล้ว ฉันยังไม่ถามชื่อคุณเลย ฉันชื่อปาจรีย์นะ ปาที่สะกดด้วยปอปลากับสระอา แล้วก็จรีย์ที่สะกดด้วยจอจานยอยักษ์การันต์
ปาจรีย์ ชื่อนี้ดี ชายหนุ่มท่องชื่อของเธอไปรอบหนึ่ง จากนั้นพูดชม
ปาจรีย์หัวเราะอย่างหน้าแดง พ่อฉันตั้งให้ฉันเอง ตอนนั้นเขาก็คิดอยู่นาน เพื่อตั้งชื่อที่ไม่เหมือนคนอื่นให้ฉัน แต่ก็ยังคิดชื่อที่เหมาะสมไม่ได้ แล้วพอดีตอนนั้นนักแสดงทีวีพูดว่าปาจรีย์ พ่อฉันก็คิดขึ้นได้อย่างเฉียบไว ตั้งให้ฉันว่าปาจรีย์ ดังนั้นฉันเลยชื่อปาจรีย์ค่ะ
ที่แท้ก็แบบนี้เอง พ่อคุณเป็นคนที่น่ารักมาก ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
ปาจรีย์เอาผมทัดหู ใช่ค่ะ พ่อแม่ฉันน่ารักมาก แต่ว่าคุณคะ คุณยังไม่บอกฉันเลย คุณชื่ออะไร
ขอโทษครับๆ ผมชื่อว่ารพี นามสกุลคณานิสรณ์ ชายหนุ่มแนะนำตัวเอง
ปาจรีย์ก็ท่องชื่อนี้ไป ฉันจำได้แล้ว งั้นคุณรพีคะฉันขอตัวก่อนนะ ถ้ามีโชคชะตาไว้เจอกันอีกค่ะ
ครับ ไว้เจอกัน! รพีพยักหน้า
ปาจรีย์เปิดประตูรถที่นั่งคนขับแล้วเข้าไป จากนั้นสตาร์ทรถออกไป
รพีถือร่มไว้ยืนอยู่ที่เดิม แล้วมองเธอส่งจนไกลออกไป จนมองไม่เห็นแล้ว แล้วจึงเดินไปอีกทาง
ระหว่างทาง โทรศัพท์ของรพีก็ดังขึ้นมา
เขาหยิบออกมาดู มองสายที่โชว์ขึ้นมา รับด้วยรอยยิ้ม ฮัลโหล แม่
ลูกชาย หาผู้มีพระคุณที่ลูกพูดถึงเจอยัง? ที่ปลายสาย มีเสียงผู้หญิงที่อ่อนโยนใจดีเข้ามา
รพีมองไปทางที่ปาจรีย์ออกไปแวบหนึ่ง หาเจอแล้วครับ แต่เธอดูเหมือนว่าจำผมไม่ได้
ได้ยินชื่อของเขา เธอก็ไม่มีการตอบสนองอะไร
จำไม่ได้สิปกติ ตอนนั้นพวกลูกอายุเท่าไหร่เอง เกือบจะยี่สิบปีแล้ว ผู้หญิงคนนั้นถอนหายใจแล้วพูด
รพีละสายตาลง ใช่ครับ เกือบยี่สิบปีแล้ว แต่ไม่เป็นไร ต่อไปเธอจะต้องนึกถึงผมได้แน่
ก่อนมาที่จังหวัดจันทร์ เขาก็สืบข้อมูลของปาจรีย์ไว้
พบว่าในยี่สิบปีนี้ที่ปาจรีย์แยกจากกับเขา ก็อยู่อย่างไม่มีความสุขนัก
หลังจากปาจรีย์แยกกับเขา ก็ย้ายบ้านตามพ่อแม่ไป ย้ายไปอีกเมือง เป็นเพื่อนบ้านกับตระกูลอิสริยานนท์หลังหนึ่ง
ส่วนเพื่อนในวัยเด็กที่โตมาด้วยกันของปาจรีย์ จากเขา ก็กลายเป็นลูกชายของตระกูลอิสริยานนท์ พงศกร
อย่างไรก็ตามพงศกรนั่น กลับยังไม่ดีต่อปาจรีย์ ส่วนปาจรีย์ กลับยังรักพงศกรนั่น
เขาไม่เข้าใจ พงศกรนั่นมีอะไรดี ไม่เคยอ่อนโยนต่อเธอ มีแต่เย็นชาต่อเธอ และก็แบบนี้ เธอก็ยังลืมไม่ได้
แต่ไม่เป็นไร ตอนนี้เขาเจอปาจรีย์แล้ว และก็มาอยู่ข้างกายปาจรีย์แล้ว เขาจะแย่งปาจรีย์คืนกลับมาอีกครั้ง ให้ในใจและสายตาของปาจรีย์ ต่อไปมีเพียงแค่เขา
พงศกรนั่น ไม่คู่ควรกับเธอสักนิด!
