พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 142 ดูตัวองค์หญิง[รีไรท์]
บทที่ 142 ดูตัวองค์หญิง[รีไรท์]
จ้าวเหมิงลู่ส่ายหัวและพูดว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ข้าเชื่อเขาท่านปู่ ครูถังและพ่อบ้านโม่เคยบอกในชั้นเรียนไว้ว่าทวีปที่เราอยู่นั้นนับว่าเป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลจากทวีปที่เจริญมาก ความรู้และความเข้าใจต่าง ๆ ในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะของที่นี่จึงถือว่าล้าหลัง”
“ท่านปู่ควรไปฟังการบรรยายของครูถังและอาจารย์โม่จริง ๆ แม้ว่าจะเป็นเพียงเรื่องราวธรรมดา แต่ก็สามารถเปิดโลกทัศน์ของท่านปู่ให้กว้างขึ้นได้ จากคำบอกเล่าของพวกเขา โลกนี้กว้างใหญ่เกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้”
จ้าวปาเทียนพยักหน้าและบินออกจากคฤหาสน์ไปหาหลิงเจิ้งสงและเล่าเรื่องที่เขาคุยกับจ้าวเหมิงลู่ให้ฟังอย่างละเอียด
หลิงเจิ้งสงที่พอจะเข้าใจในนิสัยของหลิงตู้ฉิงมากกว่าจ้าวปาเทียนอยู่แล้ว เขาจึงคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เขาตกลงที่จะจัดการนัดวันดูตัวให้กับหลิงตู้ฉิงและเหลียงเจี๋ยให้ได้มาเจอกัน
แต่ด้วยผลลัพธ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ จ้าวปาเทียนที่ยังกังวลอยู่ถามกับหลิงเจิ้งสงว่า “ท่านว่าเราจะทำยังไงกันดีถ้าหลานของท่านไม่เห็นด้วย?”
หลิงเจิ้งสงถอนหายใจยาวและพูดว่า “ข้าคงจะรู้สึกเศร้า แต่คงไม่แปลกใจอะไรมากนักล่ะมั้ง”
ขณะนี้เรือนของมี่ตั้วตั้วก็วุ่นวายไม่สิ้นสุด
มีคนจำนวนมากกำลังรออยู่ที่หน้าคฤหาสน์มี่ เพื่อขอรอเข้าพบกับมี่ตั้วตั้ว
บางคนที่ได้เข้าไปเจอแล้ว บ้างจากไปอย่างมีความสุข ในขณะที่บางคนออกจากตระกูลมี่ด้วยสีหน้าโกรธเคืองและเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร
แม้จะต้องเผชิญกับผู้คนมากมาย แต่มี่ตั้วตั้วไม่เคยกังวลกับมันเลยสักครั้ง
มี่ตั้วตั้วพึมพำกับตัวเอง “พวกหอการค้าเวรนี่ ก่อนหน้านี้กดดันข้าทุกวิถีทางไม่ยอมค้าขายกับข้า แต่พอมาถึงวันนี้กลับเข้ามาขอให้ข้าทำการค้าด้วย เหอะ! คิดว่าข้าเป็นปลาทองหรือยังไงที่นึกว่าข้าจะลืมเรื่องราวที่ผ่านมาได้ง่าย ๆ”
หลังจากที่มี่ตั้วตั้วใช้เงิน 60 ล้านเหรียญที่ตระกูลหลิงและตระกูลจ้าวให้มา สร้างความเชื่อมโยงกับตัวตนปริศนาที่อยู่ในเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ของเขาแล้ว เขาก็เต็มไปด้วยความมั่นใจว่าในตอนนี้ไม่ว่าใครมาหาเรื่องตระกูลเขา เขาสามารถกำจัดคนเหล่านั้นออกไปได้อย่างง่ายดาย
ในช่วงวันที่ผ่านมา ตัวแทนขององค์จักรพรรดิได้มาเยือนเขาที่คฤหาสน์เช่นกัน ตัวแทนผู้นั้นยื่นข้อเสนอที่จะผูกขาดกับการจำหน่ายโอสถกำเนิดรากฐานของเขา มี่ตั้วตั้วนั้นได้ยินข้อเสนอนี้เขาปฏิเสธไปโดยทันที แต่เพื่อไว้หน้าองค์จักรพรรดิเขาจึงยอมขายโอสถกำเนิดรากฐานคุณภาพสูงสุดที่หลิงตู้ฉิงหลอมขึ้น ให้กับองค์จักรพรรดิเป็นจำนวน 5 เม็ดด้วยราคาสูงลิ่วแทน
