พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 123 ลูกปัดสะสมวิญญาณ[รีไรท์]
บทที่ 123 ลูกปัดสะสมวิญญาณ[รีไรท์]
ตู้กู่หยางเจียนหัวเราะ “อาจารย์หลิง ท่านอย่าได้เกรงใจ โปรดเลือกสิ่งที่ท่านต้องการได้เลย ข้ายินดีทำการแลกเปลี่ยนทุกอย่างที่ท่านต้องการ”
อันที่จริงหากหลิงตู้ฉิงต้องการให้เขามอบทุกอย่างให้ โดยอ้างว่าเป็นราคาของการถอนพิษ ตู้กู่หยางเจียนเองก็พร้อมจะตกลงโดยเขาจะไม่ปริปากบ่นแม้เพียงครึ่งคำอยู่แล้ว
หลังจากได้รับการอนุญาตของตู้กู่หยางเจียน หลิงตู้ฉิงก็หยิบแท่งทองแดงชิ้น พร้อมกับของอีก 2 อย่างออกมาจากกองสมบัติของตู้กู่หยางเจียน ทุกอย่างที่หลิงตู้ฉิงหยิบออกมานั้น พวกมันทั้งหมดเป็นสิ่งที่ตู้กู่หยางเจียนไม่รู้จักและหลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้อธิบายให้เขาฟัง หลังจากการแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น ตู้กู่หยางเจียนก็จากไป
จากนั้นคนอื่น ๆ ก็ถูกทยอยเรียกเข้ามาทีละคนจนครบ
เมื่อการแลกเปลี่ยนเสร็จสมบูรณ์ หลิงตู้ฉิงนั้นพอใจกับบรรดาสิ่งของที่เขาได้มาเป็นอย่างมาก
หลิงตู้ฉิงตรวจสอบสิ่งของที่เขาได้รับโดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกปัดที่เขาได้รับจากตู้กู่หยางเจียน เขาพอใจกับมันมาก “ด้วยลูกปัดสะสมวิญญาณนี้ ข้าสามารถปรับแต่งมันให้กลายเป็นจุดตันเถียนชั่วคราวให้กับพ่อบ้านโม่ได้ จากนั้นเขาจะสามารถใช้พลังวิญญาณร่วมกับทักษะการต่อสู้ได้ชั่วคราว”
หลังจากพึมพำกับตัวเองได้สักพัก หลิงตู้ฉิงจึงเดินออกจากห้องทำงานและเดินไปยังลานฝึกและตะโกนกับเสี่ยวเยว่เฟิงว่า “บอกให้ทุกคนเตรียมตัวกลับคฤหาสน์ และแจ้งนักศึกษาคนอื่น ๆ ด้วยว่าชั้นเรียนจะทำการสอนแต่เฉพาะคาบเช้า ส่วนชั้นเรียนในช่วงบ่ายจะถูกยกเลิกชั่วคราว”
เสี่ยวเย่วเฟิง เมื่อได้ยินคำสั่ง นางพยักหน้า จากนั้นจึงเดินไปดำเนินการตามที่หลิงตู้ฉิงสั่ง และจากนั้นนางและกงหนิวจึงพาทุกคนกลับไปถึงยังคฤหาสน์ในชั่วพริบตา
เมื่อทุกคนได้กลับมาถึงคฤหาสน์สราญรมย์แล้ว หลิงตู้ฉิงหันไปหาทุกคนและเริ่มออกคำสั่ง “กงหนิว ทุกเช้าเจ้าคอยส่งครูถังไปที่สถาบันราชวงศ์ทุกวันและคอยนางจนกว่านางจะสอนเสร็จและพานางกลับมากับเจ้าด้วย ส่วนคนอื่น ๆ ให้หยุดอยู่ที่นี่ชั่วคราว พ่อบ้านโม่เจ้าเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเสียอายุขัยไปครึ่งหนึ่ง เพื่อแลกกับผลประโยชน์มหาศาลที่ข้าจะมอบให้เจ้า ส่วนเสี่ยวเยว่เฟิงเจ้าตามข้ามา ครั้งนี้ข้าต้องให้เจ้าช่วยสร้างเพลิงระดับนภาเพื่อช่วยพ่อบ้านโม่”
