พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 2 มีตาหามีแววไม่[รีไรท์]
บทที่ 2 มีตาหามีแววไม่[รีไรท์]
หลิงตู้ฉิงที่ใช้เวลาทั้งคืนในการคิดหาวิธีบำเพ็ญเพียร เริ่มหาวออกมาด้วยความง่วงขณะเดินพาหลิงยู่ชานไปยังสถาบันหงส์เพลิง
หลิงยู่ชานที่เดินอยู่ข้าง ๆ เห็นดังนั้นก็พูดว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าให้ตัวเองเหน็ดเหนื่อยหรือเป็นกังวลมากเกินไป หลังจากข้าสอบผ่านแล้ว ด้วยสถานะนักเรียนของสถาบันหงส์เพลิง ระหว่างที่ข้าเรียนจะต้องมีคนอยากได้ข้าไปช่วยงานในร้านค้าของพวกเขาแน่นอน”
“ข้าจะขยันทำงานจะได้มีเงินเยอะ ๆ มาจุนเจือตระกูลของเรา ท่านก็อย่าได้ตรากตรำไปมากกว่านี้เลย ท่านต้องดูแลสุขภาพของตัวเอง เมื่อข้าเล่าเรียนสำเร็จข้าจะทำให้ท่านสุขสบายมากกว่านี้และข้าจะดูแลน้องชายน้องสาวของข้าให้ดี”
หลังจากได้ฟังความในใจของหลิงยู่ชาน หลิงตู้ฉิงก็ลูบหัวบุตรของเขาพลางถอนหายใจ “ยู่ชาน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องพวกนั้นไป ในไม่ช้าพ่อจะทำให้เจ้าและน้อง ๆ ของเจ้าทุกคนสุขสบายขึ้น”
เมื่อเขาถอนหายใจ จิตของหลิงตู้ฉิงก็เริ่มบำเพ็ญเพียรตามวิถีแห่งเต๋าอารมณ์สุขสันต์ พลังวิญญาณพุ่งเข้ามายังร่างกายของเขาและชำระล้างร่างกายที่อ่อนแอ เพียงพริบตาการบำเพ็ญเพียรของหลิงตู้ฉิงก็ได้พัฒนามาถึงระดับแรกของขอบเขตหลอมรวมลมปราณแล้ว
หลิงตู้ฉิงเมื่อรู้สักได้ถึงการพัฒนาตนเองอย่างฉับพลัน เขาพึมพำในใจอีกครั้ง “อารมณ์นี่เป็นของดีจริง ๆ ทำไมข้าถึงได้ละทิ้งอารมณ์ในชาติก่อนนี้กันนะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง หลิงยู่ชานตาแดงก่ำ เขาก้มหัวลงตั้งสัตย์สาบานว่าต้องผ่านการทดสอบของสถาบันหงส์เพลิงให้ได้เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้แก่พ่อของเขา
หลิงยู่ชานคิดว่าเขาคือกำลังสำคัญของตระกูล เขาเป็นบุตรคนแรกที่หลิงตู้ฉิงรับมาอุปการะ
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อได้เห็นถึงความเมตตาของหลิงตู้ฉิงที่อุปการะบุตรบุญธรรมอีก 6 คนนอกจากเขา หลิงตู้ฉิงผู้ซึ่งไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้แต่ก็ยังคงยืนกรานที่จะช่วยเหลือดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา หลิงยู่ชานใช้เวลาไม่นานเลยในการยอมรับหลิงตู้ฉิงเป็นพ่อของตนเองอย่างหมดใจ
อย่างไรก็ดีบนโลกใบนี้ความแข็งแกร่งนั้นคือทุกสิ่ง แม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะพยายามมอบสิ่งดี ๆ ที่ตัวเองมีให้แก่พวกเขา แต่ความสามารถของหลิงตู้ฉิงนั้นก็มีจำกัด
