พ่อบ้านจักรพรรดิปีศาจ - ตอนที่ 89
เป็นแบบนี้ได้ไง?
การยืนขึ้นของจั๋วฝานทำให้ทุกคนตื่นตกใจ โดยเฉพาะฉีเว่ยหลิน
พิษกลืนวิญญาณถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ยอดฝีมือระดับเซียนยังตายได้ แล้วมันเป็นแบบนี้ไปได้ไง?
“นะ-นั่นมันอะไร?”
ฉีเว่ยหลินสังเกตไฟสีฟ้าบนหน้าผากของจั๋วฝานและอุทาน”สิ่งนั้นคือตัวถอนพิษ?”
ไฟหายไปในวินาทีต่อมาและจั๋วฝานก็แสยะยิ้มชั่วร้าย”ฮ่าๆๆ คนตายไม่จำเป็นต้องรู้มาก”
ทั้งหมดตกใจและก้าวถอยหลัง
พวกเขาเห็นจั๋วฝานเดินมาและคำพูดของเขาก็ยิ่งทำให้เขากลัว
แต่ฉีเว่ยหลินกลับรวบรวมความกล้าขึ้นมาตอนสังเกตเห็นปะรำม่วงยังอยู่รอบจั๋วฝาน”ไม่ต้องห่วง เจ้าหนูนั่นติดอยู่ในอาวุธจิตวิญญาณของข้า ไม่มีทาง…”
“โฮก!”
เขาไม่ได้โอกาสอธิบายเหตุผลให้จบด้วยซ้ำขณะที่เสียงมังกรคำรามดังและแสงสีดำก็วิ่งผ่านหน้าอกเขา
ฉีเว่ยหลินอ้าปากค้างและเลือดก็ไหลออกจากปาก
“กะ..เกิดอะไรขึ้น?”ขณะที่ฉีเว่ยหลินเช็ดเลือด เขาก็รู้สึกว่าตัวของเขาเย็นขึ้น ชีวิตของเขากำลังไหลซึมแต่เขายังไม่เข้าใจว่าทำไม
เขามองไปทางฉีเทียนเหล่ยกับสองพี่น้องซ่งที่จ้องแต่หน้าอกเขา ฉีเว่ยหลินจึงก้มมองและพบรูดำขนาดเท่หมัดพ่นเลือดออกมา
เขาสังเกตว่ารูนั่นทะลุถึงหลังเขาด้วย มันราวกับมีบางสิ่งฝังเข้าหน้าอกเขา
“นี่..ได้ยังไง…”ฉีเว่ยหลินไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้นแม้ก่อนตาย แต่ตอนเขามองจั๋วฝาน ดวงตาของเขาก็หรี่ลง
จั๋วฝานโดนจับอยู่ใต้ปะรำม่วงจริง แต่มือเขายังกำเป็นรูปกรงเล็บมังกร
มันเองก็มีรูขนาดเท่ากำปั้นบนปะรำ ซึ่งสอดคล้องกับหน้าอกเขา
จากนั้นความกลัวถึงวิ่งแล่นไปทั่วร่างฉีเว่ยหลิน”สัตว์ประหลาด!เจ้าถึงกับทำลายอาวุธจิตวิญญาณระดับสี่ได้…ด้วย..แค่..พลัง..ร่างกายอย่างเดียว..”
ปัง!
ร่างของเขาล้มกระแทกพื้นอย่างแรง ดวงตายังเต็มไปด้วยความตกใจ
จั๋วฝานฆ่าเขาได้ในชั่วพริบตาแม้จะติดกับอยู่!
แม้กระทั่งยอดฝีมือระดับนภาก็ไม่สามารถแสดงพลังแบบนี้ได้ถ้าอยู่ในจุดเดียวกับจั๋วฝาน
[เขา…กำลังจะทำลายทั้งตระกูลข้า]
ร่วมกับความกลัวที่ฉีเว่ยหลินมี ความเสียใจไร้สิ้นสุดเริ่มตามมา…
“อ้า!”ซ่งเฉียนกรีดร้องด้วยความกลัวขณะหนี เข่าของฉีเทียนเหล่ยกับซ่งอวี่อ่อนยวบ ตัวสั่นขณะวิ่งตามนางไป
จั๋วฝานแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย
กระบวนท่าที่สอง กรงเล็บมังกรปีศาจ!
ท่ามกลางวิชายุทธ์ระดับนภา จั๋วฝานสามารถใช้กระบวนท่าแบบเต็มแรงได้แค่ครั้งเดียว แต่เขาก็ยังเหลือเรี่ยวแรงอีกครึ่ง
[แต่พลังนี้ก็พอแล้ว!}
วิชานี้เหมาะกับผู้บ่มเพาะกายา ยิ่งร่างกายแข็งแกร่ง การโจมตียิ่งร้ายแรง แต่ทว่า ผลลัพธ์สุดท้ายกลับเกินกว่าที่จั๋วฝานคิดไว้ มันเข้ากันได้กับกายสมบัติปีศาจระดับห้าของเขาอย่างสมบูรณ์!