เมื่อสั่งทุกอย่างจนเสร็จ หลิงตู้ฉิงจึงเดินไปยังพื้นที่ว่างของลานหน้าคฤหาสน์เพื่อลงมือสร้างค่ายกลที่ไว้ใช้สำหรับหลอมวัสดุต่าง ๆ ที่ได้รับมา ส่งผลให้ตอนนี้กระแสพลังวิญญาณจากบริเวณรอบ ๆ คฤหาสน์เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในค่ายกลอย่างไม่หยุดหย่อน
เมื่อเวลาผ่านไป ทุก ๆ เช้ากงหนิวจะลากรถพาถังชี่หยุนไปที่สถาบันราชวงศ์ หลังจากบรรยายไป 2 ชั่วโมงก็จะกลับทันที แต่การหายไปของหลิงตู้ฉิงและลูก ๆ ของเขา ทำให้นักศึกษาคนอื่น ๆ ในคณะเปิดชั่วคราวรู้สึกแปลกมาก เหตุใดคณบดีและครอบครัวของเขาถึงไม่เข้ามาที่สถาบันกัน?
เมื่อข่าวที่หลิงตู้ฉิงออกคำท้ากับคณะอื่น ๆ แพร่ออกมา ในที่สุดกลุ่มนักศึกษาในคณะของหลิงตู้ฉิงก็เข้าใจว่าทำไมคณบดีของพวกเขาถึงหายไป พวกเขาเข้าใจว่าคณบดีและอาจารย์โม่ของพวกเขาคงกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการประลอง โดยเฉพาะการประลองครั้งนี้เดิมพันด้วยอาวุธวิเศษของหลิงตู้ฉิงแถมหากคณะพวกเขาแพ้ คณะของพวกเขาอาจถูกยุบอย่างถาวร
ในพริบตา 5 วันผ่านไป ภายในลานหน้าคฤหาสน์พลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านในที่สุดก็หยุดลง พ่อบ้านโม่ที่ในตอนนี้กำลังยืนอยู่ในค่ายกล ส่วนหลิงตู้ฉิงและเสี่ยวเยว่เฟิงที่ยืนอยู่ด้านนอกต่างมีสีหน้าที่เหน็ดเหนื่อย
“พ่อบ้านโม่ ลูกปัดสะสมวิญญาณนี้ได้ถูกผนึกไว้ในจุดตันเถียนของเจ้าเพื่อใช้เป็นแหล่งกักเก็บพลังวิญญาณเพียงชั่วคราวเท่านั้น เจ้าต้องระลึกเอาไว้ให้ดีว่ามันไม่สามารถแทนที่จุดตันเถียนที่แท้จริงของเจ้าได้ ดังนั้นเจ้าจะสามารถใช้ระดับความแข็งแกร่งดั้งเดิมของเจ้าได้เพียงเท่านั้น เจ้าไม่สามารถบ่มเพาะเพื่อทะลวงขอบเขตไปยังระดับสูงกว่าที่เจ้าเคยเป็นในอดีตได้” หลิงตู้ฉิงเตือนเขาว่า “และยังมีอีกอย่างที่เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเส้นลมปราณของเจ้านั้นพิการมาหลายปี แม้ว่าข้าจะผสานเส้นลมปราณให้แล้วแต่มันก็ยังเป็นการผสานที่ไม่สมบูรณ์ ฉะนั้นต่อให้เจ้าจะสามารถใช้พลังวิญญาณของเจ้าได้ด้วยความช่วยเหลือของลูกปัดสะสมวิญญาณ แต่เจ้าก็ไม่สามารถใช้มันได้นานเกินไป”
“ตามการคาดการณ์ของข้า ถ้าเจ้าใช้ระดับพลังวิญญาณสูงสุดที่เจ้าเคยเป็นในขอบเขตนภา เจ้าจะสามารถคงความแข็งแกร่งได้แค่ช่วงเวลา 1 ก้านธูป ส่วนหากเป็นการใช้พลังขอบเขตรวมแสงดารา เจ้าสามารถใช้พลังระดับนั้นได้อยู่หลายชั่วยามต่อเนื่องโดยไม่น่ามีปัญหาอะไร สำหรับจุดตันเถียนและเส้นลมปราณของเจ้าที่ข้าผสานให้ชั่วคราว เจ้ายังคงต้องรอจนกว่าข้าจะทะลวงขอบเขตประสานทะเลปราณ ซึ่งอาจจะต้องรอสัก 2-3 ปี จากนั้นข้าถึงจะสามารถผสานให้พวกมันกลับมาสมบูรณ์ได้ดังเดิม”
