พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 131 ฟินิกซ์เพลิงสวรรค์[รีไรท์]
บทที่ 131 ฟินิกซ์เพลิงสวรรค์[รีไรท์]
“เพราะสายเลือดของเจ้าคือสายเลือดของบรรพบุรุษของนาง” หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดต่อ “นางเป็นคนของยอดเขาหมื่นเซียน มันมีความลับบางอย่างของยอดเขาหมื่นเซียนที่เกี่ยวพันกับนกฟินิกซ์เพลิงสวรรค์ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม”
“เมื่อนางเห็นเปลวเพลิงอันเป็นเอกลักษณ์สำหรับผู้ที่มีสายเลือดเดียวกับบรรพบุรุษนางจากร่างกายเจ้า นางจึงเข้าใจว่าเจ้าเป็นร่างจุติของใครสักคนที่อยู่ในระดับสูงจากยุคแรกเริ่มเท่านั้น นางไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วสายเลือดของเจ้าคือสายเลือดที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษยุคแรกของยอดเขาหมื่นเซียนของนางโดยตรง”
“ฉะนั้นในตอนนี้เจ้าควรปล่อยให้นางเข้าใจว่าเจ้าเป็นเพียงผู้ที่มีสายเลือดระดับสูงเท่านั้น อย่าพึ่งให้นางรู้ว่าเจ้าสืบสายเลือดจากบรรพบุรุษนางโดยตรง ไม่เช่นนั้น หากพวกที่มีสายเลือดเดียวกับเจ้าบางคนที่เป็นพวกวิปริต ล่วงรู้การดำรงอยู่ของตัวตนที่มีสายเลือดเหนือกว่าพวกเขา พวกเขาจะตามล่าเจ้า เพื่อที่จะใช้เลือดเนื้อของเจ้าเพิ่มพลังสายเลือดของตนเอง สายเลือดที่แท้จริงของเจ้าจะช่วยยกระดับสายเลือดของพวกเขาให้สูงขึ้น เพราะฉะนั้นอย่าให้เรื่องนี้รั่วไหลออกไปไม่งั้นหากพวกเขาจับเจ้าได้ เจ้าจะโดนพวกเขาตุ๋นกิน!”
หลิงไช่หยุนหดคอและพูดทันทีว่า “ข้าไม่กลัวหรอก! ถ้าพวกเขากล้ามาจับข้า ข้ารู้ว่าท่านพ่อต้องทุบตีพวกเขาจนตายหมดแน่นอน!”
“แน่นอน!” หลิงตู้ฉิงตอบด้วยความมั่นใจ
หลิงไช่หยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าควรให้ท่านปิดผนึกพลังของข้าอีกรอบดีไหม ไม่อย่างนั้นข้ากลัวว่าหากข้าเผลอใช้เปลวเพลิงของข้าขึ้นมาอีก ครั้งหน้าอาจจะมีพวกคนไม่ดีจำเปลวเพลิงของข้าได้ก็ได้”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ไม่เป็นไรหรอก เจ้าไม่จำเป็นต้องถูกผนึกอีกแล้ว มีคนไม่มากนักหรอกในทวีปนี้ที่สามารถรู้ถึงเอกลักษณ์ของเพลิงฟินิกซ์ของเจ้าได้ หากเจ้าใช้งานมันผู้คนก็จะเห็นมันเป็นแค่เพียงพลังวิญญาณเพลิงปกติเท่านั้น และต่อให้พลังเพลิงของเจ้าจะรุนแรงจนผิดธรรมดา แต่ด้วยสถานะที่เจ้าเป็นลูกของพ่อ ผู้คนจะคิดกันไปเองว่าเป็นพ่อที่สอนวิชาลับให้ เจ้าถึงมีพลังมากจนเหนือคนปกติ ผู้คนจะมุ่งความสนใจมาที่พ่อมากกว่าที่จะมุ่งความสนใจไปที่เพลิงของเจ้า”
“แต่พ่อต้องเตือนเจ้าไว้ก่อน ตอนนี้ที่เจ้าไม่มีผนึกคอยยับยั้งพลังเพลิงของเจ้าแล้ว เจ้าต้องสัญญาว่าเจ้าจะไม่ใช้พลังของเจ้าอย่างส่งเดชอีกแบบที่ครั้งล่าสุดเจ้าใช้มันกับยุงที่บินอยู่ในห้อง เพราะพลังของเจ้าหากใช้พลาดขึ้นมา มันมีอำนาจพอที่จะเผาคฤหาสน์ของเราได้ทั้งหลัง!”
