พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 112 จักรพรรดิอาณาจักรจันทรา เหลียงซาน[รีไรท์]
บทที่ 112 จักรพรรดิอาณาจักรจันทรา เหลียงซาน[รีไรท์]
เมื่อหลิงเจิ้งสงได้ยินคำถามห้วน ๆ ของหลิงตู้ฉิง เขาขมวดคิ้วและรีบถามขึ้น “พวกเราสัมผัสได้ถึงพลังปีศาจที่แพร่ออกมาจากที่นี่ ด้วยความเป็นห่วงพวกเราเลยมาตรวจสอบดู”
หลิงตู้ฉิงตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงอะไร ข้าแค่เรียกปีศาจออกมาในคฤหาสน์เพื่อจับมาเลี้ยงก็แค่นั้น”
“แต่ข้าสัมผัสได้ถึง กลิ่นอายพลังจากนรก!” เหลียงซานพูดแทรกขึ้น
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าแล้วพูดตอบ “ใช่ ปีศาจที่ข้าเรียกออกมาคือ ปีศาจกระทิงเพลิงอเวจี”
จ้าวปาเทียนและหลิงเจิ้งสงต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง ปีศาจกระทิงเพลิงอเวจี? มันคือปีศาจแบบไหนทำไมไม่เคยได้ยิน?
เมื่อเหลียงซานได้ยินเช่นนั้น คิ้วของเขาก็ขมวดแน่นขึ้น “พวกปีศาจจากนรก พวกมันทุกตัวล้วนอันตรายและเลี้ยงไม่เชื่อง ทำไมเจ้าถึงไม่ฆ่ามันให้ตาย ๆ ไปซะ ทำไมเจ้าถึงต้องจับมันมาเลี้ยง?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ถึงปีศาจกระทิงเพลิงอเวจีจะเป็นปีศาจที่ดุร้าย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าข้ามันก็เป็นเหมือนลูกหมาลูกแมว และอีกอย่างปีศาจกระทิงเพลิงอเวจีนั้นขึ้นชื่อเรื่องความเร็วอันเป็นเลิศของมัน และบังเอิญข้าเองก็ไม่มีสัตว์วิเศษอะไรมาลากรถม้าอยู่พอดี ข้าจึงจับมันมาเพื่อลากรถม้าให้ข้า”
เมื่อหลิงตู้ฉิงพูดจบ เหลียงซานพยักหน้าและลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น เมื่อไม่มีอะไรแล้ว แม่ทัพหลิง อธิการบดีจ้าว ข้าฝากพวกเจ้าดูแลจัดการความวุ่นวายในเมืองด้วยละกัน ข้ากลับล่ะ”
พูดจบ เหลียงซานจึงพุ่งบินจากไปยังทิศทางที่วังหลวงตั้งอยู่ทันที
เมื่อเห็นว่าเหลียงซานได้จากไปแล้ว จ้าวปาเทียนหันไปหาหลิงตู้ฉิงและพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ “เจ้าควรจะไว้หน้าองค์จักรพรรดิบ้าง! อย่างน้อยเจ้าก็ควรยืนโค้งคำนับให้เขาสักหน่อยก็ยังดีไม่ได้เหรอไง?”
“เขาไม่คู่ควรหรอก” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ
“นี่เจ้า…” จ้าวปาเทียนพูดอะไรไม่ออกกับความดื้อดึงของหลิงตู้ฉิง เมื่อปลงอารมณ์อยู่สักพักจึงพูดว่า “เฮ้อ…ตอนนี้ข้าชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วที่ตัดสินใจยกหลานสาวข้าให้กับเจ้า และส่วนเรื่องเกี่ยวกับสถาบันข้าได้ดำเนินการจัดตั้งคณะใหม่ให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าจะได้เป็นคณบดีของคณะใหม่นี้ ข้าอยากจะรู้ว่าเจ้าจะตั้งชื่อคณะใหม่นี้ว่าอย่างไรดี?
