พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 127 ศาลาศักดิ์สิทธิ์[รีไรท์]
บทที่ 127 ศาลาศักดิ์สิทธิ์[รีไรท์]
“ท่านแพ้แล้ว” หลิงตู้ฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ท่านไม่ควรดื้อดึงอีกต่อไป ไม่เช่นนั้นท่านจะตายเพราะหมากกระดานนี้”
พูดจบหลิงตู้ฉิงจึงบอกให้หลิงว่านจุนมาเก็บกระดานหมากไป
จากนั้นเขามองไปยังบรรดาอาจารย์คณะอื่น ๆ และตะโกนขึ้น “พวกเจ้าทุกคณะแพ้ให้ข้าทั้งหมด! นับจากวันนี้ไปพวกเจ้าทุกคนอย่าได้มาสร้างความรำคาญให้กับคณะข้าอีก และจงเตรียมตัวให้กับบรรดาลูกศิษย์ของพวกเจ้าให้พร้อมในอีก 6 เดือน ซึ่งข้าจะส่งนักศึกษาในคณะของข้าทุกคนออกมาวัดฝีมือกับบรรดานักศึกษาของพวกเจ้า และกฎยังคงเดิมหากนักศึกษาข้าแพ้พวกเจ้าได้อาวุธวิเศษไป แต่หากฝั่งข้าชนะทรัพยากรการบ่มเพาะของคณะพวกเจ้าจะถูกคณะของข้าครอบครอง!”
บรรดาอาจารย์ที่เห็นผลการประลองออกมาเป็นแบบนี้ พวกเขาได้แต่ยืนก้มหน้าข้องใจ พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลิงตู้ฉิงถึงเก่งไปซะทุกด้าน เก่งจนถึงขนาดถ้าเทียบกับพวกเขาก็เหมือนสวรรค์กับเหวลึก
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังเศร้าซึม เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหมู่บรรดาอาจารย์ที่ก้มหน้า “อาจารย์หลิง ข้าต้องการท้าประลองบรรยายกับอาจารย์ถัง!”
ทุกคนเมื่อได้ยินคำนี้จึงหันไปมองเจ้าของเสียงทันที ซึ่งกลายเป็นว่าอาจารย์ที่พูดขึ้นเป็นหนึ่งในอาจารย์จากคณะเตรียมทหาร
“อาจารย์เหาท่านอย่าเลย…” อาจารย์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาพยายามปราม
เหาเก๋อส่ายหัวและพูดว่า “ข้ารู้ว่าข้าไม่โดดเด่นทางด้านการบ่มเพาะศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นข้าจึงศึกษาวิชาการความรู้มาตลอดตั้งแต่วัยเยาว์ ข้าเองเคยได้ยินชื่อเสียงของอาจารย์ถังที่บรรยายบทเรียนมาอยู่บ้างว่าอาจารย์ถังเป็นอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง แต่ข้าก็รู้สึกว่าข้าเองนั้นในด้านของวิชาการ ข้ามีความรู้ไม่แพ้อาจารย์ถังแน่นอน ฉะนั้นข้าขอท้าประลองนาง หากข้าชนะ ข้าหวังว่าอาจารย์หลิงคงไม่คืนคำมอบอาวุธวิเศษของท่านให้กับข้าตามที่ท่านได้สัญญาไว้กับทุกคน”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ไม่มีปัญหา หากเจ้าชนะ อาวุธจะเป็นของเจ้า”
พูดจบหลิงตู้ฉิงหันไปทางถังชี่หยุนและพูดว่า “ครูถัง ขึ้นมา สอนให้เขารู้ว่าโลกใบนี้มันกว้างใหญ่เพียงไหน”
ถังชี่หยุนยิ้มตอบจากนั้นนางจึงเดินขึ้นมาบนเวที ยืนประจันหน้ากับเหาเก๋อ
เหาเก๋อมองไปยังถังชี่หยุนและพูดว่า “อาจารย์ถัง ข้าคิดว่าเราควรจะประลอง โต้วาทีกันในหัวข้อเกี่ยวกับ…”
ถังชี่หยุนนางโบกมือขึ้นขัดจังหวะเหาเก๋อและพูดว่า “เราไม่จำเป็นต้องโต้วาทีกันให้เสียเวลาหรอกและผลลัพธ์ที่ได้ออกมันไม่ค่อยชัดเจน เอาอย่างนี้เถอะ ข้าจะเขียนตัวอักษรขึ้นมาให้ท่านดู หากท่านสามารถเขียนพวกมันขึ้นมาได้เช่นเดียวกับข้า ข้าจะถือว่าท่านชนะ”
เหาเก๋อยืนงง จากคำพูดของถังชี่หยุนคือจะให้เขาประชันกับนางเรื่องการเขียนตัวอักษรแค่นั้นเหรอ?