หลิงไช่หยุนยิ้มอย่างเขินอาย “ท่านพ่อไม่ต้องกังวล ข้าจะตั้งใจฝึกฝนและจะใช้พลังเพลิงของข้าอย่างระมัดระวัง แต่ท่านพ่อ ตอนนี้ข้าจะทำยังไงดี หากข้าเริ่มฝึกตอนนี้เสื้อผ้าส่วนอื่น ๆ นอกจากชุดของท่านที่ทำให้ พวกมันก็จะไหม้หายไปหมดอีก”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนนี้เจ้ากำลังห่มผ้าคลุมเลือดฟินิกซ์ที่เฟิงมอบให้ไว้กับเจ้า ด้วยผ้าคลุมนี้ พ่อจะใช้มันทำชุดส่วนที่เหลือให้เจ้าให้ครบ เมื่อชุดเสร็จแล้วแม้ว่าเจ้าจะทะลวงไปถึงขอบเขตรวมแสงดารา และใช้พลังเพลิงในขอบเขตนั้นชุดของเจ้ามันก็ยังสามารถทนเพลิงของเจ้าได้อยู่!” พูดจบหลิงตู้ฉิงจึงดึงผ้าคลุมที่ห่มตัวหลิงไช่หยุนออก
เขาเริ่มตัดมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วจึงวาดอักขระเวทย์ลงบนพวกมันทุกชิ้น และเริ่มขึ้นรูปพวกมันให้กลายเป็นเสื้อและกางเกงชั้นใน รองเท้า ปลอกแขน และริบบิ้นรัดผม
2 ชั่วโมงต่อมา หลิงตู้ฉิงส่งเสื้อชั้นใน กางเกงชั้นใน รองเท้า ปลอกแขน และริบบิ้นรัดผมให้กับหลิงไช่หยุนและพูดว่า “ไปเปลี่ยนซะลูกพ่อ”
หลิงไช่หยุนรับพวกมันมาและถามขึ้นด้วยสายตากังวล “ท่านพ่อ แล้วข้ามาจากยอดเขาหมื่นเซียนจริง ๆ หรือเปล่า?”
“ไม่” หลิงตู้ฉิงส่ายหัวด้วยความมั่นใจ
“อืม” หลิงไช่หยุนพึมพำ
หลิงตู้ฉิงวางหลิงไช่หยุนลงบนพื้นและบอกให้นางไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่อีกครั้งในอาคารของคณะ
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงอยู่คนเดียว โม่หยูถังจึงเดินเข้ามาหาหลิงตู้ฉิงและกล่าวว่า “นายท่าน ข้าเห็นพรสวรรค์ของนายน้อยสามแล้ว เขานั้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการฝึกฝนเคล็ดวิชาจำแลงเก้าเทพอสูรของสำนักข้า นายท่านจะขัดข้องอะไรไหมหากข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้กับนายน้อยสามและส่งเสริมให้เขากลายเป็นผู้นำสำนักเก้าเทพอสูรของข้าหลังจากที่เขาบรรลุเคล็ดวิชาแล้ว?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและกล่าวว่า “เขาไม่เหมาะกับสำนักเก้าเทพอสูรของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นเทคนิคการบ่มเพาะที่เขากำลังบ่มเพาะอยู่นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเคล็ดวิชาจำแลงเก้าเทพอสูรของพวกเจ้าเลย และที่สำคัญเคล็ดวิชาของพวกเจ้าที่กำลังฝึก ๆ กันอยู่เนื้อหาของมันมีข้อบกพร่อง!”
โม่หยูถังกล่าวด้วยความงุนงง “นายท่าน หรือว่าท่านเคยไปเยือนที่สำนักของข้ามาก่อน?”