อย่างแรก เขาแค่คิดที่จะทำลายอาวุธจิตวิญญาณระดับสี่ แต่ผลลัพธ์กลับแสดงให้เห็นว่าอาวุธจิตวิญญาณนั้นเหมือนกระดาษบางต่อหน้ากรงเล็บมังกรปีศาจ
“ฮี่ๆๆ ข้าตัดสินใจถูก ตั้งแต่ข้าหลอมร่างกายขึ้นใม่ วิชายุทธ์ของข้าก็ยิ่งแข็งแกร่ง.จั๋วฝานเผยรอยยิ้มสดใส
จากนั้น ปีกของเขาก็สะบัด
ครื่น!
ปะรำม่วงที่แตกกลายเป็นชิ้นๆ และจั๋วฝานก็จ้องทั้งสามอย่างเย็นชา ปีกของเขากระพือและไล่ตามไป
จากนั้นเขาก็ขวางการถอยพวกเขาและทั้งสามก็สะดุดล้มลงพื้นหน้าซีด
“ไป วิ่งสิ!”รอยยิ้มชั่วร้ายของจั๋วฝานทำให้ทั้งสามสั่นกลัว”ให้ข้าดูว่าใครจะเร็วกว่า ข้าหรือพวกเจ้า?”
“นะ-นายน้อยจั๋ว ตระกูลฉีหน้ามืดตามัวไม่เห็นความยิ่งใหญ่ของท่าน ท่านฆ่าปู่กับพ่อข้าไปแล้ว โปรดปล่อยข้าไปเถอะ”
ฉีเทียนเหล่ยกลัวรอยยิ้มชั่วร้ายจนหมอบกราบเอาหน้าผากกระแทกพื้น เขายังหลั่งน้ำตาออกมา
จั๋วฝานยิ้ม บีบคอเขาขึ้น”ตอนนี้ที่เจ้าพูด มันดีสุดที่ข้าจะฆ่าเจ้าเพื่อตามทั้งครอบครัวเจ้าไป”
เส้นสีดำลอยออกจากตัวจั๋วฝาน เจาะเข้าไปในตัวฉีเทียนเหล่ย ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็สลายเป็นฝุ่นผง กระจัดกระจายไปตามลม
สองพี่น้องซ่งจิตใจแหลกสลาย
จั๋วฝานยิ้ม”ถึงจุดนี้แล้วเจ้ามีอะไรอยากพูดอีกไหม?”
สุดท้าย มันก็คือซ่งเฉียนที่พูดผ่านริมฝีปากสั่นสะท้าน”น้องจั๋ว เราโดนบังคับ ตระกูลซ่งเป็นตระกูลรอง ไม่สามารถตอแยได้แม้กระทั่งตระกูลฉี ให้ชีวิตของข้าดับความโกรธของเจ้า แต่ได้โปรดปล่อยทายาทคนสุดท้ายของตระกูลซ่งไปเถอะ”
“พี่!”
น้ำตาของซ่งอวี่ไหลออกมาขณะที่ซ่งเฉียนมองเขาอย่างมุ่งมั่น
จั๋วฝานส่ายหัว”เจ้าก็เหมือนกับพวกเขา เจ้ายังลดระดับตัวเองลงมา..”
จากนั้นเขาก็หันไปมองท้องฟ้ากว้าง”ข้าสงสัยว่าพวกเจ้าจะทำอะไรอยู่ตอนนี้?ข้าสงสัยว่าการกระทำของข้าจะทำให้พวกเขาลำบากกว่าเดิม..”
“เจ้ากำลังพูดถึง..ตระกูลลั่ว”ซ่งเฉียนพูด
จั๋วฝานยิ้ม”เจ้าเหมือนมากจนทำให้ข้าทำไม่ลง”
สองพี่น้องเผยรอยยิ้ม แต่จากนั้นจั๋วฝานก็พูดเสียงเย็น”น่าเสียดาย มีส่วนหนึ่งที่เจ้าแตกต่าง..”
พรึ่บ!