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วครุ่นคิดในใจ ในตอนแรกเขาไม่ได้แม้แต่จะต้องการเป็นอาจารย์แต่ตอนนี้เขาดันกลายมาเป็นคณบดี และอีกอย่างการส่งลูก ๆ ของเขาเข้าเรียนที่สถาบันแห่งนี้ก็อาจจะใช้เวลาไม่นาน ฉะนั้นเขาจึงคิดตั้งชื่อคณะแค่เพียงง่าย ๆ นั้นก็คือ “งั้นเอาเป็นชื่อ คณะเปิดชั่วคราว ก็แล้วกัน”
จ้าวปาเทียนเมื่อได้ยินชื่อที่หลิงตู้ฉิงตั้ง เขาถึงกับหน้าเสีย “นี่เจ้า…เจ้าจะตั้งชื่อมันให้ดี ๆ กว่านี้หน่อยไม่ได้รึไง แล้วแบบนี้ใครเค้าจะอยากเข้าร่วมกับคณะของเจ้ากัน!?”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับ “ข้าก็ไม่ได้ต้องการให้คณะของข้ามีคนเยอะอยู่แล้ว ข้าไม่ชอบความวุ่นวาย ความตั้งใจแรกของข้าเพียงแค่ต้องการให้ลูก ๆ ของข้าได้เข้าสถาบันเพื่อที่จะให้พวกเขามีประสบการณ์การเข้าสังคม แต่ท่านเป็นคนบังคับข้า ให้เข้าเป็นอาจารย์เพื่อไปสอนและในเมื่อข้าเป็นคณบดี ข้าก็ควรจะมีสิทธิ์ตั้งชื่อคณะของตัวเองไม่ใช่รึไง?”
จ้าวปาเทียนที่ฟังหลิงตู้ฉิงพูดจนจบเขาได้แต่ถลึงตาใส่หลิงตู้ฉิงด้วยความโกรธ และพูดว่า “ได้! ถ้าเจ้าอยากได้ชื่อนี้นัก คณะเปิดชั่วคราว ก็ คณะเปิดชั่วคราว แต่เจ้าต้องรักษาสัญญามาเป็นคณบดีให้ข้า ข้าลงแรงกับการตั้งคณะใหม่ของเจ้าไปเยอะมาก ฉะนั้นเจ้าต้องเข้ามาที่สถาบันให้เร็วที่สุดเพื่อจัดการกับคณะที่ข้าเปิดให้!”
“ข้าจะเข้าไป วันพรุ่งนี้” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
จ้าวปาเทียนส่ายหัว จากนั้นเขาจึงกลับขึ้นไปบนฟ้าและอธิบายให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่ตอนนี้บินอยู่รอบบริเวณคฤหาสน์ให้แยกตัวกันจากไป
หลิงเจิ้งสงที่ยังคงยืนมองหน้าหลิงตู้ฉิงอยู่ เขาพูดขึ้น “เรื่องราวทั้งหมดในวันนี้เป็นแผนการใหญ่อะไรของเจ้ารึเปล่า ถ้าหากใช่ เจ้าต้องการให้ข้าช่วยอะไรเจ้าไหม?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มแล้วตอบกลับ “ท่านไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกท่านปู่ ข้าไม่ได้มีแผนการใหญ่อะไรทั้งนั้น ข้าก็แค่ต้องมีสัตว์วิเศษมาลากรถม้าของข้าเท่านั้นเอง”
เมื่อหลิงเจิ้งสงได้ยินเช่นนี้เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เช่นนั้น หากเจ้ามีอะไรให้ปู่ช่วย เจ้าก็ส่งคนไปบอกปู่แล้วกัน อ๋อ และยังมีอีกเรื่อง ปู่ได้สั่งสอนไอ้พวกลูกหลานที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวของปู่ไปเรียบร้อยแล้วเกี่ยวกับเรื่องคฤหาสน์เจ้า ปู่ขอให้เจ้าไม่ติดใจเอาความพวกเขาในอนาคตจะได้ไหม?”
“ข้าไม่ติดใจอะไรหรอก” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
“เอาล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วปู่กลับก่อนล่ะ” เมื่อหลิงเจิ้งสงพูดจบ เขาหันหลังแล้วบินจากไป
หลังจากหลิงเจิ้งสงจากไป หลิงตู้ฉิงได้หันไปหาบรรดาทหารและคนอื่น ๆ จากนั้นจึงพูดว่า “ทำไมพวกเจ้าถึงคุกเข่าให้กับคนนอก?”
มี่ไลที่ได้ยินคำถามเช่นนั้น นางตอบหลิงตู้ฉิงด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “นายท่าน คนผู้นั้นเป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ฉะนั้นข้าไม่กล้า…”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นับตั้งแต่พวกเจ้าลงนามในสัญญาโลหิตของข้า เจ้าคือคนของข้า เป็นคนของข้าแค่เพียงคนเดียว! พวกเจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องคุกเข่าให้กับใครนอกจากข้าเท่านั้น หากมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง พวกเจ้าก็ไม่มีค่าพอที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป!”
