พ่อบ้านจักรพรรดิปีศาจ - ตอนที่ 68
“รอเดี๋ยว!”
จั๋วฝานลุกขึ้นนั่ง แสงแดดส่องผ่านปากถ้ำ บังคับให้เขาต้องหรี่ตา
ด้วยความแปลกใจ เขาพบว่าเขาขยับตัวได้จริง
แม้จะยังอ่อนแอ เขาก็ฟื้นตัวแล้ว เขาตรวจสอบตัวเอง พบว่าทารกโลหิตกำลังนอนในตันเถียนเขาแต่ชีวิตมันไม่แขวนบนเส้นด้ายอีก แม้กระทั่งตามันก็ยังสั่นคลอน พิสูจน์ว่ามันใกล้ตื่น
ด้วยความตกใจ จั๋วฝานรู้ว่ายอดฝีมือที่เขาพบคืนก่อนคือคนที่อยู่เหนือดินแดนมนุษย์ ไม่งั้นเขาคงไม่มีความสามารถรักษาแผลเขาในชั่วข้ามคืนพร้อมกับทารกโลหิต
“แต่..ทำไมเขาถึงเลือกข้า?’
จั๋วฝานลูบหน้าผาก นึกถึงสิ่งที่ชายคนนั้นฝังไว้แถวนี้ แต่ตัวเขาในตอนนั้นเห็นมันได้ไม่ชัดว่าคืออะไร
เขาส่ายหัว[มันไม่สำคัญ ยังไงเขาก็ช่วยข้าไว้ ไม่ว่าเหตุผลจะคืออะไร ข้าก็คงรู้ในไม่ช้า]
ด้วยพลังปัจจุบันของเขา เขาจะไปสู้กับชายคนนั้นได้ไง?
เขาเยาะเย้ยตัวเอง ตระหนักว่าเขาคิดมากไปในบางครั้ง ความจริงคือเขาคือผู้บ่มเพาะกลั่นลมปราณขั้นหก แต่มีดวงวิญญาณของยอดฝีมือชนชั้นจักรพรรดิ [ช่างน่าปวดหัวยิ่งนัก!]
เป้าหมายปัจจุบันเขาคือเพิ่มพลัง พลังคือทุกสิ่ง
เขาถอนหายใจขณะมองแสงแดด แม้ความรู้สึกซบเซาจะแผ่จากซากต้นไม้ไหม้ แสงแดดก็นำมาซึ่งความหวัง
เสียงครางทำลายความคิดฟุ้งซ่านเขาและจั๋วฝานก็พบร่างอ่อนแอของเสวี่ยหนิงเซียงในกองเลือด เขารีบพุ่งไปหานาง ป้อนเม็ดยาปกป้องหัวใจ
ปราณอบอุ่นวิ่งแล่นภายในตัวนางและจั๋วฝานก็ถอนหายใจ
บาดแผลของนางไม่ลึก นางแค่ใช้ปราณในตัวจนหมดเพื่อสู้กับหมาป่ากระหายเลือดและแค่ต้องพักฟื้นไม่กี่วัน
แต่ใบหน้าซีดของเสวี่ยหนิงเซียงก็ทำให้หัวใจเขารู้สึกผิดอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เริ่มเช็ดคราบสกปรกบนหน้านาง
เมื่อรู้สึกถึงมือหยาบกร้าน เสวี่ยหนิงเซียงก็ลืมตา เผยรอยยิ้มหวาน
“พี่จั๋ว เราตายแล้วงั้นเหรอ?”
“ใจเย็นๆ เรายังไม่ตาย!”
“โกหก เจ้าจะขยับตัวได้ไงในเมื่อบาดเจ็บซะขนาดนั้น?”เสวี่ยหนิงเซียงพึมพำ”แต่..อย่างน้อยเราก็ได้ตายด้วยกัน..”
และเด็กสาวก็หมดสติไปอีกครั้ง
จั๋วฝานมองสีหน้าสงบสุขของนางและแบกนางไปในถ้ำ วางนางไว้ข้างหญ้าผ่อนคลาย มันคือของที่ดีสุดในการบรรเทาความเหนื่อยล้ามนุษย์
ตอนนี้เขายืนข้างเซี่ยเทียนหยางที่หมดสติด้วยใบหน้าไม่เป็นมิตร
“เห้ย ตื่น ข้าบอกให้ตื่น!’
จั๋วฝานเตะเขาเบาๆสองครั้ง แต่เขายังนิ่งเป็นก้อนหิน
จั๋วฝานแค่นเสียง เหวี่ยงขาไปด้านหลังก่อนเตะตูดเซี่ยเทียนหยางเต็มแรง!