ในขณะที่เหาเก๋อกำลังมองถังชี่หยุนอย่างงุนงง ถังชี่หยุนในตอนนี้นางสูดลมหายเข้าปอดจนเต็ม จากนั้นนางจึงเริ่มวาดนิ้วเขียนอักษรขึ้นบนอากาศเบี้องหน้า ส่งผลให้เกิดภาพอันน่าอัศจรรย์ปรากฎแก่บรรดาอาจารย์ทุกคนที่อยู่ในห้องโถง
อักษรตัวขนาดใหญ่สีดำลอยนิ่งอยู่ในอากาศมันถูกเขียนไว้สองคำ ‘เที่ยง’ ‘ธรรม’
หลังจากเขียนอักษรสองตัวนี้เสร็จ ใบหน้าของถังชี่หยุนก็ซีดลง จากนนั้นนางจึงพูดขึ้น “หากท่าน สามารถเขียนอักษรสองคำนี้ได้ ข้าจะถือว่าข้าแพ้!”
ในช่วงเวลาที่ถังชี่หยุนเขียนอักษรเหล่านี้ ทุกคนในห้องโถงต่างสัมผัสได้ถึง รัศมีความเที่ยงธรรมที่แผ่จากอักษรออกมาต้านทานความคิดแง่ลบของบรรดาผู้คนที่มองไปยังมัน โดยเฉพาะเหาเก๋อในตอนนี้ เมื่อเขามองไปยังอักษรสองคำ น้ำตาเขาเริ่มไหลออกมาไม่หยุด ในใจเขาตอนนี้มีแต่ความละอาย ที่เขามีจิตคิดอกุศลขอท้าประลองเพื่อหวังครอบครองอาวุธของผู้อื่น
เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ของเหาเก๋อ ทุกคนรู้ได้ทันทีว่าผลการประลองได้ประจักษ์แล้ว
ตอนนี้บรรดาอาจารย์ทุกคนในห้องโถงเริ่มรู้สึกเสียใจ พวกเขามองไปยังเหล่านักศึกษาที่อยู่ในคณะเปิดชั่วคราวแห่งนี้ด้วยความเสียใจที่ พวกเขาอยากจะไปยืนอยู่ตรงนั้นแทนที่นักศึกษาเหล่านั้น! และพวกเขายังเสียใจที่ในตอนแรกพวกเขากลับห้ามบรรดานักศึกษาของตัวเองไม่ให้เข้าร่วมกับคณะแห่งนี้ พวกเขาทำลายอนาคตนักศึกษาของตนเองลงอย่างไม่มีชิ้นดีด้วยน้ำมือของตนเอง!
