พ่อจอมผยอง / คุณพ่อสายเปย์ - บทที่ 48 ความปรารถนาของหลินอี้จุน
บทที่ 48 ความปรารถนาของหลินอี้จุน
ทุกคนอยู่ในอาการตกตะลึง ลู่เฉินกล้าลงมือกับThree Heroes of the Water Margin เกรงว่าจะขี้เกียจมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้หรือเปล่า
หูหงเองก็ตาโต ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็น
ลู่เฉินกล้าลงไม้ลงมือ นี่เขาต้องบ้าบิ่นขนาดไหนกัน?
“ลู่เฉินหนอลู่เฉิน รนหาที่ตายหรือไงกัน ถ้าแกยอมรับผิดโดยดีตั้งแต่แรกอย่างมากสุดก็ถูก Three Heroes of the Water Margin สั่งสอนเล็กน้อย คงไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ แต่นี่แกกล้าตบหน้าพวกเขา ถ้าแขนไม่หักก็ขาหักละทีนี้” หูหงพูดแกมหยอก
“แม่งเก่งนักใช่ไหม กล้าลงไม้ลงมือกับลูกพี่ พวกเราลุย!”
บรรดาลูกน้องของThree Heroes of the Water Marginเจ็ดแปดคนที่ติดตามมาด้วยเห็นลูกพี่โดนตบเข้าอย่างจังก็พากันพุ่งเข้าใส่
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี รีบถอยหลบออกไปเพราะกลัวโดนลูกหลง
ลู่เฉินอยู่กับที่ไม่ขยับ เขาใช้สายตามองทั้งสามด้วยความเยือกเย็น
“พวกเอ็งทุกคนหดหัวกลับไปเดี๋ยวนี้!” ซ่งไห่พูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง
แม้พวกเขาจะถูกลู่เฉินตบหน้าไป แต่ไม่ได้มีความโกรธมีเพียงความกลัว
พวกเขาต่างพากันสงสัย แต่เป็นคำสั่งของลูกพี่ พวกเขาไม่กล้าขัดขืนได้แต่ถอยหลังกลับแล้วจ้องมองลู่เฉินด้วยความอาฆาต
“รู้ไหมว่าทำไมพวกแกถึงโดนตบ?” ลู่เฉินถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น และมองทั้งสามด้วยความผิดหวัง
“ขอให้คุณชายลู่สั่งสอนพวกเราด้วย” ทั้งสามตกใจจนตัวสั่น พวกเขาเดาออกถึงเหตุผลอยู่แล้ว
หูหงจ้างวานพวกเขาด้วยเงินห้าแสน บอกว่าให้จัดการยามคนหนึ่ง แต่ใครจะไปคิดว่ายามที่หูหงบอกนั้นคือลู่เฉิน
นี่ไม่ใช่บุคคลที่ลูกเศรษฐีธรรมดาจะจัดการได้ อำนาจที่อยู่เบื้องหลังเขาไม่ใช่แค่เศรษฐีลู่เท่านั้น
ในตอนนี้ในใจของพวกเขาทั้งสามคิดเหมือนกันว่าหูหงคงไม่รอดชีวิตแน่
“เพราะพวกแกทำให้ฉันผิดหวังเหลือเกิน อยากได้เงินทำไมไม่มาหาฉันละ แม้ว่าที่ผ่านมาพวกแกทั้งสามจะทำให้ฉันผิดหวังไม่น้อย แต่พวกแกก็เป็นคนที่ลู่จงฝึกฝนขึ้นมากับมือ ฉันก็ยังเห็นแก่คุณอาจงบ้าง แต่พวกแกกลับใช้ชีวิตเหมือนพวกข้างถนน!ถ้าไม่ตบพวกแกจะให้ไปตบหมาที่ไหน?” ลู่เฉินพูดด้วยความผิดหวัง
ทั้งสามสะดุ้ง พวกเขาเหมือนเด็กน้อยทำผิดถูกผุู้ปกครองตำหนิจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
คนอื่นๆเห็นเหตุการณ์ตรงหน้านี้ ต่างพากันเบิกตาโตอ้าปากค้าง
โดยเฉพาะหูหง
นี่มันโคตรน่ากลัวจริงๆ
ลู่เฉินไอ้ยาจกนี่ทำไมถึงได้กล้าสั่งสอน Three Heroes of the Water Margin และพวกเขาทั้งสามยังเชื่อฟังคำสั่งสอนด้วย
นี่แม่งใครกันแน่ที่เป็นพวกสวะ?