“อ้ากกก!’
เกิดเสียงร้องลั่นถ้ำและดังออกไปนอกป่า มันน่ากลัวพอจะทำให้สัตว์อสูรรอบๆหวาดกลัว
[ช่างเป็นเสียงร้องแหกปากที่น่ากลัวอะไรเยี่ยงนี้?มันพยายามปลุกสวรรค์หรือไง?เทือกเขาหมื่นอสูรไม่ได้ขาดสัตว์ประหลาดที่จะกินเจ้านะ..]
เซี่ยเทียนหยางตัวสั่นขณะน้ำตาไหลพราก”ที่นี่มันที่ไหน?ข้าไปทำอะไรผิดถึงต้องรับโทษโหดร้ายเช่นนี้แม้กระทั่งหลังความตาย?”
“แค่เตะตูดเจ้ามันโหดร้ายถึงขนาดนั้นเลยหรือไง?เจ้า นายน้อยตำหนักกระบี่จะโดนประคบประหงมไปหน่อยแล้วมั้ง!”จั๋วฝานยิ้ม
เซี่ยเทียนหยางตกใจตอนเห็นจั๋วฝาน.”เจ้าเตะข้า?ทำไม..เราตายด้วยกันนี่ ทำไมเจ้าถึงเตะข้าได้?”
จั๋วฝานแสยะยิ้ม”ถ้าเราตาย พวกเราทุกคนก็เท่าเทียมกัน แต่น่าเสียดาย เรายังไม่ตายและในเมื่อเจ้าไม่ขยับ ข้าจึงเตะเจ้า..”
“อะไรนะ เรายังไม่ตาย?”
เซี่ยเทียนหยางเลิกฟังและหัวเราะลั่น”ฮ่าๆๆ มันเป็นถ้ำเดิม เรายังไม่ตาย!”
แต่จากนั้นอารมณ์ของเขาก็พลุ่งพล่าน เขาจ้องมองจั๋วฝานขึ้นลงก่อนตะโกนลั่น”ทำไมเจ้าถึงขยับตัวได้แต่ข้าขยับไม่ได้?เจ้าสภาพเลวร้ายกว่าข้าซะอีก แถมการบ่มเพาะเจ้ายังอ่อนแอกว่า”
จั๋วฝานยักไหล่และเลิกคิ้ว ทำให้ศิษย์อัจฉริยะแทบคลุ้มคลั่ง
ริมฝีปากของเซี่ยเทียนหยางสั่นสะท้านขณะคร่ำครวญอย่างหงุดหงิดใจ”ตัวประหลาด!’
ชีวิตของเขาไม่มีทางเข้าใจได้ว่าจั๋วฝานกระโดดไปมาได้ไงทั้งๆที่สองวันก่อนชีวิตของเขาเพิ่งแขวนอยู่บนเส้นด้าย?แม้แต่เขา ผู้บ่มเพาะหลอมกระดูกก็ยังต้องพักฟื้นสองเดือนถึงยืนได้
เขารู้สึกไม่ดีอยู่แล้วที่รู้ว่าจั๋วฝานแข็งแกร่งกว่าเขา แม้ระดับจะต่างกัน แม้ภูมิหลังจะต่างกัน ตอนนี้ เจ้าเด็กนี่ยังแสดงปาฏิหาริย์อีก ทำให้เขายิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่
[นี่มันจะทิ้งห่างกันเกินไปแล้ว]
“จั๋วฝาน บอกความจริงกับข้า เจ้าเป็นใครกันแน่?”เซี่ยเทียนหยางพูด
จั๋วฝานเสียรอยยิ้มและตบไหล่เซี่ยเทียนหยาง”มนุษย์นะสิ แค่เหนือกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย!”
เซี่ยเทียนหยางไม่พอใจกับท่าทีของจั๋วฝาน แต่ด้วยสภาพเช่นนี้ เขาจึงทำอะไรไม่ได้
และต่อให้ขยับตัวได้ ค่ายกลของจั๋วฝานก็คงระเบิดเขาเป็นเศษเนื้อ
สิ่งนี้ทำให้น้ำตาไหลอาบแก้มเขาอย่างขมขื่น ความภาคภูมิใจของศิษย์อัจฉริยะโดนบดขยี้อย่างสิ้นเชิง!