……
คฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์
วารุณีมองฝนที่ตกหนักด้านนอก ในใจก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงปาจรีย์ ไม่รู้ว่าตอนนี้ปาจรีย์เป็นไงบ้าง
เธอเข้าใจปาจรีย์ ตั้งแต่ปาจรีย์ไปจากนี่ จะต้องไปหาพงศกรแน่ แค่ไม่รู้ว่า พงศกรจะทำอะไรปาจรีย์
คิดแบบนี้ วารุณีจึงโทรหาพงศกร
แป๊บเดียวเสียงของพงศกรก็เข้ามา และมีความเหนื่อยล้าเล็กน้อย วารุณี โทรหาผมมีอะไรหรือเปล่า?
พงศกร ปาจรีย์ได้ไปหานายไหม? วารุณีถาม
พงศกรเงียบ สักพักจึงส่งเสียงไปอีกครั้งว่า มา
จริงด้วย!
วารุณีแอบคิดในใจ แล้วลูบแก้ม พูดไปอีกครั้งว่า: พงศกร ปาจรีย์น่าจะบอกนายแล้วสินะ เรื่องฆาตกร แล้วก็……
บอกแล้ว พงศกรรู้ว่าเธอจะพูดอะไร ก่อนที่เธอจะพูดจบ จึงตอบไปสองคำ
วารุณีอ้าริมฝีปากแดงๆนั่น งั้นนาย……
คุณอยากถามว่า ผมมีท่าทีอย่างไรกับเธอ? พงศกรละสายตาลงแล้วถาม
วารุณีไม่พูดอะไร ใช่
ผมจะมีท่าทีอย่างไรกับเธอได้ล่ะ?ก็ท่าทีเหมือนเมื่อก่อนแหละ พงศกรพูดนิ่งๆ
ไม่ได้เกลียดมากขึ้น และก็ไม่ลดลง
เพราะว่าเมื่อก่อนเขาก็รู้ว่าการตายของพ่อแม่ตัวเอง นั่นเป็นเพราะว่าสามีภรรยาตระกูลจิรดำรงค์ไม่ระวังตัวจึงเปิดเผยร่องรอยไป ดังนั้นจึงได้ไม่ชอบปาจรีย์อย่างมาก แล้วก็เกลียดตระกูลจิรดำรงค์
และตอนนี้ ก็ยังเป็นแบบนี้ ไม่เปลี่ยนไป เพราะว่าปาจรีย์บอกเขาว่าฆาตกรคือใคร
ได้ยินท่าทีที่พงศกรมีต่อปาจรีย์ ไม่ได้แย่ลงมากขึ้น วารุณีก็โล่งอก
ไม่ได้แย่ลง ก็ยังดี
เธอกลัวว่าจะกลายเป็นแย่ลง แล้วปาจรีย์จะยิ่งรับไม่ได้
พงศกร ฉันรู้ว่านายไม่อาจยกโทษให้พวกคุณอาไกรวิชญ์ได้ แต่พวกคุณอาไกรวิชญ์ไม่ได้ตั้งใจ พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าจะถูกเปิดเผยร่องรอยได้ พวกเขาเป็นแค่คนธรรมดาสองคน ฉันหวังว่านายจะเข้าใจ วารุณีถอนหายใจ แล้วพูดโน้มน้าว
พงศกรกำโทรศัพท์แน่น ผมรู้ความหมายของคุณ ผมก็รู้ว่าพวกเขาส่งของมาให้ครอบครัวผม ถึงได้ไปเปิดเผยร่องรอยครอบครัวผม แต่พ่อแม่ผม กลับตายเพราะการเปิดเผยจองพวกเขาจริงๆ ถึงแม้พวกเขาหวังดี ความหวังดีเล็กๆน้อยๆนี้ เทียบกับชีวิตสองคนได้เหรอ?วารุณีคุณบอกผมที เทียบได้ไหม?