ดังนั้นในฐานะที่เขาเป็นบุตรคนโต เขาต้องแบ่งเบาภาระให้กับพ่อของเขา คู่พ่อลูกสองคนเดินคุยกันใช้เวลาในช่วงเช้าร่วมกันจนในที่สุดก็มาถึงทางเข้าสถาบันหงส์เพลิง
วันนี้เป็นวันทดสอบเข้าอย่างเป็นทางการของสถาบัน จึงมีผู้คนมากมายเดินทางมาที่นี่ด้วยรูปแบบการเดินทางที่แบ่งแยกชนชั้นได้อย่างชัดเจน สังเกตได้จากที่หน้าทางเข้าสถาบัน ตระกูลต่าง ๆ ที่ร่ำรวยจะโดยสารรถม้าประจำตระกูลที่ดูหรูหรา ในขณะที่ผู้คนธรรมดาต้องรีบตื่นแต่เช้าเพื่อเดินเท้ามาที่สถาบัน
“เฮ้! ไอ้เด็กแซ่หลิง! ในที่สุดเจ้าก็ออกจากชั้นเรียนเตรียมพื้นฐานของสถาบันหงส์เพลิงเพื่อเข้ารับการทดสอบแล้วใช่ไหม?” หัวเด็กชายคนหนึ่งโผล่ออกมาจากรถม้าแล้วถามไปหัวเราะไป “แล้วนี่พ่อของเจ้ารู้หรือเปล่าว่าค่าเล่าเรียนในชั้นเรียนปกติของสถาบันหงส์เพลิงอะ พ่อของเจ้าต้องจ่าย 50,000 เหรียญทองต่อปีเลยนะ พ่อยาจกของเจ้าจะหามาจ่ายได้เหรอไง ฮ่าฮ่าฮ่า”
หลิงยู่ชานเหล่ตามองไปยังเจ้าของเสียงด้วยความขุ่นเคือง พลางเผลอกำมือของหลิงตู้ฉิงไว้แน่น
แน่นอนว่าหลิงยู่ชานรู้ว่าค่าเล่าเรียนของสถาบันหงส์เพลิงแพงแค่ไหน อย่างไรก็ตามตัวเขาเองทราบดีว่าหากเขาไม่ได้จบจากสถาบันที่มีชื่อเสียง การที่จะประสบความสำเร็จในอนาคตก็คงยาก และถ้าเขาไม่ประสบความสำเร็จเขาจะตอบแทนหลิงตู้ฉิงที่อุปการะเลี้ยงดูเขาตั้งแต่เด็กได้อย่างไร
ดังนั้นเขาจะต้องสอบเข้าสถาบันหงส์เพลิงให้ได้และเขาต้องคิดหาหนทางที่จะจ่ายเงินค่าเล่าเรียนด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรบกวนพ่อของเขา
หลิงตู้ฉิงเหลือบตามองลูกชายคนโตแล้วหันกลับไปมองรถม้า ตัวอักษร “米”(มี่) ตัวใหญ่สลักไว้บนนั้น
มันเป็นรถม้าของตระกูลการค้าใหญ่ในเมืองฟีนิกซ์ หลิงตู้ฉิงมองไปที่เด็กคนนั้นแล้วพูดว่า “ข้าจะหาเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนได้หรือไม่มันก็เป็นเรื่องของข้า ส่วนเจ้าหุบปากไว้จะดีกว่า! ไม่อย่างนั้นข้าจะไปแจ้งอาจารย์ของเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วคอยดูว่าพวกเขาจะลงโทษเจ้าอย่างไร”
เมื่อคนขับรถม้าได้ยินเสียงหลิงตู้ฉิงก็จ้องมองด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่เมื่อมีเสียงเอ็ดออกมาจากด้านในรถม้าทำให้เขาหยุดการกระทำของตัวเองทันที
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้! อย่ารังแกคนยากจน!” เสียงใสของหญิงสาวคนหนึ่งดังมาจากในรถม้าเตือนเด็กชายที่โผล่หัวออกจากตัวรถ
หลิงตู้ฉิงเหลือบตามองไปที่ด้านในรถม้าแต่ไม่ได้พูดอะไร เด็กน้อยตระกูลมี่มองหลิงตู้ฉิงด้วยแววตารังเกียจจากนั้นเขาจึงหดหัวกลับเข้าไปในรถม้าและไม่พูดอะไรอีก
