พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 124 เก้าขุมนรก[รีไรท์]
บทที่ 124 เก้าขุมนรก[รีไรท์]
อันที่จริง คนส่วนใหญ่ในสถาบันราชวงศ์นั้นดูออกว่าการที่หลิงตู้ฉิงยอมวางเดิมพันไว้สูงขนาดนี้เขาต้องมีไพ่เด็ดอยู่ในมือ
แต่คนที่รู้ส่วนใหญ่กลับเลือกมองข้ามไป พวกเขาพร้อมใจที่จะลองเสี่ยงดวง เพื่ออาวุธอันทรงพลังชิ้นนี้ ถึงแม้จะมีโอกาสแค่หนึ่งในพันก็ตามที่พวกเขาจะได้มันมาครอบครอง
มู่เหวินหาวไม่ได้คาดว่าเมื่อเขามาที่คณะเปิดชั่วคราวแล้วเขาจะได้พบอาจารย์ของเขาที่ไม่เจอมาหลายปี และยิ่งโดยเฉพาะเมื่อเขาได้ยินคำพูดของอาจารย์ เขาแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง
“ท่านอาจารย์ ข้าหูฝาดไปเหรอ? ท่านบอกว่าท่านมาเข้าฟังบทเรียนของที่นี่หยั่งงั้นเหรอ? ท่านล้อข้าเล่นรึเปล่า?” มู่เหวินหาวถามด้วยสีหน้าไม่เชื่อ
ตู้กู่หยางเจียนทำสีหน้าเมินใส่และเริ่มออกเดินไปยังห้องโถงที่เตรียมไว้สำหรับจัดการประลองวันนี้และพูดว่า “เจ้าแค่ตามข้ามา และคอยยืนดูอยู่ข้าง ๆ ข้าก็พอแล้ว อย่าถามอะไรให้มันมาก! ข้าบอกไว้เลยถ้าวันนี้เจ้าทำให้ข้าโกรธ ข้าจะให้เจ้าคุกเข่าที่หน้าคณะเปิดชั่วคราว 1 อาทิตย์เต็ม!”
เมื่อได้ยินอาจารย์ของเขาตะคอกกลับเช่นนี้ มู่เหวินหาวจึงได้แต่เดินคอตกตามอาจารย์ของเขาไปอย่างเงียบ ๆ ไม่กล้าถามอะไรออกไปอีก แต่ในใจของเขากลับยังไม่ยอมแพ้ เขาครุ่นคิดในใจหากมีโอกาส เขาต้องฉวยโอกาสออกไปประลองให้ได้!
เหตุการณ์ลักษณะนี้ เริ่มเกิดขึ้นกับอีกหลายคน บรรดาผู้อาวุโสที่เข้าฟังชั้นเรียนของถังชี่หยุนเมื่อพวกเขาเห็นว่าบรรดาศิษย์ของตัวเองมาที่นี่เพื่อลองของกับคณะของหลิงตู้ฉิง พวกเขาทุกคนต่างด่ากราดไปยังบรรดาศิษย์ และสั่งให้พวกเขายืนดูอยู่เงียบ ๆ ห้ามมีส่วนร่วมอะไรกับการประลองทั้งนั้น
ส่วนทางด้านของจิ๋นห้าวหมิงและเว่ยเทียนไล้ เมื่อพวกเขาเห็นเหล่าผู้อาวุโสดึงตัวบรรดาศิษย์ของพวกเขาให้อยู่เฉย ๆ จิ๋นห้าวหมิงและเว่ยเทียนไล้ต่างคิดว่าเป็นเพราะจ้าวปาเทียนได้ใช้ความสัมพันธ์ของเขากับเหล่าบรรดาผู้อาวุโสพวกนี้ที่สนิทกันมานานขอร้องให้ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของหลิงตู้ฉิง
จิ๋นห้าวหมิงหัวเราะเยาะในใจ “ดี! ยิ่งถอนตัวไปเยอะได้เท่าไหร่ยิ่งดี ข้าจะได้มีคู่แข่งน้อยลง!”
เมื่อทุกคนเข้ามาที่ห้องโถงกันครบจนหมด ภายในห้องโถงมีการนำเวทีขนาดใหญ่มาตั้งไว้อยู่ตรงกลาง
จิ๋นห้าวหมิงมองไปยังหลิงตู้ฉิงที่อยู่อีกฟากหนึ่งของห้องและตะโกนขึ้น “หลิงตู้ฉิง หากเจ้ายอมแพ้พร้อมกับขอโทษพวกเราและยุบคณะของเจ้าไปซะ ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้จากไปโดยที่ไม่เสียเดิมพันที่เจ้าให้ไว้กับพวกเรา!”