หลังจากการเจรจากับบรรดาผู้คนมากมายที่ยืนรออยู่ด้านนอกในวันนี้จบลง มี่ตั้วตั้วพบว่าระดับการบ่มเพาะของเขาในตอนนี้กำลังจะก้าวไปสู่ขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 2 อย่างกระทันหัน
รวมไปถึงเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ของเขาในตอนนี้เดิมทีมีเพียง 2 ชั้นเท่านั้นที่ปรากฎอักขระเวทย์วนอยู่รอบด้านนอกตัวชั้นของเจดีย์ แต่ตอนนี้ชั้นที่สามของเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์เริ่มปรากฎอักษรอักขระเวทย์ขึ้นมาจาง ๆ แล้ว ซึ่งมี่ตั้วตั้วเดาได้ทันทีว่าที่ระดับการบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นนั้นต้องเกี่ยวข้องกับเจดีย์นี้และการค้าที่เขาพึ่งทำไปอย่างแน่นอน
มี่ตั้วตั้วพึมพำกับตัวเองด้วยความตื่นเต้น “สมบัตินี่มันวิเศษจริง ๆ หากตระกูลของข้าสามารถหลุดพ้นจากหายนะช่วงนี้ไปได้ ด้วยการที่ข้าครอบครองสมบัติวิเศษนี้ตระกูลของข้าจะต้องรุ่งเรื่องไปอีกนับพันปี!”
วันรุ่งขึ้น สถานที่หลายแห่งในเมืองหลวงมีลำแสงดาราพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีใครบางคนกำลังทะลวงขอบเขตรวมแสงดารา
เมื่อมองไปที่สถานการณ์นี้ ในใจของเหลียงซานนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ยุ่งเหยิง เขาทั้งมีความสุขและมีความกังวลใจเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
การมีผู้คนมากมายบรรลุขอบเขตรวมแสงดารานั้นเป็นผลดีต่ออาณาจักรของเขาและตัวเขาเอง โดยเฉพาะที่เขาเลือกฝึกฝน ดวงใจจักรพรรดิ เนื่องจากผู้ที่ฝึกวิชานี้ดวงชะตาของเขาจะถูกผูกติดอยู่กับอาณาจักรที่เขาครอบครอง หากยิ่งอาณาจักรแข็งแกร่งขึ้น ตัวเขาเองก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย
แต่ว่าทุกอย่างล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สิ่งที่ทำให้เขาลำบากใจก็คือผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดนี้ที่ทะลวงขอบเขต ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้บางคนนั้นเหลียงซานเองก็ไม่สามารถควบคุมได้
และการที่ผู้คนจำนวนมากที่ทะลวงเข้าไปในขอบเขตรวมแสงดารา ในอนาคตอาณาจักรของเขาจะต้องวุ่นวายเข้าไปอีก และยิ่งโดยเฉพาะจากการปรากฏตัวของโอสถกำเนิดรากฐานจะยิ่งทำให้ทั้งอาณาจักรตกอยู่ในความโกลาหล
“หลิงตู้ฉิงผู้นี้เป็นใครกันแน่?” เหลียงซานรู้สึกหดหู่ใจมาก