หูหงรู้สึกว่านี่มันช่างบ้าบอเหลือเกิน
“วันนี้ฉันไม่ค่อยพอใจร้านค้าของตระกูลหูเท่าไหร่ ฉันไม่สนใจว่าพวกแกจะใช้วิธีอะไรแบบไหน ภายในหนึ่งอาทิตย์จัดการให้ร้านค้าของตระกูลหูปิดตัวซะ ถ้าหากครั้งนี้ทำให้ฉันผิดหวังอีกก็ พวกแกคงรู้ตัวว่าจะเจออะไร” ลู่เฉินพูด
เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็โยนกุญแจรถให้ซ่งไห่ พูดเสริมมาว่า “ช่วยเอารถปซ่อมให้ที”
พูดจบก็อุ้มฉีฉีเดินจากไป
เมื่อลู่เฉินเดินลับตาไป พวกเขาทั้งสามจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
อำนาจของลู่เฉินแข็งแกร่งมากจนพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
ทั้งสามหันมามองหูหงพร้อมกัน ขณะนี้หูหงได้แต่ยืนงงด้วยความตกใจ
เขาคิดว่าลู่เฉินเป็นเพียงแค่ยามคนหนึ่งเท่านั้น ไม่คิดว่าเขาจะมีอำนาจขนาดนี้ แม้แต่ Three Heroes of the Water Marginเองต้องเกรงกลัวเหมือนเด็กน้อย
แต่เขากลับหาเรื่องยั่วโมโหคนคนนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า……
หูหงไม่อยากกล้าที่จะคิดต่อไป
เมื่อเห็นทั้งสามมองมาทางตน หูหงขาอ่อนแทบทรุดลงไปที่พื้น
“ไอ้หนู แกกล้าหาเรื่องแม้กระทั่งคุณชายลู่ ไปเอาความกล้ามาจากไหนกัน?” ซ่งไห่เดินหน้าไปถามหูหงแล้วเตะเขาจนไปกองที่พื้น
ชิจินและหลินตงก็พากันรุมหูหงเช่นกัน เขาได้แต่เอามือป้องหัวตัวงออยู่ที่พื้นกลิ้งไปมาโดยไม่กล้าพูดอะไร
ก่อนหน้านี้บรรดาคนที่จะเกาะแข้งขาหูหงก็พากันหวาดกลัว
ตระกูลหูแข็งแกร่งนักไม่ใช่หรือ ถึงขนาดทำให้กลุ่มแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ยยุบตัวลงได้ แต่กลับกลัว Three Heroes of the Water Marginจนหัวหด?
“นี่ไอ้น้อง ร้านค้าเตรียมตัวปิดได้เลยนะ” เมื่อทั้งสามระบายอารมณ์เรียบร้อย ซ่งไห่ก็ตะคอกใส่หูหง
“หูหงตัวสั่นงันงกอดทนกับความเจ็บปวดนี้แล้วกัดฟันถามว่า “ลูกพี่ทั้งสามคนพอจะบอกได้ไหมว่าลู่เฉินเป็นใครมาจากไหนกันแน่ ทำไมลูกพี่ต้องฟังเขาด้วย?”