เพื่อทำให้ภาพลักษณ์ตนเองมีความชอบธรรม จิ๋นห้าวหมิงใช้ประโยคที่เหมือนกับให้ทางถอยหลิงตู้ฉิง ทั้งที่ในใจของเขาเองนั้นรู้ดี เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงจุดนี้แล้วไม่มีทางที่หลิงตู้ฉิงจะสามารถกลับลำได้อีกต่อไป
หลิงตู้ฉิงพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าควรเก็บคำพูดเหล่านั้นไว้กับตัวเองมากกว่า พวกเจ้าควรจะขอยอมแพ้และจ่ายค่าเสียเวลามาให้ข้าตอนนี้ ก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น ไม่เช่นนั้นถึงต่อให้การประลองครั้งนี้จะไม่มีการเอาชีวิตถึงตาย แต่พ่อบ้านโม่ของข้า ทักษะของเขาออกจะค่อนข้างพิเศษอยู่สักหน่อย แม้พวกเจ้าจะไม่ตาย แต่พวกเจ้าจะต้องไม่มีวันลืมการประลองครั้งนี้ไปตลอดชีวิต!”
โม่หยูถังที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกตกใจกับคำพูดของหลิงตู้ฉิง เขายังไม่เคยได้ใช้ทักษะอะไรใด ๆ ต่อหน้าหลิงตู้ฉิงเลย แล้วทำไมหลิงตู้ฉิงถึงพูดคล้ายกับว่าเขารู้อยู่แล้วว่าโม่หยูถังนั้นมีทักษะอะไรซ่อนอยู่
โม่หยูถังได้แต่ยิ้มพร้อมกับสลัดความคิดสงสัยอันไร้ประโยชน์ออกไปและพูดว่า “นายท่าน ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะเบามือกับพวกเขาให้ได้มากที่สุด”
เมื่อเห็นทั้งสองคนพูดจาตอบรับกันอย่างไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา สีหน้าของจิ๋นห้าวหมิงและคนอื่น ๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นหน้าเกลียดทันที
ไอ้เวรนายบ่าวสองคนนี้จะดูถูกพวกเขามากเกินไปแล้ว!
จิ๋นห้าวหมิงพูดอย่างเย็นชาว่า “ขอบคุณในน้ำใจที่พวกเจ้ายังอุตส่าห์เป็นห่วงพวกเรา แต่พวกเจ้าควรห่วงตัวเองมากกว่า! พวกเจ้าควรเตรียมใจไว้ ในการประลอง อะไรก็เกิดขึ้นได้หากพวกเจ้าเกิดพิการขึ้นมาก็อย่าได้โทษคนอื่นก็แล้วกัน!”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็คงช่วยไม่ได้ ถือว่าพวกเจ้ารนหาที่เองก็แล้วกัน เอาล่ะพวกเจ้าเริ่มเลือกมาได้เลย ว่าจะประลองอะไรก่อน หากต้องการประลองเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้พวกเจ้าสามารถประลองกับพ่อบ้านโม่ของข้าได้เลย แต่หากเป็นในแขนงอื่น ๆ พวกเจ้ามาประลองกับข้าแทน”
“ข้าขอท้าทายอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ของเจ้าก่อน!” อาจารย์วัยกลางคนร่างใหญ่กระโดดออกมาอย่างเร่งรีบกลัวว่าจะไม่ทันเป็นคนแรกที่ได้ประลอง
“อาจารย์หลินท่านอยู่ที่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 แล้ว ทำไมไม่ให้ข้าที่อยู่ระดับ 9 ไปก่อน!” อาจารย์อีกคนทักท้วง
ทุกคนรู้ดีว่าการชนะหมายถึงการได้รับอาวุธวิเศษ ทุกคนจึงต้องการที่จะเป็นคนแรก
“อาจารย์จาง ท่านยังอยู่ตั้งระดับ 9 ทุกคนรู้เกี่ยวกับเรื่องของอาจารย์โม่ที่เขาเป็นแค่คนธรรมดา ถ้าใครจะเป็นคนสู้กับเขา ก็ควรให้ข้าที่อยู่ในระดับ 7 เป็นคนแรก!”