เขาไม่จำเป็นต้องตรวจสอบด้วยซ้ำเพราะเขารู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ยังไงซะไม่มีทางที่ตระกูลค้าขายที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายนักอย่างตระกูลมี่จะคิดค้นสูตรโอสถที่วิเศษขนาดนี้ขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง สูตรนี้จะต้องเป็นสูตรที่คนลึกลับอย่างหลิงตู้ฉิงเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาอย่างแน่นอน
เมื่อตอนที่เขาพบกับหลิงตู้ฉิงครั้งแรก เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรกับพฤติกรรมที่หลิงตู้ฉิงไม่เคารพต่อเขานัก ต่อให้เขาจะรู้สึกรำคาญในใจบ้างก็ตามทุกครั้งที่นึกถึงมัน
แต่ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรไปหมด ด้วยการปรากฎของโอสถกำเนิดรากฐานนี้ ผลกระทบของมันรุนแรงเกินไป มันรุนแรงจนสามารถสั่นคลอนรากฐานของอาณาจักรได้อย่างแน่นอน นี่เป็นสิ่งที่เขาค่อนข้างรับไม่ได้
ตอนนี้เขาต้องควบคุมหลิงตู้ฉิงให้ได้ หรืออย่างน้อยที่สุดเขาต้องนำหลิงตู้ฉิงมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาผ่านการเกี่ยวดองโดยการส่งหลานของเขาไปแต่งงานด้วย
ในขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่ เด็กสาวคนหนึ่งค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขาในตำหนัก และโค้งตัวคำนับ “เจี๋ยเจี๋ย คารวะท่านปู่”
เหลียงซานพยักหน้าและยกมือขึ้นส่งสัญญาณให้เหลียงเจี๋ย “ลุกขึ้น”
“ท่านปู่เรียกหาข้า มีอะไรให้ข้ารับใช้งั้นหรือ?” เหลียงเจี๋ยยืนขึ้นและถามด้วยความเคารพ
เหลียงซานพูดขึ้น “พ่อของเจ้าแจ้งข้าวันนี้เจ้าจะไปพบกับหลิงตู้ฉิง ข้าอยากจะย้ำเจ้าสักหน่อย ไม่ว่าเจ้าจะใช้วิธีใดก็ตามเจ้าต้องทำให้หลิงตู้ฉิงกลายเป็นสมาชิกของตระกูลเหลียงของข้าให้ได้ เรื่องนี้สำคัญมาก ถ้าเจ้าทำได้ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างงาม”
“ข้ารับทราบแล้ว” เหลียงเจี๋ยรีบกล่าว
“ไปได้!” เหลียงซานพยักหน้าและโบกมือให้เหลียงเจี๋ยจากไป
อีกด้านหนึ่งที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์ หลังจากชั้นเรียนถังชี่หยุนจบแล้วหลิงตู้ฉิงพูดกับโม่หยูถัง “ข้าฝากเจ้าดูแลที่นี่ไปก่อน ข้าต้องออกไปพบกับองค์หญิงนั่นสักพักแล้วข้าจะกลับก่อนเย็น”
โม่หยูถังพยักหน้าด้วยรอยยิ้มหยอกล้อ “ข้าขอให้นายท่านกลับมาพร้อมกับหญิงงาม”
หลิงตู้ฉิงไม่ได้โต้ดอบอะไร เขาหันไปพูดกับเสี่ยวเยว่เฟิง “พาข้าไปที่ภัตตาคารเหมยเจียง”
เสี่ยวเยว่เฟิงหันกลับไปส่งสัญญาณกับกงหนิว กงหนิวรีบพยักหน้าและพูดว่า “ข้ารู้ว่าภัตตาคารเหมยเจียงอยู่ที่ไหน”
เมื่อกงหนิวรู้เส้นทางแล้ว เสี่ยวเยว่เฟิงและหลิงตู้ฉิงพากันขึ้นรถม้าและปล่อยให้กงหนิวลากไปที่ภัตตาคารเหมยเจียง
เมื่อถึงที่หมายเสี่ยวเยว่เฟิงเก็บรถม้าและตามหลิงตู้ฉิงเข้าไปด้านใน สำหรับกงหนิว เขายืนรออยู่ที่ทางเข้า
หลิงตู้ฉิงที่เดินเข้ามาในภัตตาคารเหมยเจียง เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉยชา “เหลียงเจี๋ยอยู่ที่ไหน?”