“ข้าก็แค่เคยเจอกับจักรพรรดิอสูรทั้งเก้าของพวกเจ้าแล้วเท่านั้นเอง และอันที่จริงข้าเองก็ไม่ได้สนิทอะไรกับพวกเขามากมายนัก” หลิงตู้ฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เมื่อโม่หยูถังได้ยินดังนั้นเขาเกือบจะคุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตกตะลึง
โม่หยูถังยืนทำสติให้เข้าที่อยู่สักพัก จากนั้นเขาถอนหายใจและกล่าวว่า “เฮ้อ…ที่แท้นายท่านก็เป็นตัวตนยุคเดียวกับบรรพบุรุษของข้าสินะ เช่นนั้นนายท่านโปรดให้คำชี้แนะแก่ข้าได้ไหม เคล็ดวิชาจำแลงเก้าเทพอสูรของสำนักข้าในตอนนี้มีเนื้อหาตรงไหนที่ผิดพลาด?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “รอไว้เจ้าหายดีก่อน เราค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง”
“โอ้ ใช่ ข้าไม่เคยถามเจ้าเลยว่าเจ้ามาอยู่ที่เรือนของข้าได้อย่างไร?”
โม่หยูถังคร่ำครวญ “ครั้งแรกที่ข้าได้พบพ่อแม่ของท่าน ตอนนั้นข้ากำลังถูกไล่ล่าจากศัตรู เวลานั้นข้าได้รับบาดเจ็บจนแทบปางตาย แต่ก็ได้พ่อแม่ของท่านที่ผ่านมาเห็นช่วยเอาไว้ และพาข้ามาที่เมืองฟีนิกซ์เพื่อทำการรักษาชีวิต ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาข้าจึงสาบานไว้ว่าจะอุทิศชีวิตที่เหลือให้กับการรับใช้พ่อแม่ของท่าน”
หลิงตู้ฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “แล้วเจ้าพอจะรู้ไหมว่าพ่อแม่ของข้าแข็งแกร่งแค่ไหน?
โม่หยูถังยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “นายท่าน เมื่อตอนที่ข้าพบพ่อแม่ของท่านครั้งแรก จุดตันเถียนและเส้นลมปราณของข้าล้วนถูกทำลายไปจนหมด ข้าจึงไม่สามารถใช้ระดับการบ่มเพาะของข้ายืนยันถึงระดับของพวกเขาได้ว่าพวกเขามีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับไหน แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าเคยเห็นพวกเขาประมือกับผู้เชี่ยวชาญที่สามารถบินได้ เช่นนั้นข้าคิดว่าพวกเขาก็คงไม่อ่อนแอไปกว่าขอบเขตรวมแสงดาราแน่นอน”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าให้กับโม่หยูถัง และพยายามนึกย้อนเรื่องราวในช่วงเวลาตอนที่เขาเข้ามาจุติในร่างนี้เมื่อตอนแรก ๆ ว่าพอจะมีเบาะแสอะไรบ้างไหมกับพ่อแม่ของเขาในชาตินี้
แต่น่าเสียดายในช่วงเวลาที่เขาได้มาจุติ พ่อแม่ของเขาก็ไม่ได้อยู่ที่เรือนแล้ว เขาจึงไม่สามารถบอกได้ว่าพ่อแม่ของเขามีความแข็งแกร่งมากเพียงใด
“นายท่านในเมื่อท่านก็เคยเจอกับท่านจักรพรรดิอสูรทั้งเก้าแล้วแถมท่านยังบอกว่าท่านพอจะรู้จักกับพวกเขา แล้วทำไมท่านถึงไม่ลองให้นายน้อยสามไปที่สำนักเก้าเทพอสูรของพวกข้ากัน” โม่หยูถังพยายามขอร้องขึ้นอีกครั้ง