จากนั้นบรรดาอาจารย์คนอื่น ๆ ก็เริ่มพูดโต้แย้งขอแย่งกันเข้าประลองก่อน
จิ๋นห้าวหมิงเริ่มหงุดหงิดเมื่อเห็นว่าบรรดาอาจารย์เริ่มยื้อแย่งสิทธิ์การประลองกันจนวุ่นวาย
“หยุดเถียงกันได้แล้ว!” จิ๋นห้าวหมิงพูดอย่างเย็นชา “ในฐานะที่ข้าเป็นคณบดีคณะศาสตร์ยุทธ ข้าต่างหากที่ควรเป็นคนแรกที่ต้องรับผิดชอบภาระที่หนักเช่นนี้…”
บรรดาอาจารย์คนอื่น ๆ ที่มาเข้าร่วมเพื่อเพียงแค่รับชมเพียงอย่างเดียว เมื่อเห็นถึงความไร้ยางอายของจิ๋นห้าวหมิงและอาจารย์คนอื่น ๆ ที่เถียงกันอยู่ พวกเขาต่างพากันสาปแช่งในใจ คนพวกนี้นี่มันช่างไร้ยางอายเกินไปจริง ๆ ถึงกับแย่งชิงกันจัดการกับชายชราที่เป็นเพียงคนธรรมดาเช่นนี้ เพื่ออาวุธวิเศษชิ้นเดียว
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จ้าวปาเทียนก็รู้สึกอับอายมาก ในขณที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
โม่หยูถังได้เดินขึ้นไปบนเวทีการประลองเรียบร้อยแล้วและพูดว่า “พวกเจ้าทุกคนไม่ต้องเถียงกัน ขึ้นมาประลองกับข้าพร้อม ๆ กันทุกคนนั่นล่ะ หากพวกเจ้าสามารถทำให้ข้าบาดเจ็บได้แม้แต่เพียงเส้นผม ข้าจะขอให้นายท่านของข้าสร้างอาวุธวิเศษให้กับพวกเจ้าคนละชิ้นเลยเป็นไง?”
เมื่อได้ยินคำพูดของโม่หยูถัง บรรดาอาจารย์ที่กำลังถกเถียงกันอยู่ก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และจ้องไปที่โม่หยูถังด้วยสายตาอาฆาตทันที
“เจ้ามันหยิ่งเกินไปแล้ว กล้าดียังไงมาดูถูกเรา!?” อาจารย์หลินที่กระโดดออกมาท้าคนแรกพูดขึ้น
จากนั้นบรรดาอาจารย์ที่ต้องการประลองก็เริ่มตะโกนด่าโม่หยูถังที่ยืนบนเวที
แม้แต่จิ๋นห้าวหมิงก็ยังมองโม่หยูถังด้วยความโกรธ ตัวเขาเองอยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 5 เขาไม่เคยคิดเช่นกันว่าจะมีวันที่เขาถูกคนธรรมดาดูถูกเช่นนี้
จิ๋นห้าวหมิงหันไปทางหลิงตู้ฉิงและพูดขึ้น “หลิงตู้ฉิง พ่อบ้านของเจ้านี่ปากดีไม่ใช่น้อยเลยนะ!?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ข้าตกลงกับคำขอของพ่อบ้านข้า ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้แม้แต่ปลายผม ข้าจะมอบอาวุธระดับวิญญาณให้กับพวกเจ้าคนละชิ้น เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พวกเจ้าทุกคนควรขึ้นมาบนเวทีและเริ่มการประลองได้แล้ว”
เมื่อจบประโยคหลิงตู้ฉิงหันมาทางบรรดาคนของเขาและพูดว่า “ส่วนพวกเจ้าทุกคนมายืนหลบอยู่ข้างหลังข้าอย่าขยับออกไปห่างมากเกินไป”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นทุกคนจึงรีบวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้างุนงง พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลิงตู้ฉิงถึงต้องให้พวกเขามาหลบแบบนี้
จ้าวปาเทียนมองไปที่หลิงตู้ฉิงและรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง บรรดาผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ด้านข้างเองก็เช่นกัน พวกเขาสบตากันส่งสัญญาณกันให้เตรียมพร้อมเพื่อปกป้องผู้คนที่อยู่ที่นี่ เผื่อมีเหตุอันไม่คาดคิดเกิดขึ้น
บรรดาอาจารย์ที่ส่งเสียงโห่ร้องท้าทายโม่หยูถัง ต่างก็พยักหน้ารับหลังจากได้รับคำสัญญาจากหลิงตู้ฉิง
จิ๋นห้าวหมิงกระโดดขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับตะโกนขึ้น “นี่คือสิ่งที่เจ้าร้องขอเองนะ อย่าหาว่าข้ารังแกพวกเจ้าก็แล้วกัน!”
โม่หยูถังยืนเอามือไพล่หลังแล้วพูดว่า “พวกเจ้ารีบ ๆ เข้ามาได้แล้ว แต่ถ้าหลังจากนี้ข้าทำให้พวกเจ้ากลัวจนฉี่ราด ก็อย่ามาหาว่าข้าไม่ไว้หน้าพวกเจ้าก็แล้วกัน!”