บรรดาบ่าวรับใช้ของภัตตาคารต่างตกใจที่หลิงตู้ฉิงกล้าเอ่ยชื่อของลูกสาวขององค์ชายรองแบบห้วน ๆ พวกเขาตอบกลับหลิงตู้ฉิงอย่างระมัดระวัง “องค์หญิงกำลังรอนายท่านอยู่ในห้องส่วนตัวด้านบน โปรดตามข้ามา”
เมื่อถึงหน้าห้องอันหรูหรา หลิงตู้ฉิงสังเกตเห็นทหารองครักษ์ 2 คนที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 9 ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู
เมื่อองครักษ์ทั้งสองเห็นหลิงตู้ฉิงและเสี่ยวเยว่เฟิงเดินมาคู่กัน หนึ่งในองครักษ์พูดขึ้น “องค์หญิงตกลงที่จะพบท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น คนอื่นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป!”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและส่งสัญญาณให้เสี่ยวเยว่เฟิงรออยู่ข้างนอก จากนั้นเขาก็เข้าไปในห้องส่วนตัว
เมื่อเขาเข้าไปด้านใน หลิงตู้ฉิงเห็นเหลียงเจี๋ยและผู้ติดตามของนาง อายุของนางดูเหมือนจะไล่เลี่ยกับมี่ไล ส่วนใบหน้าของเหลียงเจี๋ยนั้นนับได้ว่างดงามแต่กลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายของความหยิ่งผยองไม่ด้อยไปกว่าปู่ของนางสักเท่าไหร่
ในขณะที่หลิงตู้ฉิงกำลังประเมินฝั่งตรงข้าม เหลียงเจี๋ยก็กำลังประเมินหลิงตู้ฉิงเช่นกัน
เมื่อเวลาผ่านไปสักพักต่างคนต่างไม่มีใครพูดอะไร
จู่ ๆ หญิงชราที่อยู่ด้านหลังเหลียงเจี๋ยได้โพล่งขึ้นมาว่า “ไร้มารยาทสิ้นดี เจ้ากล้าดียังไงทำไมเจ้าถึงไม่ทำความเคารพองค์หญิง?!”
หญิงชราที่ตะโกนขึ้น ระดับการบ่มเพาะของนางไม่ได้อ่อนแอตามสังขารของนางแม้แต่น้อย นางเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราที่เพิ่งทะลวงขอบเขตมาได้ไม่นาน
หลิงตู้ฉิงไม่ได้ให้ความสนใจกับหญิงชราปากพร่อย แต่เขามองไปที่เหลียงเจี๋ยและส่ายหัว “ข้าคิดว่าหลังจากนี้เจ้ากับข้าคงไม่ต้องเจอกันอีก ข้าไปล่ะ”
มองเพียงแวบเดียว หลิงตู้ฉิงสามารถบอกได้ว่าเหลียงเจี๋ยมีหลายสิ่งหลายอย่างในร่างกายของนางที่ผิดปกติ และสิ่งที่ผิดปกติเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเขา เมื่อเห็นเช่นนี้เขาจึงไม่ต้องการอยู่ให้เสียเวลากับที่นี่อีก
เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่ไว้หน้าของหลิงตู้ฉิง หญิงชราปล่อยกลิ่นอายสังหารและตะโกนว่า “เจ้านี่มันทั้งเย่อหยิ่งและไร้มารยาท! วันนี้ข้าคงต้องสอนบทเรียนให้เจ้าแทนแม่ทัพหลิงสักหน่อย ให้เจ้าได้รู้จักที่ต่ำที่สูงซะบ้าง!”