โม่หยูถังหัวเราะอย่างมีความสุข “นายท่าน แค่ข้าสามารถกลับมาใช้พลังวิญญาณได้เหมือนอย่างเก่าถึงแม้ว่าข้าจะใช้มันได้เพียงชั่วเวลาสั้น ๆ แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ลูกปัดสะสมวิญญาณนี้เป็นของดี ในอนาคตเจ้าสามารถฝึกฝนมันให้กลายเป็นร่างแยกของเจ้าได้ฉะนั้นอย่าทำให้เสียของล่ะ”
“ขอบคุณ นายท่าน!” โม่หยูถังขอบคุณเขา
“ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไรกับข้ามากมาย แค่เมื่อถึงเวลา เจ้าต้องสั่งสอนบทเรียนให้กับบรรดาพวกน่ารำคาญเหล่านั้นให้จดจำภาพของเจ้าไปจนวันตาย” หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม
โม่หยูถังพยักหน้า “นายท่าน ข้ารับประกันว่าเมื่อข้าลงมือ พวกเขาจะไม่กล้ามาสร้างความรำคาญให้กับนายท่านอีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและมองกลับไปที่เสี่ยวเยว่เฟิงที่ซีดเซียวและพูดว่า “ 5 วันที่ผ่านมาเจ้าลงแรงหนักไม่น้อยโดยใช้เปลวเพลิงนภาของเจ้าอย่างต่อเนื่อง เดี๋ยวข้าจะจัดการหลอมโอสถเพื่อเติมเต็มพลังวิญญาณของเจ้า”
“ไม่เป็นไร นายท่าน!” เสี่ยวเยว่เฟิงยิ้มและพูดว่า “แม้ว่ามันจะไม่ง่ายที่จะใช้เปลวเพลิงนภาติดต่อกันเป็นเวลานาน แต่ข้าเองก็ได้รับประโยชน์เช่นกันโดยเฉพาะมันทำให้ข้าเพิ่มพูนทักษะการควบคุมเปลวเพลิงได้เป็นอย่างมาก”
“ขอบคุณมาก แม่นางเสี่ยว” โม่หยูถังโค้งคำนับไปยังเสี่ยวเยว่เฟิง
“ด้วยความยินดี ท่านพ่อบ้าน!” เสี่ยวเยว่เฟิงก็ตอบกลับ
เมื่อเสร็จธุระของโม่หยูถัง วันรุ่งขึ้นหลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ทั้งหมด จึงกลับไปที่สถาบันราชวงศ์ตามเดิม
วันนี้เป็นการบรรยายบทเรียนพิเศษของถังชี่หยุนอีกครั้ง ซึ่งก็เช่นเคยมันทำให้ทุกคนที่เข้าร่วมชั้นเรียนของคณะเปิดชั่วคราวได้รับประโยชน์อย่างมาก หลังจากผ่านไป 2 ชั่วโมงเมื่อจบชั้นเรียน คนส่วนใหญ่ก็เริ่มแยกย้ายกันออกไปจากลานบรรยาย
ยกเว้นก็แต่จ้าวปาเทียนและผู้อาวุโสอีก 2-3 คน ซึ่งได้เดินเข้ามาทักทายหลิงตู้ฉิงและถามว่าเขาต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่
พวกเขาทั้งหมดเป็นบุคลากรเก่าแก่ของสถาบันราชวงศ์ นอกจากนี้อาจารย์หลาย ๆ คนยังเป็นนักศึกษาของพวกเขาด้วย ถ้าพวกเขาออกหน้าความวุ่นวายนี้ก็จะถูกทุเลาลงไปได้หลายส่วน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาลองตรวจสอบโม่หยูถัง และยังคงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเขา จ้าวปาเทียนและบรรดาผู้อาวุโสพวกนี้ก็ยิ่งกังวลมากขึ้น นี่ก็ใกล้จะถึงวันประลองแล้วทำไมโม่หยูถังจึงยังดูเป็นเป็นพ่อบ้านชราที่อ่อนแออยู่?