ในขณะนี้บรรดาอาจารย์ที่ต้องการประลองกับโม่หยูถังได้ขึ้นมาเวทีประลองเรียบร้อย พวกเขาทั้งหมดมีจำนวน 17 คน หนึ่งในนั้นคือจิ๋นห้าวหมิงและยังมีสามคนในนั้นที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา
บนเวทีจิ๋นห้าวหมิงจ้องมองโม่หยูถังอย่างเย็นชาและพูดว่า “ไหน ๆ พวกข้าก็มีคนมากกว่า ฉะนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าเริ่มโจมตีพวกเราก่อน!”
โม่หยูถังมองไปที่คนทั้งสิบเจ็ดและส่ายหัวเล็กน้อย เขายิ้มและพูดว่า “ได้เลยข้าจะเริ่มก่อน!”
หลังจากโม่หยูถังพูดจบ จู่ ๆ พลังวิญญาณในร่างกายของเขากลับปะทุขึ้นมาราวกับเขื่อนแตก โม่หยูถังซึ่งแต่เดิมหากมองจากภายนอกนั้นไม่มีระดับการบ่มเพาะใด ๆ ฉับพลันระดับการบ่มเพราะของเขาก็เข้าสู่ขอบเขตรวมแสงดาราทันที จากนั้นก็ก้าวกระโดดไปถึงระดับ 5 และขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 9
ในเวลาไม่ถึง 1 นาที การบ่มเพาะของเขาได้ก้าวข้ามขอบเขตรวมแสงดาราและเข้าสู่ขอบเขตนภาอย่างง่ายดาย “มดปลวกอย่างพวกเจ้าอยากตายมากนักใช่ไหม ที่กล้ามาดูหมิ่นศักดิ์ศรีของนายท่านของข้า?!”
รัศมีบนกายของโม่หยูถังเปลี่ยนไป เขาถูกล้อมรอบด้วยรัศมีสีดำทมิฬ เขาพูดอย่างเย็นชาพร้อมกับปล่อยแรงกดดันของพลังวิญญาณระดับนภาใส่ทุกคนทั่วทั้งบริเวณ “ถ้าไม่ใช่เพราะนายท่านสั่งไว้ ข้าคงจะฆ่าพวกเจ้าให้ตายทั้งหมดภายในพริบตา!”
โม่หยูถังไม่ได้เคลื่อนไหวตั้งแต่ต้นจนจบ เขาแค่ยืนอยู่ที่เดิมเท่านั้น
ตอนนี้บรรยากาศของทั้งห้องโถงล้วนเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าเปล่งเสียงอะไรออกมา ทุกคนต่างยืนตะลึงอ้าปากค้าง
ส่วนอาจารย์ทั้ง 17 คนที่อยู่บนเวที ตอนนี้มีเพียง 4 คนที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราที่ยังฝืนยืนอยู่ได้ด้วยอาการโซซัดโซเซ กระอักเลือดออกมาหลายกอง ส่วนคนอื่นที่เหลือได้หมดสติไปหมดแล้ว สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ช่วงเวลาที่โม่หยูถังเริ่มเปล่งรัศมีออกมา พวกเขาต่างสัมผัสได้ถึงอันตรายถึงตาย และก่อนที่พวกเขาจะได้เคลื่อนไหว รัศมีสีดำบนร่างของโม่หยูถังกลับก่อร่างขึ้น คล้ายกับว่าพวกเขาได้เห็นเทพปีศาจเก้าตนกำลังจ้องมองมายังตนเอง พวกเขารู้สึกถึงความกลัวที่สุดในชีวิต รัศมีนี้ไม่ได้ดูเหมือนภาพลวงตา มันเหมือนกับว่าเทพปีศาจเก้าตนนี้กำลังจะลากพวกเขาลงไปในหุบเหวนรกทั้งเก้าขุม ส่งผลให้บรรดาอาจารย์ขอบเขตประสานทะเลปราณทั้งหมดหมดสติไปทันทีด้วยความหวาดกลัว จิตของพวกเขาถูกกระทบเทือนอย่างรุนแรง
ส่วนอาจารย์ที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดารานั้นสภาพภายนอกของพวกเขาดีกว่าบ้าง แต่หากภายในใจแล้วพวกเขากลัวมากจนหัวใจของพวกเขาแทบจะระเบิด พวกเขาไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้กับโม่หยูถัง แม้แต่จิ๋นห้าวหมิงก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังจะจมลงสู่นรกทั้งเก้าขุม
จ้าวปาเทียนที่ในตอนนี้แม้แต่เขาเองยังรู้สึกหวาดกลัวเมื่อเขามองไปที่โม่หยูถัง และเมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มอยู่เหนือความควบคุม จ้าวปาเทียนจึงรีบตะโกน “อาจารย์โม่ท่านชนะรอบนี้แล้ว ได้โปรดเมตตาปล่อยพวกเขาไป!”