หลิงตู้ฉิงยังคงส่ายหัวและพูดว่า “เราไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง สำนักเก้าเทพอสูรของเจ้าไม่สงบอย่างที่เจ้าคิด ข้าไม่ต้องการส่งลูกของข้าไปยังสำนักของเจ้าที่จะสามารถแก้ไขหายนะของพวกเจ้าเองได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ไม่ได้”
โม่หยูถังมองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้างุนงง เขาไม่เข้าใจในคำพูดของหลิงตู้ฉิงที่พูดถึงเรื่องสำนักของเขาที่กำลังจะมีหายนะ หายนะอะไรทำไมเขาถึงไม่เคยรู้มาก่อน? แต่เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงพูดจบและเดินจากไป เขาจึงไม่กล้าเดินตามไปถามอะไรต่อ เขาได้แต่ยืนพึมพำอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
1 เดือนผ่านไป ศาลาศักดิ์สิทธิ์ดำเนินการสอนตามปกติ หลิงตู้ฉิงไม่ได้ขึ้นบรรยายอีกเลยนับตั้งแต่ครั้งล่าสุด
บทเรียนทุกอย่างดำเนินการสอนไปตามตารางปกติ ส่วนบทเรียนพิเศษจะสอนในทุก ๆ 10 วันโดยถังชี่หยุนและโม่หยูถัง
ณ คฤหาสน์สราญรมย์
มี่ไลเดินเข้ามาตรงหน้าหลิงตู้ฉิงที่ตอนนี้กำลังนั่งจิบชาอยู่ในสวนภูเขาจำลอง “นายท่าน ตอนนี้ตระกูลของข้าได้มาถึงเมืองหลวงกันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พ่อของข้าและอาจารย์หวงต้องการที่จะขอพบกับนายท่าน ไม่ทราบว่านายท่านจะสะดวกให้พ่อของข้าเข้าพบวันไหนดี?”
“ให้พวกเขาเข้ามาตอนไหนก็ได้” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ
เมื่อได้ยินคำอนุญาตของหลิงตู้ฉิง มี่ไลจึงหยิบคริสตัลสื่อสารขึ้นมาติดต่อกับพ่อของนางและแจ้งให้พวกเขาสามารถเข้ามาพบได้ทันที
หลังจากแจ้งข่าวกับพ่อของนางแล้ว มี่ไลที่ยืนอยู่ได้เดินเข้ามานั่งลงบนตักของหลิงตู้ฉิงและคลอเคลียกับเขา
หลิงตู้ฉิงใช้แขนซ้ายโอบนางแล้วพูดว่า “ตอนนี้เจ้าได้เรียนรู้เคล็ดวิชาฝนฤดูใบไม้ผลิและวิชาสุริยะสาดแสงไปแล้ว เมื่อเจ้าใช้พวกมันจนช่ำชอง ข้าจะสอนเคล็ดวิชาอีกสองฤดูที่เหลือให้ เมื่อเจ้าเรียนรู้ได้ครบทั้งสี่ฤดูเจ้าต้องหลอมรวมพวกมันตามความเข้าใจที่เจ้าเคยบรรลุจากบทเรียนกฎแห่งฤดูทั้งสี่จากครูถัง”
“ข้าเข้าใจแล้ว นายท่าน” พูดจบมี่ไลมองไปยังใบหน้าของหลิงตู้ฉิงและถามต่อ “นายท่าน เคล็ดวิชาฤดูทั้งสี่นี้ พวกมันมาจากตำราเล่มเดียวกันใช่ไหม?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ถูกต้อง เคล็ดวิชาทั้งสี่มาจากตำราเดียวกัน พวกมันถูกสร้างขึ้นโดยเซียนอัจฉริยะผู้หนึ่ง เมื่อเจ้าเรียนรู้มันทั้งหมดและนำพวกมันมาหลอมรวมกันได้ เจ้าจะมีอำนาจถึงขั้นเปลี่ยนแปลงฤดูกาลทั้งหมดได้ดั่งใจนึก แต่มีอย่างหนึ่งที่เจ้าจำเป็นต้องรู้คือ เคล็ดวิชาฤดูกาลทั้งสี่ที่ข้าสอนให้นั้นพวกมันไม่สามารถนำมาใช้สังหารศัตรูได้โดยตรง เจ้าจะต้องนำพวกมันมาประยุกต์ใช้และคิดค้นกระบวนท่าสังหารจากพวกมันด้วยตนเอง และมีอีกเรื่องคือนับจากนี้เจ้าต้องไม่รีบบรรลุระดับการบ่มเพาะ เจ้าต้องเสริมสร้างรากฐานให้แข็งแกร่งที่สุดก่อนจากนั้นค่อยทำการบรรลุระดับถัดไป”