อย่างไรก็ตาม จั๋วฝานที่ขยับตัวได้ก็สามารถตั้งค่ายกลเพื่อปกป้องพวกเขาได้
เซี่ยเทียนหยางไม่พูดอะไร การที่จั๋วฝานฟื้นตัวนั้นมีประโยชน์กว่าเขาฟื้นตัว ฐานบ่มเพาะจะช่วยแค่ปกป้องตัวเขา ไม่ใช่คนอื่น
หินปราณบินออกจากแหวนเขาและจั๋วฝานก็ตั้งค่ายกลโบราณปกปิดระดับหนึ่ง
ตอนนั้นเอง ถ้ำได้หายไปจากสถานที่นี้และแม้แต่สัตว์อสูรระดับหกก็จะหามันไม่เจอถ้าพวกมันผ่านมา
ในที่สุดทั้งสามก็รักษาตัวกันอย่างสงบสุข
เสวี่ยหนิงเซียงตื่นขึ้นในสามวันให้หลังและมีความสุขมากพอรู้ว่าทุกคนยังไม่ตาย
จากนั้นนางก็สงสัยว่าหมาป่าเหล่านั้นไปไหนและทำไมพวกมันถึงไม่กินพวกนาง
เซี่ยเทียนหยางไม่ชัดเจนถึงเรื่องนี้เช่นกันแต่จั๋วฝานกลับขมวดคิ้ว พบว่ามันเชื่อมโยงกับยอดฝีมือที่เขาพบในจิตสำนึก
เช่นนี้ ทั้งสามจึงใช้ชีวิตด้วยกันสามเดือน จั๋วฝานกลับมาแข็งแรงเต็มที่ขณะที่เซี่ยเทียนหยางใช้แรงได้ 7 ส่วนแล้ว เสวี่ยหนิงเซียงฟื้นตัวนานแล้วและใช้เวลาเล่นกับหนูดินซะส่วนใหญ่
ทั้งคู่มีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มของนางอีกครั้ง มองนางเป็นเหมือนน้องสาวคนเล็ก เสวี่ยหนิงเซียงก็เริ่มรู้สึกเช่นนั้นกับทั้งสองเช่นกัน
ซวบ!
ร้อยเมตรห่างจากถ้ำ เซี่ยเทียนหยางยิ้มให้เสวี่ยหนิงเซียงที่ยืนไม่ไกลฝืนๆ เขาฟื้นตัวถึง 8 ส่วนแล้ว
เสวี่ยหนิงเซียงปรบมืออย่างตื่นเต้นข้างหนูดิน
จั๋วฝานเดินมาด้วยรอยยิ้ม”ด้วยพลังของเจ้า เจ้าควรเข้าสู่ขั้นแปดของระดับหลอมกระดูกในไม่ช้า’
“ไม่ใช่ว่าเจ้าก็เลื่อนเป็นขั้นเจ็ดหลังบาดแผลหายดี?”เซี่ยเทียนหยางพูด”แถม จั๋วฝาน ตาของเจ้ามองทะลุขนาดนั้นได้ไง?คิดว่าจะมองได้ก่อนข้าหรือไง?”
เสวี่ยหนิงเซียงโบกมือแทรกทั้งคู่”ทำไมพวกเจ้าต้องทะเลาะกันทุกครั้งที่พูดคุยกันด้วย?”
“นี่เป็นความผิดเขาไม่ใช่หรือไง?”เซี่ยเทียนหยางตบหน้าอกเขาและต่อว่าจั๋วฝาน”ยังไงซะ ข้าก็ยังไม่ให้อภัยที่เจ้าหมอนี่ใช้หนิงเอ๋อร์เป็นเหยื่อล่อ!ข้าจะไม่โมโหได้ไง?ทะเลาะอะไร ข้าคันไม้คันมืออยากจะกระทืบเขาซะมากกว่า”
“ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง ใครมีนที่บอกว่าให้ทิ้งนางและใช้นางถ่วงผู้อาวุโสเจ็ด?”จั๋วฝานสวนกลับ
“ข้าไม่เคย..”เซี่ยเทียนหยางเสียหน้า แต่ในไม่ช้าก็ฟื้นความกล้าได้”ก็ข้าไม่รู้ว่าหนิงเอ๋อร์จะยอดเยี่ยมขนาดนี้นี่?ยิ่งไปกว่านั้น มันยังดีกว่าการใช้นางเป็นเหยื่อ”
‘ข้าคือผู้บ่มเพาะมาร มันเป็นปกติที่จะทำเรื่องผิดศีลธรรมกว่าผู้บ่มเพาะสายธรรมมะอย่างเจ้า”
“ผิดศีลธรรม?เจ้ามันอาชญากรเลือดเย็นชัดๆ”
…
เมื่อเห็นจั๋วฝานกับเซี่ยเทียนหยางทะเลาะกันข้ามหัวนาง เสวี่ยหนิงเซียงก็ทำท่าให้พวกเขาหยุด”เอาล่ะ หยุดเถียงกันได้แล้ว ทั้งหมดก็แค่อดีต ข้าไม่สนใจแล้ว ทำไมพวกเจ้าถึงต้องหยิบยกมันขึ้นมาด้วย”