บรรดาทหารและคนในลานที่ได้ฟังคำประกาศเช่นนี้ พวกเขาต่างก้มหน้าเงียบ และเริ่มจะรู้สถานะของตนเองในอนาคตแล้วว่าควรจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
“แยกย้ายกันไปฝึกต่อได้!” หลิงตู้ฉิงตะโกนสั่ง
เมื่อได้ยินคำสั่ง บรรดาทหารจึงเคลื่อนแถวแยกกันไปฝึกต่อ แต่สำหรับพวกมี่ไลและคนอื่น ๆ นั้นยังยืนนิ่งไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรกับคำตำหนิของหลิงตู้ฉิง
เสี่ยวเยว่เฟิงที่ยืนอยู่ด้านข้างของหลิงตู้ฉิง นางก้มลงและกระซิบไปที่ข้างหูของหลิงตู้ฉิงว่า “นายท่าน จักรพรรดิของอาณาจักรนี้ มีกลิ่นอายที่แปลกมาก ข้าคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนธรรมดาแน่นอน”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “เขาเป็นคนของ ยอดเขาหยกจักรพรรดิ”
“ยอดเขาหยกจักรพรรดิ? เช่นนั้นการแสดงออกที่เราทำในวันนี้ มันไม่เท่ากับว่าเราประกาศความเป็นอริกับเขางั้นเหรอนายท่าน?” เสี่ยวเยว่เฟิงกล่าวด้วยสีหน้ากังวล
“หรือว่าข้าควรจะไปสังหารเขาในคืนนี้เลยดีไหมนายท่าน?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่จำเป็น ตราบใดที่เขาไม่มาสร้างความรำคาญให้กับข้าก่อน ข้าจะปล่อยให้เขาอยู่ของเขาไป และอีกอย่างหากเราฆ่าเขาในตอนนี้ ในขณะที่เขายังมีสถานะจักรพรรดิของอาณาจักรนี้อยู่ เราอาจจะเจอปัญหามากมายตามมาได้ในภายหลัง”
โม่หยูถังที่ได้ยินบทสนทนานี้ เขาพูดแนะนำขึ้นมาเช่นกัน “นายท่าน พวกคนจากยอดเขาหยกจักรพรรดิล้วนแต่เป็นพวกไม่ปกติ ข้าเกรงว่าหากเราไม่ลงมือจัดการกับเขาก่อน เราอาจถูกเล่นงานโดยไม่ทันตั้งตัวก็เป็นได้”
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรทั้งนั้นในตอนนี้ ข้าเชื่อว่าเขายังไม่กล้าทำอะไรผลีผลามหรอก” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ
ในขณะที่หลิงตู้ฉิงพูดจบ เงาดำขนาดใหญ่ได้พุ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาด้วยความรวดเร็วเกินกว่าที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราจะมีได้
เมื่อเงานั้นหยุดลงทุกคนจึงได้เห็นว่าเป็นกงหนิวนั่นเองที่มาหยุดลงตรงหน้าพวกเขา
“นายท่าน ข้ากลับมาแล้ว” กงหนิวโค้งหัวลงและพูดด้วยน้ำเสียงแฝงความเคารพ
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ดีมาก เจ้าไปพักผ่อนได้ เมื่อข้าต้องการออกไปข้างนอก ข้าจะเรียกเจ้าอีกที”
“รับทราบ นายท่าน” พูดจบกงหนิวจึงเดินไปหยุดอยู่มุมอีกด้านของลาน
ในขณะนี้ เหลียงซาน ที่กลับมาถึงพระราชวังกำลังนั่งขมวดคิ้ว
หลังจากนั่งครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเหลียงซานก็เรียกข้ารับใช้ผู้หนึ่งเข้ามาและพูดว่า “ส่งคนไปตรวจสอบทุกอย่างเกี่ยวกับหลิงตู้ฉิงอย่างลับ ๆ อย่าให้ใครรู้ นอกจากนี้ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับปีศาจกระทิงเพลิงอเวจีด้วยว่ามันมาจากไหน”
ข้ารับใช้ผู้นั้นพยักหน้าและถอยจากไปอย่างเงียบ ๆ
หลังจากข้ารับใช้ออกไปแล้ว เหลียงซานก็พึมพำกับตัวเอง “มีผู้ติดตามขอบเขตนภาและยังมีสมบัติระดับราชวงศ์อยู่ในมือ อืม… หวังว่ามันจะไม่มาขัดขวางแผนการของข้า ไม่เช่นนั้น ต่อให้มันเป็นคนจากขุมพลังทรงอำนาจอื่น ข้าจะทำให้มันเสียใจที่บังอาจมาขวางทางข้า!”