“ข้าเข้าใจแล้ว นายท่าน” มี่ไลตอบกลับ
หลังจากคุยกันไปได้สักพัก มี่ตั้วตั้วและหวงยี่เฟยก็ได้มาถึงคฤหาสน์สราญรมย์ พวกเขาเข้าไปนั่งรอยังห้องโถงรับแขกในตัวคฤหาสน์
มี่ไลที่ได้รับแจ้งจากพ่อของนางว่าพวกเขามาถึงแล้ว นางจึงพาหลิงตู้ฉิงไปยังห้องโถง
“ไม่ได้เจอกันซะนานเลย ปรมาจารย์หลิง” มี่ตั้วตั้วทักทายด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดต่อ “ในช่วงเวลาที่เราไม่ได้เจอกันกว่า 2 เดือน ข้าได้รวบรวมวัตถุดดิบที่ท่านต้องการมาได้เพิ่มขึ้นอีกบางส่วน ปรมาจารย์หลิงโปรดตรวจสอบดู”
พูดจบ มี่ตั้วตั้วก็ยื่นแหวนมิติให้กับหลิงตู้ฉิง
เมื่อหลิงตู้ฉิงได้รับแหวนมาแล้ว เขาเพ่งกระแสจิตเข้าไปตรวจสอบสิ่งของที่อยู่ข้างในแหวนด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงพูดว่า “ไม่เลวเลย ว่าแต่ก่อนหน้านี้ข้าได้ให้มี่ไลส่งข่าวไปบอกกับพวกท่านว่าข้าต้องการให้หวงยี่เฟยมาเป็นอาจารย์สอนหลอมโอสถของคณะข้าในสถาบันราชวงศ์ ไม่ทราบว่าพวกท่านทราบกันแล้วหรือยัง?”
มี่ตั้วตั้วยิ้มแล้วตอบกลับ “ข้าได้รับข้อความนี้จากลูกสาวข้าแล้วปรมาจารย์หลิง ส่วนตัวข้าเองนั้นไม่มีอะไรขัดข้องอย่างแน่นอน เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอาจารย์หวงแต่เพียงผู้เดียว”
เมื่อมี่ตั้วตั้วพูดจบ หวงยี่เฟยพูดต่อทันที “ปรมาจารย์หลิงข้าต้องขอขอบคุณที่ให้โอกาสข้าได้เข้าร่วมสอนในคณะของท่าน ข้ายินดีจะเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาของท่านในสถาบันราชวงศ์”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดขึ้น “เช่นนั้นก็ดี ด้วยความรู้และประสบการณ์ของเจ้า ข้าคงวางใจได้กับบทเรียนเกี่ยวกับการหลอมโอสถในคณะของข้า และเมื่อเจ้าตกลงทำงานให้ข้า ข้าจะให้ค่าจ้างตอบแทนเจ้าเป็นการสร้างเตาหลอมโอสถระดับวิญญาณให้กับเจ้าและข้าจะเขียนตำราสมุนไพรและเทคนิคหลอมโอสถแบบอื่น ๆ ให้เจ้าได้ไปศึกษาเพิ่มเติม”
“ขอบคุณ ๆ ปรมาจารย์หลิง” หวงยี่เฟยพูดอย่างตื่นเต้น
หลิงตู้ฉิงพูดต่อ “สำหรับการสอนในคณะ เจ้าเพียงแค่สอนวันละ 2 ชั่วโมงเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นเจ้าสามารถทำอะไรก็ได้ในเวลาว่างตามใจเจ้า”
หวงยี่เฟยรู้ตัวว่าโอกาสที่เขาจะได้ประโยชน์จากหลิงตู้ฉิงมาถึงแล้ว ต่อให้ในตอนแรกเขาจะไม่ต้องการคำชี้แนะจากหลิงตู้ฉิงในด้านการหลอมโอสถ แต่เขาก็ยังต้องการความรู้ด้านสมุนไพรและทักษะการหลอมแบบอื่น ๆ ของหลิงตู้ฉิงเพื่อทำให้เส้นทางเต๋าโอสถของเขาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น