ปีกของจั๋วฝานตวัดและหัวของสองพี่น้องก็ลอยในอากาศก่อนตกลงพื้น
สิ่งที่ทำให้มันน่าขนลุกขึ้นคือรอยยิ้มที่ยังมีความหวังของทั้งสอง
“พวกเจ้ามันน่ารังเกียจ”จั๋วฝานแค่นเสียง”พวกเจ้าสองคนรู้ว่าข้ามาจากไหน แต่ก็ยังเล่นกับความรู้สึกเหมือนข้าเป็นคนโง่ นี่คือราคาที่มาเล่นกับผู้บ่มเพาะปีศาจ ฮ่าๆๆ…”
จั๋วฝานจากไป ไม่สนใจศพหรือผลที่ตามมาเลย ไม่สนใจแม้แต่เสียงคร่ำครวญที่มาจากบ้านตระกูลฉี
หนึ่งเดือนต่อมา
ร่างสามร่างปรากฏในคฤหาสน์ตระกูลฉี พวกเขาสวมชุดสีเทาและผู้นำก็คือผู้อาวุโสสองของโหยวหมิงกู่
เขากวาดตามองทุกอย่างและพึมพำ”ไฉนตระกูลฉีถึงเงียบขนาดนี้?”
“ฮึ่ม พวกมันเร่งบอกเราว่ามีเบาะแสของเจ้าหนูนั่น แต่พอเรามา กลับไม่มีใครโผล่หัวมาสักคน”ผู้อาวุโสอีกคนก่นด่า”ตระกูลระดับสองแบบพวกมันคิดเล่นอะไร?”
ผู้อาวุโสสองพ่นลมและตะโกน”ไม่ มีบางอย่างผิดปกติที่นี่ ผู้อาวุโสสาม ผู้อาวุโสสี่ ไปตรวจสอบรอบๆ”
วินาทีหลังพวกเขาไป เสียงร้องก็ดังจากด้านหลังคฤหาสน์ตระกูลฉี”ผู้อาวุโสสอง ผู้อาวุโสสาม มาดูนี่เร็ว”
ทั้งคู่หายตัวไปในชั่วพริบตา แต่ภาพที่เห็นก็ทำให้พูดไม่ออก
สิ่งที่เคยเป็นสวนตอนนี้กลับกลายเป็นสุสานให้ศพนับพันกองทับกัน กลิ่นเหม็นเหน่าตีจมูกพวกเขา และมีแมลงวันบินว่อน
“เจ้าเด็กนั่นโหดร้ายมาก มันฆ่าทั้งตระกูลฉี”ผู้อาวุโสสองพูด
ผู้อาวุโสอีกสองคนนึกถึงภาพของเด็กที่ฉีกคนที่กำลังหนีและตระหนักว่าพวกเขายังด้อยกว่าเขาพอเป็นเรื่องความโหดร้าย
การเข่นฆ่าทั้งตระกูลเช่นนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อกรณีรุกรานราชวงศ์กับเจ็ดตระกูลใหญ่เท่านั้น
ผู้อาวุโสสองสั่งการ”พวกเจ้า จัดการกับศพ อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
“ทำไม?”
“พวกโง่ ถ้าทุกคนรู้ถึงการฆ่าล้างตระกูลของเด็กนี่ แล้วใครจะเต็มใจช่วยเราค้นหามัน?”ผู้อาวุโสสองด่าฉอด”ฮึ่ม ฉีเว่ยหลินชอบอวดโอ้ว่าตัวเองเทียบเท่ากับผู้อาวุโสเจ็ดของเรา เขาต้องวางแผนโค่นเด็กนี่เองและรับรางวัลแน่ นี่คือการกระทำของคนโลภ”
“คนโง่หลงตัวเอง!”ผู้อาวุโสสองสะบัดหน้าขณะที่หอคอยไฟพุ่งทะยานด้านหลังเขา มันกลืนคฤหาสน์และศพไป ทิ้งไว้แค่เศษซากตระกูลฉี
ผู้อาวุโสเหม่อมองเปลวไฟที่ลุกโหมและถาม”ผู้อาวุโสสอง เราจะเอายังไงกันต่อดี?”
“เราจะแยกกัน!”แววตาของผู้อาวุโสสองแข็งกร้าวขึ้น”เราสามจะแยกกันไปคนละทาง ถ้าเราแยกกัน หนึ่งในพวกเราต้องเจอเด็กนั่นแน่”
“แล้วถ้ามีทิศทางที่สี่ละ?”ผู้อาวุโสขมวดคิ้ว”ถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสสูงสุดปิดด่านบ่มเพาะ เราสี่คนคงพอ”
ผู้อาวุโสสองส่ายหัว”ไม่ต้องกังวลเรื่องทางนั้น มันนำไปสู่เมืองฮัวอวี่ ถ้าเด็กนั่นกล้าก้าวเท้าเข้าไป มันจะต้องเจอผู้อาวุโสห้า”
จากนั้นเขาก็บินไป ผู้อาวุโสอีกสองเลือกเส้นทางและจากไปเช่นกัน
สิ่งที่ทิ้งไว้ข้างหลังคือสถานที่น่าขนลุก ตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลานหลิงถูกลบหายไปจากโลกอย่างสิ้นเชิง…