“ไม่ ข้าอยากทวงคืนความยุติธรรมให้เจ้า”
เซี่ยเทียนหยางจับไหล่นางขณะจ้องจั๋วฝาน
“ไม่เป็นไร เราเป็นเพื่อนที่ฝ่าฟันความเป็นความตายด้วยกัน มันเป็นน้ำใต้สะพานก็เท่านั้น!”เสวี่ยหนิงเซียงยิ้มให้ทั้งสองและยื่นนิ้วก้อยออกไป
เซี่ยเทียนหยางยิ้มแหยและลังเลที่จะยื่นนิ้วก้อยเขาไป แต่เขาก็ทำอยู่ดี ตามด้วยจั๋วฝาน นิ้วก้อยทั้งสามแตะกัน พวกเขาเริ่มรู้สึกอบอุ่นอยู่ด้านในใจ
การหาเพื่อนซี้ในโลกนั้นยาก แต่การหาคนที่กล้าเสี่ยงตายไปด้วยกันยากยิ่งกว่า
จากนี้ไป พวกเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งกัน ไม่ว่าจะยังไง จั๋วฝานเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอเพื่อนเช่นนี้
ขณะที่พวกเขาถอนนิ้วกลับ จั๋วฝานก็ยิ้ม”ตอนนี้เราหายดีแล้ว เราก็ต่างคนต่างไปกันเถอะ”
ทั้งสองไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนี้
จั๋วฝานส่ายหัว”ขอโทษ ข้าผิดเอง ข้าอยากไป เซี่ยเทียนหยาง ข้าเกรงว่าข้าคงพานางออกนางเมืองไม่ได้ ขอฝากเจ้าด้วยละ”
“พี่จั๋ว เจ้าจะไปไหน?”เสวี่ยหนิงเซียงประหม่า
จั๋วฝานตอบด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น”เขตสาม!”
“อะไรนะ?”เซี่ยเทียนหยางกับเสวี่ยหนิงเซียงตะโกนลั่น”ตอนแรกเราอยากหลบผู้อาวุโสเจ็ดเข้าไปที่นั่น แต่ทำไมเจ้าถึงยังอยากไป”
ดวงตาของจั๋วฝานฉายแววรู้สึกผิด”พูดตรงๆ มันคือเป้าหมายของข้าตั้งแต่ต้น ข้าอยากไปด้วยกันกับพวกเจ้าเพราะ…พวกเจ้ามีประโยชน์..”
“สารเลว เจ้าอยากได้เหยื่อเพิ่มสินะ?”เซี่ยเทียนหยางสาปแช่ง
จั๋วฝานพยักหน้า”ใช่ ดังนั้น ถ้าเจ้าไม่อยากตาย ก็หนีไปซะ ยิ่งไกลจากข้ายิ่งดี”
ขณะตอบ จั๋วฝานก็หมุนตัว
“รอก่อน!”
เสวี่ยหนิงเซียงดึงมือเขาด้วยรอยยิ้มเขินๆ”พี่จั๋ว ถ้าเจ้าไม่ถือว่าข้าเป็นภาระ ก็พาข้าไปด้วย ต่อให้ข้าจะกลายเป็นเหยื่อ มันก็ไม่เป็นไรตราบเท่าที่ข้าได้อยู่กับเจ้า!”
จั๋วฝานตกใจและหัวใจก็เต้นแรง
เซี่ยเทียนหยางแนะนำ”เห้ หนิงเอ๋อร์ เจ้าหมอนี่ไม่ใช่คนดีนะ..”
แต่ดวงตาอ่อนโยนของเสวี่ยหนิงเซียงมีแค่จั๋วฝานในนั้น และเซี่ยเทียนหยางก็เลือกจับมือพวกเขาด้วยความไม่เต็มใจ
จั๋วฝานเลิกคิ้ว”เจ้าอยากติดตามข้าไปด้วย?”
“ใช่”เซี่ยเทียนหยางรู้สึกไร้ชีวิต”แต่อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้ไปช่วยเจ้า แต่เพื่อทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะไม่ทรยศหนิงเอ๋อร์”
จั๋วฝานยิ้ม
[เจ้าฉลาด ข้าอาจไปและทรยศเจ้าทั้งคู่นะแหละ!]
แต่เขาไม่เปล่งเสียงออกมา การพบกับทั้งคู่ถือเป็นโชคของเขาแล้ว
เพื่อนร่วมเป็นร่วมตายนั้นหาได้ยาก…