เมื่อเผชิญหน้ากับความโกรธเกรี้ยวของหญิงชราที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา หลิงตู้ฉิงมองไปที่นางและพูดด้วยน้ำเรียบเฉยว่า “เจ้าเพิ่งใช้โอสถกำเนิดรากฐานของข้าเพื่อทะลวงขอบเขตมาสินะ โอสถนั้นข้าเป็นคนหลอมมันขึ้นมาเอง เจ้าควรตระหนักไว้ในเมื่อข้าทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นได้ ข้าก็ทำให้เจ้าสลายหายไปเป็นผุยผงได้เช่นกัน”
“โอสถนั่นมาจากองค์หญิง…” หญิงชรายิ่งพูดยิ่งกราดเกรี้ยว
เหลียงเจี๋ยยกมือปรามหญิงชราขึ้นมาทันทีและพูดว่า “แม่นม โปรดสำรวมด้วย! ส่วนพี่หลิง ไหน ๆ วันนี้โชคชะตาก็พาให้เราเจอกันแล้ว ทำไมท่านไม่นั่งลงคุยทำความรู้จักกับน้องสาวผู้นี้สักหน่อยกันล่ะ?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังจะทำอะไร กำลังจะพูดอะไร ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเจ้าแล้วทั้งหมด รวมไปถึงจุดประสงค์ที่เจ้าต้องการพบข้าแล้ว ดังนั้นเจ้ากับข้า เราไม่มีความจำเป็นต้องพูดอะไรกันอีก ในตอนแรกก่อนข้ามา ข้าคิดว่าเจ้าอาจจะพอมีอะไรให้ข้าสนใจอยู่บ้าง แต่เมื่อเจอเจ้าแล้ว เจ้ากลับไม่มีอะไรสักอย่างที่เป็นประโยชน์กับข้าเลย แม้แต่บ่าวรับใช้เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นให้ข้าได้”
หญิงชราโกรธจัด “เจ้ากล้าดูถูกองค์หญิงงั้นเหรอ? ข้าจะจับเจ้าส่งให้องค์จักรพรรดิลงโทษเจ้าเดี๋ยวนี้!”
หลิงตู้ฉิงเหล่มองไปยังหญิงชราและพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่แยแส “ยายแก่ ถ้าเจ้ากล้าก้าวเข้ามาอีกเพียงก้าวเดียว ข้าจะทำให้เจ้าหายไปจากโลกตลอดกาล”
หลังจากพูดจบหลิงตู้ฉิงก็หันกลับและจากไป
เหลียงเจี๋ยรีบดึงแขนห้ามไม่ให้หญิงชราลงมือทันที
“องค์หญิงเขาไม่มีอาวุธนั่นในมือ เขาเป็นเพียงผู้บ่มเพาะในขอบเขตควบแน่นลมปราณเท่านั้น นี่เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการจับตัวเขาไม่ใช่งั้นเหรอ?” หญิงชรากระฟัดกระเฟียดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
เหลียงเจี๋ยพูดอย่างเฉยเมย “ถึงแม้เขาจะไม่ได้นำอาวุธมา แต่เขาพาผู้เชี่ยวชาญมาด้วยอยู่นอกประตู ข้าไม่เคยคิดว่าหลิงตู้ฉิงจะหยิ่งผยองกว่าที่คิดไว้มาก ข้าเสียใจที่ไม่สามารถทำตามคำขอของท่านปู่ได้”
หญิงชราขมวดคิ้วและพูดว่า “หม่อมฉันไม่เข้าใจองค์จักรพรรดิเลยจริง ๆ ว่าทำไมต้องให้ค่ากับไอ้คนจองหองผู้นี้มากนัก นอกจากอาวุธวิเศษของเขาที่เราก็ไม่รู้ว่าเขาไปเอามาจากไหนกับสถานะที่เขาเป็นหลานชายของแม่ทัพหลิงและคณบดีของศาลาศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็ไม่เห็นว่าเขาจะวิเศษวิโสอะไรตรงไหน”
เหลียงเจี๋ยส่ายหัวและไม่พูดอะไรอีก
ทันใดนั้นเสียงวุ่นวายจากด้านนอกได้ดังเข้ามาถึงในห้อง นางจึงรีบตะโกนถามทหารที่อยู่หน้าประตู “ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น?”
ทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านนอกรีบรายงานกลับทันทีว่า “องค์หญิง หลิงตู้ฉิงกำลังทะเลาะกับคนอื่นอยู่ด้านนอกพะยะค่ะ”
เหลียงเจี๋ยตะลึงนางลุกขึ้นยืนและค่อย ๆ เดินออกจากห้องไป นางต้องการดูว่าหลิงตู้ฉิงขัดแย้งกับใครกันแน่