“ไม่จำเป็น แค่พรุ่งนี้พวกท่านอย่าพลาดไปร่วมชมความสนุกที่ข้าจะมอบให้ก็พอ” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ
จากนั้นหลิงตู้ฉิงหันไปหาตู้กู่หยางเจียน และพูดว่า “ข้าจะช่วยท่านจัดการกับพิษในร่างกายของท่านหลังจากการประลองพรุ่งนี้จบลง”
ตู้กู่หยางเจียนยิ้มและพูดว่า “อาจารย์หลิง ท่านไม่ต้องกังวล ข้าสามารถรอได้”
บรรดานักศึกษาของคณะหลิงตู้ฉิงที่ตอนนี้กำลังมองไปยังคณบดีของพวกเขาที่กำลังคุยอยู่กับบรรดาผู้อาวุโสและอธิการบดี เวลานี้แม้ว่าพวกเขาจะพยายามทำตัวฝึกทุกอย่างเหมือนปกติ แต่ในใจพวกเขาเองก็กังวล พวกเขาในเวลานี้เริ่มไม่แน่ใจเช่นกันว่าหากอาจารย์ของพวกเขาโดนรุมกินโต๊ะจากบรรดาอาจารย์ของอีกทั้งสี่คณะแล้วจะไหวไหม?
ผ่านไปอีกวัน วันนี้คือวันแห่งสัญญาการประลอง
หลังจากชั้นเรียนในคณะเปิดชั่วคราวเสร็จสิ้น อาจารย์จากบรรดาทุกคณะรวมถึงบรรดานักศึกษาต่างก็มารวมตัวกันที่หน้าอาคารคณะเปิดชั่วคราว
เมื่อทุกคนมาถึงหน้าทางเข้า นักศึกษาทุกคนถูกกั้นไว้ มีเพียงอาจารย์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังในอาคาร
“นายท่าน แจ้งว่าเขากลัวว่าท่านจะเสียหน้าต่อหน้าลูกศิษย์มากเกินไป เพื่อปกป้องชื่อเสียงของท่าน นักศึกษาจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าชม” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดเบา ๆ
จิ๋นห้าวหมิงหัวเราะเยาะ “นี่นายของเจ้าคิดว่าข้าจะแพ้อย่างนั้นเหรอ ฮ่า! คอยดูก็แล้วกันวันนี้ข้าจะทำให้นายของเจ้าพร้อมกับคณะเส็งเคร็งของเขาหายไปจากสถาบันราชวงศ์ตลอดกาล!”