เขาเคยมีครอบครัวที่มีความสุข เขาไม่ต้องเรียนหมอก็ได้
เดิมทีเขาไม่ชอบการแพทย์ แต่ชอบเป็นนักบิน
เป็นพ่อแม่เขาที่เห็นว่าเขามีพรสวรรค์ในการเรียนแพทย์ จึงหวังว่าเขาจะเรียนแพทย์ แต่เขาปฏิเสธตลอด ไม่ยอมไปเรียน จนพ่อแม่เสียไป เขาจึงเก็บความหวังของพ่อแม่ขึ้นมา เรียนแพทย์ที่ตัวเองไม่ชอบ
ทั้งๆที่เขาสามารถเป็นนักบินได้ ทั้งๆที่เขาควรจะมีครอบครัวที่มีความสุข
แต่ทั้งหมดนี้ ล้วนถูกฆาตกรกับตระกูลจิรดำรงค์ทำลาย!
ได้ยินคำถามของพงศกร ในใจวารุณีก็เสียใจ ตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น: ฉันรู้ว่า เทียบไม่ได้จริงๆ แต่ว่าพงศกร นายลองเปลี่ยนมุมมองดูสิ พ่อแม่นายเป็นคนที่องค์กรจับตา ส่วนพวกคุณอาไกรวิชญ์เป็นแค่คนธรรมดา พวกเขาก็ควรจะใช้ชีวิตอย่างธรรมดา แต่เพราะพ่อแม่นาย เลยถูกพัวพันเข้ากับเรื่องที่พ่อแม่นายถูกไล่ฆ่า พวกคุณอาไกรวิชญ์รู้ว่าพ่อแม่นายถูกคนไล่ฆ่า กลับยังไม่เลือกที่จะตัดขาดกับพ่อแม่นาย แต่ยังแอบเสียงอันตรายไปช่วย จากส่วนนี้ คนอย่างพวกคุณอาไกรวิชญ์นั้นหาได้ยากจริงๆ
เพราะไม่ใช่ว่าคนธรรมดาทุกคนจะช่วยซ่อนที่อยู่และส่งอาหารเครื่องดื่มให้อย่างไม่ลังเล ทั้งๆที่รู้ว่าเพื่อนถูกพวกกองกำลังชั่วร้ายไล่ฆ่าอยู่ ต่างก็อยากจะตัดขาดความสัมพันธ์ อยู่ห่างๆ กลัวจะเกี่ยวพันไปด้วยทั้งนั้น
ยังไงพวกกำลังชั่วร้ายนี้ก็ไม่มีมโนธรรม พวกเขาอาจจะฆ่าพวกคุณอาไกรวิชญ์ด้วย แต่คุณอาไกรวิชญ์ก็ยังเลือกช่วยพ่อแม่พงศกร
นี่หมายความว่าอะไร หมายความว่านี่เป็นมิตรภาพที่แท้จริง
พงศกรได้ยินคำพูดของวารุณี สายตาจึงหม่นลงไป ไม่ตอบ
ชัดเจนว่าในใจเขา ที่จริงรู้ตรงนี้ดี ก็แค่ไม่อาจปล่อยวางไปได้
ยังไงการตายของพ่อแม่ ก็เป็นเพราะสามีภรรยาตระกูลจิรดำรงค์ที่เปิดเผยร่องรอย
วารุณีลูบขมับ แล้วพูดอีกว่า: พงศกร ยังมีอีกอย่างนายเคยคิดไหม ถ้าไม่มีพวกคุณอาไกรวิชญ์ช่วยแต่แรก บางทีนายกับพ่อแม่นาย อาจจะถูกฆ่าไปนานแล้วก็ได้!