“คุณชายลู่เป็นใคร คนกระจอกๆอย่างแกมีสิทธิ์รู้งั้นเหรอ?” หลินตงพูดขึ้น
“อย่าไปสนใจมัน พวกแกกลับไปก่อนฉันจะเอารถไปซ่อมให้คุณชายลู่” ซ่งไห่พูดแล้วขับรถA6ที่ถูกทุบไปร้านซ่อม
“ลูกพี่สอง ลูกพี่สาม คนที่ชื่อลู่เฉินเป็นใครกันแน่?” เมื่อซ่งไห่จากไป บรรดาลูกน้องก็เข้ามาถามทั้งสอง
“พวกแกรู้แค่ว่าเป็นคนที่สำคัญมากๆก็พอ อย่างอื่นไม่ต้องถาม” หลินตงพูดจบก็ขึ้นรถไปพร้อมกับชิจิน
เมื่อพวกเขาไม่ได้คำตอบก็ทำได้เพียงจำหน้าลู่เฉินไว้แล้วขึ้นรถตู้ไป
ส่วนหูหงที่กองอยู่บนพื้น ในใจเขายังคงหวาดกลัว
เมื่อลู่เฉินกลับมาถึงบ้านก็เริ่มทำอาหาร
ระหว่างเขากับหูหงนั้น เขาไม่ได้โกรธเคืองอะไรแล้ว
ตัวประกอบเล็กๆอย่างเขา หากไม่ได้ยั่วยุจนเขาถึงขีดจำกัดก็ขี้เกียจจะไปสนใจ
“กลุ่มแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ยยุบตัวลง คุณรู่เรื่องนี้ไหม?” หลินอี้จุนถามลู่เฉินขึ้นขณะกินข้าว
“อืม แต่วางใจเถอะแม้ว่ากลุ่มแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ยจะยุบตัว แต่บริษัทที่พวกเขาถือหุ้นนั้นยังอยู่ และอีกอย่างธุรกิจทุกอย่างที่กลุ่มแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ยควบคุมได้สืบทอดไปอยู่ในมือบุคคลนิรนามคนหนึ่งเรียบร้อยแล้ว ไม่มีผลกระทบกับโครงการวิลล่าทะเลสาบจิงหลงหรอก” ลู่เฉินพยักหน้ารับรู้ เขาเข้าใจดีว่าหลินอี้จุนกำลังกังวลเรื่องอะไร
“คุณรู้ได้ยังไง?” เธอถามด้วยความสงสัย
ลู่เฉินยิ้ม หลินอี้จุนจึงได้เข้าใจ “วังเหว่ยบอกคุณแน่ๆเลยใช่ไหมคะ”
ที่เธอเซ็นสัญญาโครงการวิลล่าทะเลสาบหลงจิงก็เพราะลู่เฉินไหว้วานวังเหว่ยให้ช่วยเหลือ ส่วนวังเหว่ยนั้นเป็นผู้จัดการทั่วไปของกลุ่มแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ย เขาต้องมีข้อมูลพวกนี้อยู่ไม่น้อยแน่นอน
“ก็แค่กังวลว่าต่อไปหากเปลี่ยนผู้รับผิดชอบแล้ว ฉันจะโดนกดดันอีกนะสิคะ” หลินอี้จุนกังวลเล็กน้อย
“ไม่หรอก ตอนนี้วังเหว่ยยังเป็นผู้รับผิดชอบอยู่ โครงการของคุณไม่มีผลกระทบแน่นอน” ลู่เฉินกล่าว
“ค่ะ” หลินอี้จุนเมื่อได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ถ้าไม่เปลี่ยนผู้รับผิดชอบก็ไม่น่าจะมีปัญหา
“อ้อ วันนี้ฉันเดินทางไปที่วิลล่าทะเลสาบจิงหลงมาด้วยละ ขนาดกำลังตกแต่งอยู่นะคะก็ยังสวยมากๆเลย ในส่วนของที่โครงการเรารับผิดชอบอยู่ได้ยินว่าถูกสุดก็ตั้งสิบกว่าล้าน ที่แพงสุดอาจถึงพันล้านได้เลยนะคะ” หลินอี้จุนพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น
“เป็นธรรมดาละ กลุ่มแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ยจัดตั้งโครงการนี้ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของเศรษฐีระดับไฮคลาส ต่อไปบริเวณนั้นจะกลายเป็นใจกลางเมืองของหยูโจว บรรดานักธุรกิจก็จ้องหาหนทางซื้อไว้ มีผลประโยชน์ในระยะยาว” ลู่เฉินพูด
“ใช่นะสิ น่าเสียดายที่ตอนนั้นธุรกิจเราล้มเหลว ไม่อย่างนั้นบริษัทน่าจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ดีไม่ดีถ้าโชคเข้าข้างรวยขึ้นมา อาจจะมีเงินไปซื้อสักหลังก็ได้นะคะ” หลินอี้จุนพูดอย่างเสียดาย
“คุณชอบบ้านพวกนั้นมากเหรอ?” ลู่เฉินเงยหน้าถาม
“ใครไม่ชอบบ้างละคะ ถ้าได้เข้าไปอยู่ก็เป็นเครื่องหมายแสดงถึงฐานะตัวตน เห้อ พวกเราต่อให้พยายามอีกสิบปีก็ไม่มีปัญญาไปซื้อหรอกค่ะคุณ” หลินอี้จุนถอนหายใจ
เธอก็แค่อยากได้ แต่ในใจนั้นรู้ดีว่าชาตินี้ก็คงไม่มีทางเข้าไปอยู่ในชุมชนชั้นสูงอย่างนั้นหรอก