ในเวลานี้ ภายใต้อำนาจของอักษรที่ถังชี่หยุนเขียนขึ้น ยิ่งส่งผลให้บรรดาอาจารย์ที่มายังคณะเปิดชั่วคราวด้วยเหตุผลสกปรกยิ่งรู้สึกผิดหนักเข้าไปใหญ่ ถึงขนาดที่บางคนเริ่มร้องไห้โฮออกมาด้วยความสำนึก
จ้าวปาเทียนที่ตอนนี้มองเห็นภาพอันน่าสมเพชของบรรดาอาจารย์ที่โง่เขลาเหล่านี้ เขาก็ได้แต่ส่ายหัวและถอนหายใจ
“เอ่อ…อาจารย์หลิง เจ้า…จะเป็นไปได้ไหมที่เจ้าพอจะให้โอกาสกับบรรดานักศึกษาอีกสักรอบหนึ่งในการเข้าร่วมคณะของเจ้า” จ้าวปาเทียนถามด้วยสีหน้ากังวล
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและตอบกลับ “มันไม่มีประโยชน์หรอกที่จะให้โอกาสพวกเขาเอาป่านนี้ หากข้าเปิดรับคนเข้ามาหลังจากนี้ จุดประสงค์ของผู้เข้าร่วมจะคาดหวังถึงแต่ผลประโยชน์เป็นหลักจนหน้ามืดลืมตัวตนและเส้นทางการบ่มเพาะที่แท้จริงไป ฉะนั้นผลที่พวกเขาจะได้รับจากที่คณะของข้าสอนจะยิ่งน้อยลง”
ความคาดหวังบางครั้งทำให้คนหน้ามืดมองเห็นทุกสิ่งอย่างไม่ชัดเจน…
จ้าวปาเทียนเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาขมวดคิ้ว ขณะที่กำลังจะพูดต่อ หลิงตู้ฉิงได้ยกมือห้ามขึ้นแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าท่านคิดอะไร ท่านไม่ต้องพูดต่อแล้ว ในเมื่อท่านขอมา งั้นข้าจะอนุญาตก็ได้ แต่ข้าให้โอกาสผู้ที่จะเข้าร่วมได้เพิ่มแค่ปีละ 5 คนเท่านั้น”
“ในระหว่างที่ข้าอยู่อาณาจักรนี้ ข้าจะรับคนเพิ่มทุก ๆ ปี ปีละ 5 คนจนกว่าข้าจะจากที่นี่ไป”
“ 5 คนเองงั้นเหรอ นี่มันไม่น้อยไปหน่อยงั้นเหรอ เอาอย่างนี้ได้ไหม ข้าขอ 10 คน เพิ่มมาอีก 5 คนเท่านั้น มันคงไม่หนักหนาเพิ่มอีกสักเท่าไหร่หรอกจริงไหม ในเมื่อพวกเจ้าก็มีความสามารถกันถึงขนาดนี้” จ้าวปาเทียนต่อรองอย่างมีความหวัง
จ้าวเหมิงลู่ เมื่อเห็นสีหน้าอ้อนวอนของปู่นาง นางเองก็อดไม่ได้ที่จะช่วยพูด “ข้าคิดว่าเราคงไม่ลำบากมากขึ้นสักเท่าไหร่หรอกหากจะรับคนเพิ่มเป็นปีละ 10 คน และถ้าหากท่านดูแลไม่ไหว ปีต่อ ๆ ไปเราก็ค่อยลดจำนวนลงก็ได้นี่จริงไหม?”
หลิงตู้ฉิงมองไปยังสายตาอ้อนวอนของทั้งจ้าวเหมิงลู่และจ้าวปาเทียน เขาถอนหายใจและพูดว่า “ก็ได้ สิบก็สิบ ยังไงซะข้าก็อยู่ที่นี่ไม่นานอยู่ดี แต่ว่าในเมื่อท่านให้ข้ารับคนเพิ่มมากขึ้น ท่านก็ต้องหาวัตถุดิบระดับสูงมาให้ข้ามากขึ้นเพื่อเป็นการตอบแทนข้า ท่านเข้าใจไหม”
“ไม่มีปัญหา เจ้าเขียนมาได้เลย หากเจ้าต้องการวัตถุดิบอะไรเพิ่มอีก ข้าจะให้คนไปหามาให้!” จ้าวปาเทียนรีบตบปากรับคำอย่างรวดเร็ว
เมื่อคุยไปได้สักพัก ในเวลานี้บรรดาอาจารย์ที่ถูกอำนาจของอักษร ‘เที่ยงธรรม’ ชำระล้างจิตใจเรียบร้อย พวกเขาต่างมองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยความชื่นชมและตื่นเต้น เมื่อความคิดของพวกเขากระจ่างขึ้นพวกเขาก็เริ่มเข้าใจว่าหลิงตู้ฉิงเป็นตัวตนที่สำคัญแค่ไหนกับอนาคตของสถาบันพวกเขา