เมื่อถึงเวลา 11. 00 น. ทุกคนที่ตั้งใจมาทดสอบก็มาถึงสถาบันหงส์เพลิงจนครบ สถานที่ทดสอบคือลานกว้างของสถาบัน ผู้คนต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ รอเวลาที่การทดสอบจะเริ่มต้นขึ้น
เมื่อถึงเที่ยงวัน ในที่สุดประธานของการทดสอบก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
เขาเป็นชายหนุ่มที่มีสีหน้าท่าทางหยิ่งยโส อายุพอ ๆ กันกับหลิงตู้ฉิง เขายืนบนบนเวทีทดสอบและมองดูฝูงชนที่รอการทดสอบอย่างภาคภูมิใจ
ในขณะที่เสียงจ้อกแจ้กจอแจจากฝูงชนเงียบลง ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน “ข้า เจิ้นสีชวง เป็นอาจารย์ของสถาบันหงส์เพลิงและเป็นประธานในการทดสอบนี้ ตอนนี้ขอให้ทุกคนเงียบแล้วข้าจะอธิบายกฎของการทดสอบ”
“พวกท่านเห็นเสาหินสองต้นข้าง ๆ ข้าหรือไม่? เสาทดสอบที่อยู่ด้านซ้ายใช้สำหรับทดสอบรากฐานทางจิตวิญญาณ ผลทดสอบขึ้นอยู่กับระดับรากฐานทางจิตวิญญาณของแต่ละคน เสาจะเปล่งแสงตามระดับของรากฐานจิตวิญญาณ แสงสีฟ้าจะนับเป็นระดับต่ำ สีเหลืองระดับกลาง สีม่วงระดับสูง สีแดงระดับเหนือชั้น และสีดำระดับตำนาน แต่เสาจะไม่แสดงสีใดเลยถ้าผู้นั้นไร้รากฐานทางจิตวิญญาณซึ่งจะถูกคัดออกจากการทดสอบนี้
ส่วนเสาทางด้านขวามีไว้ทดสอบพลังแห่งจิตใจ เมื่อแตะไปที่เสาทดสอบภาพหลอนลวงตาจะเกิดขึ้นในใจของพวกท่าน ยิ่งอดทนได้นานเท่าไหร่ แสงบนเสาทดสอบจิตใจก็จะสว่างขึ้นและเปลี่ยนสีไปตามลำดับเช่นเดียวกับเสาทดสอบรากฐานทางจิตวิญญาณ แต่ถ้าไม่สามารถทำให้เสาทดสอบจิตใจเปล่งแสงได้ นั่นหมายถึงพลังแห่งจิตใจอ่อนแอมากซึ่งไม่เหมาะกับการบำเพ็ญเพียรและจะถูกคัดออกทันทีเช่นกัน”
หลังจากเจิ้นสีชวงพูดเสร็จ เขาหยุดไปพักหนึ่งก่อนจะพูดเสียงเบาลงว่า “พวกท่านเข้าใจกฎกันแล้วใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มการทดสอบเลย ผู้ที่ถูกขานชื่อให้ขึ้นมาบนเวทีเพื่อทดสอบ คนแรก มี่ยี่ถง!”
เด็กคนที่เยาะเย้ยหลิงยู่ชานจากรถม้าของตระกูลมี่ก็เดินออกไปด้วยใบหน้าอันแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
หลังจากนั้นก็เดินขึ้นมาบนเวทีและเดินไปยังเสาทดสอบต้นแรก เขาเอามือกดลงที่เสาแรก เสาเปล่งประกายสีเหลือง
เจิ้นสีชวงประกาศ “รากฐานทางจิตวิญญาณระดับกลาง! ถัดไปการทดสอบพลังแห่งจิตใจ”
มี่ยี่ถงเอามือกดเสาที่สองด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ เวลาผ่านไปชั่วครู่สีหน้าของมี่ยี่ถงเริ่มแสดงออกถึงความกลัว แล้วเขาก็ปล่อยมือจากเสาที่สอง เสาเริ่มเปล่งประกายสีเหลืองออกมา
เจิ้นสีชวงก็ประกาศเบา ๆ “พลังแห่งจิตใจปานกลาง ไม่เลวเลย บันทึกชื่อ!”