แม้ว่าเหตุการณ์ที่คฤหาสน์สราญรมย์ในวันนี้จะทำให้เหลียงซานรู้สึกไม่ปลอดภัย แต่ในเมื่อฝั่งตรงข้ามยังถือไพ่ที่ค่อนข้างใหญ่ ฉะนั้นเขาจึงเลือกที่จะคอยเฝ้าจับตาดูหลิงตู้ฉิงไปก่อน
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน เหลียงซานได้รับรายงานเกี่ยวกับปีศาจกระทิงเพลิงอเวจี และผลลัพธ์ที่ได้มาก็แทบไม่มีประโยชน์
ปีศาจกระทิงเพลิงอเวจีเคลื่อนที่เร็วเกินไป จึงไม่มีใครรู้ว่าปีศาจกระทิงเพลิงอเวจีไปที่ใด แต่มีรายงานยืนยันที่แน่นอนแล้วว่าตอนนี้ปีศาจกระทิงเพลิงอเวจีได้กลับไปที่ คฤหาสน์สราญรมย์แล้ว
กลับมาที่คฤหาสน์สราญรมย์
ตอนนี้มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยไม่สบายใจเป็นอย่างมากที่หลิงตู้ฉิงตำหนิพวกนางในเรื่องที่พวกนางคุกเข่าให้กับจักรพรรดิเหลียงซาน
พวกนางกลัวว่าการกระทำของพวกนางจะทำให้หลิงตู้ฉิงไม่ชอบใจและไม่เอ็นดูพวกนางเหมือนดังเดิม จนไล่พวกนางให้ออกไปจากคฤหาสน์
เมื่อตกดึกหลังจากที่ทุกคนเข้านอนทั้งมี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยก็ไม่สามารถนอนหลับได้ ยิ่งพวกนางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่พวกนางก็ยิ่งกลัวมากขึ้น ทั้งสองต่างมีความคิดเดียวกัน คือย่องไปที่ห้องหลิงตู้ฉิงอย่างเงียบ ๆ
เมื่อพวกนางมาถึงประตูห้องของหลิงตู้ฉิง หญิงสาวทั้งสองก็พบกัน พวกนางจ้องหน้ากันและตระหนักว่าต่างคิดเหมือนกัน
ทั้งคู่จึงพยักหน้าและพร้อมใจกันเปิดประตูเข้าไปในห้องของหลิงตู้ฉิง
เมื่อประตูถูกเปิด หลิงตู้ฉิงที่นอนอยู่บนเตียงลุกขึ้นนั่งมองพวกนางด้วยความประหลาดใจและถามว่า “พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่ นี่ก็ดึกมากแล้ว ทำไมถึงยังไม่หลับไม่นอนกัน?”
หลิวเฟ่ยเฟ่ยคุกเข่าลงข้างเตียงของหลิงตู้ฉิงและพูดพร้อมกับก้มหัวลง “นายท่าน วันนี้ข้าผิดไปแล้วข้าไม่ควรคุกเข่าให้จักรพรรดิ แต่ข้าเป็นเพียงคณิกา ข้าเลยไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนโปรดลงโทษข้าแต่อย่าไล่ข้าออกไป”
มี่ไลเองก็พูดในสิ่งเดียวกัน
หลิงตู้ฉิงตอบอย่างอารมณ์ดี “พวกเจ้าไม่ต้องกังวลอะไรให้วุ่นวายใจ พวกเจ้าคือคนของข้าและพวกเจ้าเองก็ช่วยงานข้ามามากมาย ข้าย่อมจะไม่ไล่พวกเจ้าออกไป”
มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยยืนขึ้นเงยศีรษะและมองไปที่หลิงตู้ฉิงอย่างมีความสุขและพูดว่า “ขอบคุณนายท่าน”
“เอาล่ะ พวกเจ้าสบายใจแล้วนะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็รีบกลับไปนอนกันเถอะ” หลิงตู้ฉิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หลิวเฟ่ยเฟ่ยเรียกความกล้าของนางและพูดว่า “นายท่าน คืนนี้ให้พวกเรานอนกับนายท่านได้ไหม?”
“หากพวกเจ้าต้องการเช่นนั้น งั้นก็ขึ้นมา” หลิงตู้ฉิงพูดอย่างไม่สนใจ มี่ไลและหลิวเฟ่ยเฟ่ยมองหน้ากันจากนั้นก็เดินไปล้มตัวนอนลงบนเตียงขะนาบข้างหลิงตู้ฉิงและอิงแอบแนบชิดกับแขนของเขา
อันที่จริงพวกนางเองกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้หลิงตู้ฉิงนอนกับพวกนาง แต่พวกนางก็อายเกินกว่าจะรุกหลิงตู้ฉิงในเวลานี้ เนื่องจากพวกนางไม่ได้อยู่กับหลิงตู้ฉิงเพียงสองต่อสอง พวกนางจึงทำได้แต่ข่มตาหลับลงไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในวันถัดมา หลังจากที่ทุกคนเรียนเสร็จตามปกติ หลิงตู้ฉิงจึงออกเดินทางไปสถาบันราชวงศ์