“อาจารย์หลิง จะเป็นไปได้ไหมที่ข้าจะขอเข้าร่วมฟังชั้นเรียนของคณะท่าน?” อาจารย์คนหนึ่งตะโกนถามขึ้น
เมื่ออาจารย์คนอื่นได้ยินเช่นนี้ พวกเขาต่างสนใจกับคำตอบเป็นอย่างมาก หากหลิงตู้ฉิงอนุญาต นี่จะหมายถึงว่าต่อจากนี้พวกเขาจะมีโอกาสได้ฟังชั้นเรียนอันแสนวิเศษจากบรรดาอาจารย์ที่แข็งแกร่งในคณะของหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ได้ แต่หากใครต้องการที่จะเข้าฟังชั้นเรียนของคณะข้า คนผู้นั้นจะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนเป็นวัตถุดิบระดับสูงให้ข้า 1 ชิ้น เพื่อเข้าฟังชั้นเรียนเป็นเวลา 1 เดือน”
อาจารย์ทุกคนที่กำลังมีความหวังเมื่อสักครู่ เมื่อได้ยินค่าเข้าเรียนที่โหดเช่นนี้พวกเขารู้สึกขมขื่นทันที แต่เมื่อนึกถึงผลลัพธ์ที่พวกเขาจะได้จากการเรียนจากตัวตนระดับสูงเช่นของหลิงตู้ฉิงนั้นใจของพวกเขาก็เริ่มรับราคาค่าเรียนได้มากขึ้น
เมื่อเห็นว่าเรื่องทุกอย่างลงตัวแล้ว จ้าวปาเทียนจึงตะโกนสั่งขึ้น “ไป! แยกย้ายกันกลับไปทำหน้าที่สอนของตัวเองได้แล้ว ก่อนที่จะเข้าฟังชั้นเรียนของอาจารย์ถังและอาจารย์โม่ พวกเจ้าจะต้องกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีซะก่อน และพวกเจ้าอย่าลืมให้บรรดานักศึกษาของพวกเจ้าเตรียมตัวสำหรับการประลองในอีก 6 เดือนนี้ด้วย และอย่างสุดท้าย นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าขอเปลี่ยนชื่อคณะนี้จากคณะเปิดชั่วคราว เป็นชื่อ ศาลาศักดิ์สิทธิ์”
เมื่อทุกคนได้ยินที่จ้าวปาเทียนประกาศ พวกเขาจึงเริ่มตื่นตัวกับการประลองในอีก 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งสามารถมีผลกระทบอันใหญ่หลวงกับคณะที่พวกเขาอยู่ทุกคน เนื่องจากการเดิมพันยังคงมีอยู่และหากพวกเขาแพ้นั้นหมายถึงทรัพยากรจำนวนมากในคณะจะต้องหายไป
ส่วนชื่อของคณะเปิดชั่วคราวที่ถูกแทนที่ด้วย ศาลาศักดิ์สิทธิ์ นั้นทุกคนต่างไม่มีความคิดปฏิเสธอะไร เนื่องจากคนที่อยู่ในคณะนี้ต่างเรียกได้ว่าเป็นตัวตนที่เหนือธรรมดาควรค่าแก่การใช้คำว่าศักดิ์สิทธิ์
หลังจากจ้าวปาเทียนกล่าวจบ อาจารย์คณะอื่น ๆ ต่างก็เริ่มแยกย้ายกันออกไปทำหน้าที่สอนนักศึกษาของตนที่คณะต่อและกระตุ้นเตือนพวกเขาเกี่ยวกับการประลองในอีก 6 เดือนที่จะถึง
เมื่ออาจารย์ส่วนใหญ่จากไปแล้ว แต่จ้าวปาเทียนและผู้อาวุโสบางคนยังยืนส่งยิ้มเจื่อน ๆ ให้หลิงตู้ฉิงอยู่กับที่ไม่จากไปไหน
“พวกท่านมีอะไรกันอีก?” หลิงตู้ฉิงถามด้วยสีหน้าสงสัย