“ข้าหวังว่าท่านจะยังใช้น้ำเสียงเช่นนี้ได้หลังจบการประลองวันนี้” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ
จากนั้นนางก็ปล่อยให้อาจารย์ทุกคนเข้าไปยังในอาคาร การประลองครั้งนี้หลิงตู้ฉิงได้จัดเตรียมใช้ห้องโถงขนาดใหญ่ด้านในอาคารเป็นสถานที่สำหรับการประลอง
การประลองนี้ถือเป็นงานคึกครื้นที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมาของสถาบันราชวงศ์ ดังนั้นบรรดาอาจารย์จึงต่างพากันมาเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
ในบรรดาอาจารย์หลายสิบคน มีมากกว่า 12 คนอยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา ส่วนอาจารย์คนอื่น ๆ ล้วนอยู่ในระดับสูงในขอบเขตประสานทะเลปราณและอาจารย์ที่ระดับการบ่มเพาะต่ำที่สุดคือขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 7
อาจารย์หลายคนที่มีจุดประสงค์มาเพื่อเข้าร่วมการประลอง ต่างก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจเช่นกัน ที่พวกเขากำลังจะต่อสู้กับคนธรรมดาที่ไม่มีระดับการบ่มเพาะใด ๆ
แต่เมื่อพวกเขานึกถึงของเดิมพันการประลองในครั้งนี้ ทุกคนต่างยอมอดทนยอมรับความอัปยศอดสูครั้งนี้เอาไว้
มู่เหวินหาว เป็นหนึ่งในอาจารย์ของคณะศาสตร์ยุทธและปัจจุบันเขาอยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 เขาเองก็มีความคิดที่จะขึ้นไปบนเวทีประลองเพื่อลองเสี่ยงโชคในการครอบครองอาวุธวิเศษของหลิงตู้ฉิง วันนี้เขาแต่งตัวมาเต็มยศใส่เสื้อคลุมสัญลักษณ์คณะศาสตร์ยุทธที่ปักไว้ด้านหลังตัวใหญ่ แถมยังแบกธงสัญลักษณ์ของคณะโบกไปมาพร้อมกับร้องโห่ระหว่างเดินเข้าไปในอาคารของคณะชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาก้าวเข้าไปในด้านในอาคารคณะเปิดชั่วคราวและเห็นกลุ่มชายชราอยู่ข้างในเขาก็ตกตะลึงทันที
จากนั้นเขารีบวิ่งไปที่ตู้กู่หยางเจียน คุกเข่าลงและพูดว่า “อาจารย์ ข้าไม่ได้ยินข่าวคราวของท่านมาหลายปีแล้ว ท่านยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ด้วย!”
ตู้กู่หยางเจียน เขาหันไปมองยังมู่เหวินหาวและเมื่อเห็นการแต่งตัวของศิษย์เขา เขาตวาดเสียงดังลั่นทันที “นี่เจ้า! ไอ้ลูกศิษย์เนรคุณ เจ้ามาทำอะไรที่นี่ เจ้าอยากจะให้ข้าตายจริง ๆ อย่างนั้นหรือไง!?”
“อาจารย์ ท่านหมายความว่ายังไง?” มู่เหวินหาวถามด้วยความงุนงง
“เจ้านี่มันไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฝั่งตรงข้ามคณะของเจ้าเป็นตัวตนระดับไหน กลับยังกล้ามาเสนอหน้าโห่ร้องอะไรไม่เข้าท่า เจ้าอยากตายมากนักหรือยังไง! การประลองในวันนี้เจ้าห้ามยุ่งเกี่ยวเด็ดขาด! จงมายืนดูอยู่ข้างข้าเท่านั้นอย่ากระดิกไปไหน!”
“อาจารย์แต่ของเดิมพัน…” มู่เหวินหาวเอ่ยด้วยสีหน้าไม่อยากยอมรับ
“ฮ่า! ข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าข้าไปพลาดมีลูกศิษย์ที่โง่เช่นเจ้าได้ยังไง” ตู้กู่หยางเจียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าคิดจริง ๆ เหรอว่าเจ้าและทุกคนที่นี่จะมีโอกาส? เขาไม่ใช่พ่อของเจ้า แล้วเจ้าคิดได้ยังไงว่าเจ้าจะสามารถเอาอาวุธของเขามาได้ง่าย ๆ ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าตาสว่าง แม้แต่ตัวข้าที่เป็นอาจารย์ของเจ้า ยังต้องไปฟังชั้นเรียนของเขา แล้วเจ้าถือเป็นตัวอะไรกันที่กล้ามาที่นี่มาท้าทายตัวตนระดับนี้?”