เมื่อได้ยินประกาศ มี่ยี่ถงก็ยิ้มอย่างพอใจ
หลังจากนั้นผู้เข้าทดสอบก็ถูกเรียกขึ้นไปทีละคน โดยปกติกฎของการรับนักเรียนของสถาบันหงส์เพลิงนั่นไม่สูงมากนักขอแค่สามารถทำให้เสาเปล่งแสงได้ พวกเขาทุกคนก็สามารถมีสถานะนักเรียนได้แล้ว
“ถัดไป หวงหลิงซาน!” เจิ้นสีชวงตะโกน เด็กหญิงตัวน้อยเดินขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจกดเสาต้นแรกโดยไม่มีการลังเล เสาทดสอบระเบิดประกายสีแดงสุกใสออกมา
“รากฐานทางจิตวิญญาณระดับเหนือชั้น!” เจิ้นสีชวงตะโกนและมองไปที่หวงหลิงซานอย่างคาดหวัง “ทดสอบพลังแห่งจิตใจต่อ พลังแห่งจิตใจก็เป็นระดับเหนือชั้นด้วย ดีมาก เข้าฝึกที่ระดับเหนือชั้นของสถาบันหงส์เพลิงฟรี!”
อัจฉริยะมักจะได้รับสิทธิพิเศษในทุก ๆ สถาบันศึกษา
หวงหลิงซานพยักหน้าแล้วเดินไปยืนรอด้านหลัง เจิ้นสีชวง
“ถัดไป หลิงยู่ชาน!”
เมื่อได้ยินชื่อตัวเอง ในตอนนี้หลิงยู่ชานจึงยิ่งเริ่มรู้สึกประหม่ามากขึ้น
หลิงตู้ฉิงปลอบเขา “อย่ากลัวเลย เจ้าจะผ่านการทดสอบแน่นอน จำไว้เจ้าแข็งแกร่งกว่าพวกเขามากนัก!”
หลิงยู่ชานพยักหน้าแรง ๆ หายใจเข้าลึก ๆ และเดินไปยังแท่นทดสอบ เขาใช้มือกดลงไป แต่เสาทดสอบกลับไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เลย
เมื่อหลิงยู่ชานยังคงค้างมือไว้เช่นนั้นอยู่สักพัก เจิ้นสีชวงก็พูดอย่างดูถูกเหยียดหยาม “เมื่อไม่มีรากฐานทางจิตวิญญาณ เจ้าก็ไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ รีบลงไปซะอย่าทำให้เสียเวลาข้า!”
หลิงยู่ชานรู้สึกหัวแทบระเบิด เริ่มแรกเขาคิดว่าจะต้องผ่านการทดสอบแน่นอนเพราะผลการสอบของเขาในชั้นเรียนเตรียมพื้นฐานของสถาบันหงส์นั้นสมรรถภาพทางกายของเขาดีที่สุดในชั้น เขาไม่เข้าใจว่าในเวลานี้มันเกิดอะไรขึ้น?
ถ้าเขาไม่สามารถเข้าสถาบันหงส์เพลิงได้ ไม่สามารถบำเพ็ญเพียรได้ ความปรารถนาของเขาจะเป็นจริงได้อย่างไร?
หลิงยู่ชานวุ่นวายใจ ดวงตาของเขาแดงก่ำ
เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่ยินยอม “อาจารย์ เสาทดสอบมันพังหรือไม่? ข้าว่าข้าสามารถบำเพ็ญเพียรได้แน่นอน หรือไม่ท่านจะให้ข้าทดสอบพลังแห่งจิตใจได้ก่อนหรือไม่? ข้ายืนยันได้ว่าพลังแห่งจิตใจของข้าต้องสูงมากแน่ ๆ”
เจิ้นสีชวงตอบเสียงเย็นชา “เสายังอยู่ดี เจ้ากล้าที่จะสงสัยในความสามารถของสถาบันเรางั้นเชียวหรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ารับการทดสอบอีกต่อไป เมื่อไม่มีรากฐานทางจิตวิญญาณก็เท่ากับเจ้าถูกลิขิตให้เป็นคนธรรมดาไปตลอดชีวิต เจ้าก็เหมือนขยะแบบพ่อของเจ้าที่ไม่รู้วิธีบำเพ็ญเพียร จงลงไปซะ!”
เมื่อเห็นหลิงยู่ชานไม่เต็มใจจะลงไป เจิ้นสีชวงโบกมือ พลังวิญญาณหลั่งไหลออกมากวาดเอาหลิงยู่ชานตกลงจากเวทีทดสอบ
“คนต่อไป!” เจิ้นสีชวงตะโกน