จ้าวปาเทียน เขาหัวเราะและพูดว่า “อาจารย์หลิง อันที่จริงเจ้ากับข้าและบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายเราก็คนกันเองเป็นอาจารย์ร่วมสถาบันเดียวกันความสัมพันธ์ของพวกเรามันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากครอบครัวสักเท่าไหร่…ฉะนั้นไอ้เรื่องที่เจ้าบอกว่าจะขอให้ทางสถาบันจัดหาพวกวัสดุและสมุนไพรต่าง ๆ ให้เจ้าเพิ่มขึ้นนั้นทางเราไม่มีปัญหา แต่พวกข้ามีบางอย่าง อยากจะขอร้องเจ้าสักเรื่องได้ไหม เจ้าช่วยหลอมโอสถให้พวกข้าเก็บไว้บ่มเพาะสักหน่อยจะได้ไหม? “
“พวกท่านทุกคนล้วนต้องการเหมือนกันใช่ไหม?” หลิงตู้ฉิงถาม
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างพยักหน้าด้วยความรวดเร็วพลางส่งยิ้มกว้างให้กับหลิงตู้ฉิง
“อันที่จริงการหลอมโอสถให้กับพวกท่าน มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรหรอก จะติดก็เพียงแต่ว่าข้าไม่เคยทำอะไรให้ใครโดยไม่ได้รับการตอบแทน!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม
“ไม่มีปัญหา!” บรรดาผู้อาวุโสต่างรีบตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ตะขิดตะขวงใจเลยสักนิด การจ่ายค่าตอบแทบให้กับปรมาจารย์ด้านหลอมโอสถเพื่อหลอมโอสถให้เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก และยิ่งโดยเฉพาะรอบนี้ที่พวกเขาได้ปรมาจารย์หลอมโอสถระดับเซียนเช่นหลิงตู้ฉิงด้วยแล้วพวกเขาจึงยิ่งเต็มใจ
ผู้อาวุโสตันเหรินพูดด้วยน้ำเสียงประจบประแจง “อาจารย์หลิง ไม่ทราบว่าท่านพอจะช่วยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการหลอมโอสถให้ข้าบ้างได้ไหม?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “อันที่จริงตัวข้าเองก็ไม่ค่อยว่าง แต่ในเมื่อพวกท่านได้จ่ายค่าเล่าเรียนมาให้ข้าก่อนแล้ว ดังนั้นข้าจะยกเว้นให้เฉพาะพวกท่านเป็นพิเศษ ข้าจะให้โอกาสพวกท่านมาปรึกษาข้าได้ตลอดเวลาในเวลาที่ข้าอยู่ที่สถาบัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง ผู้อาวุโสตันเหรินก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่หลิงตู้ฉิงใช้คำว่าแค่ให้ ‘ปรึกษา’ ซึ่งไม่ใช่การ ‘สอน’
แต่ไม่ว่าจะยังไงในวันนี้เขาก็ได้ประโยชน์อะไรกลับไปบ้างเช่นกัน อย่างน้อย ๆ หลิงตู้ฉิงก็รับปากว่าจะหลอมโอสถให้
หลังจากตกลงกันได้อยู่สักพัก ผลสรุปออกมาได้ว่าหลิงตู้ฉิงจะหลอมโอสถและสมบัติระดับวิญญาณให้กับพวกเขา เหล่าผู้อาวุโสของสถาบันจึงยอมจากไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
สำหรับจ้าวปาเทียนที่อาศัยความเป็นปู่ของจ้าวเหมิงลู่และตำแหน่งของเขาที่เป็นอธิการบดีของสถาบัน เขาจึงนั่งลอยชายอยู่ที่คณะของหลิงตู้ฉิงไม่ยอมไปไหน
ในขณะที่ทุกคนต่างเริ่มแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน เสี่ยวเยว่เฟิงในตอนนี้นางได้เดินไปหาโม่หยูถัง
นางมองไปที่โม่หยูถังและพูดด้วยสีหน้าหนักใจ “ข้านึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าท่านพ่อบ้านจะเป็นคนจากสำนักเก้าเทพอสูร…”