พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 202 เยือนเรือนลูก ๆ
บทที่ 202 เยือนเรือนลูก ๆ
หลิงตู้ฉิงเป็นคนที่ตั้งใจจะทำอะไรแล้วเขาก็ต้องการที่จะทำมันอย่างเต็มที่
เมื่อเขารู้ว่าลูก ๆ ของเขาต้องการการดูแลเอาใจใส่มากกว่าที่เป็นอยู่ เมื่อเขาออกจากเรือนของหลิงว่านถิง เขาจึงเดินตรงไปหาหลิงฟ่างหัวทันที
เมื่อหลิงฟ่างหัวเห็นว่าเป็นหลิงตู้ฉิงมาเยี่ยม นางก็รีบพูดอย่างมีความสุข “ท่านพ่อ ท่านมาหาข้างั้นเหรอ!”
หลิงฟ่างหัว นางเป็นบุตรคนที่มีอายุมากที่สุดเป็นอันดับห้า ในปีนี้อายุของนางก็ปาเข้าไป 7 ขวบแล้ว ปัจจุบันนี้ร่างกายของนางสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนได้พอสมควรและความคิดอ่านของนางก็เริ่มโตขึ้นตามไปด้วย
“พ่อมาดูว่าลูกสาวที่น่ารักของพ่อกำลังทำอะไรอยู่” หลิงตู้ฉิงหัวเราะเบา ๆ
หลิงฟ่างหัวยิ้มอย่างมีความสุข “ข้ากำลังศึกษาสมบัติวิเศษที่ท่านปรับแต่งให้ข้า”
“แล้วศึกษามันไปถึงไหนแล้ว?” หลิงตู้ฉิงถาม
หลิงฟ่างหัวระพริบตาด้วยความตื่นเต้นและพูดว่า “เดี๋ยวข้าจะแสดงให้ท่านดู!”
ในขณะที่นางกำลังพูดจบ นางหยิบ ‘ประตู’ ที่หลิงตู้ฉิงสร้างให้นาง จากนั้นนางก็ยื่นมือข้างหนึ่งเข้าไปในประตู แต่อีกด้านหนึ่งของประตูกลับไม่มีมือโผล่ออกมา จากนั้นนางก็ถอนมือออก พร้อมกับในมือของนางกลับมีตลับแป้งติดมาด้วยอีก 1 ตลับ
“เป็นไงท่านพ่อข้าเก่งไหม?” หลิงฟ่างหัวหัวเราะ
“เก่งมาก!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“น่าเสียดายที่ตอนนี้ข้าเอื้อมไปได้ถึงแค่เรือนของพี่สองเท่านั้น ถ้าหากไกลเกินกว่านั้นพลังของข้าคงยังไม่มากพอ” หลิงฟ่างหัวส่ายหัว
หลิงตู้ฉิงลูบหัวของหลิงฟ่างหัวและให้กำลังใจนาง “เมื่อเจ้าแข็งแกร่งขึ้นเจ้าก็ทำได้”
“ข้าจะตั้งใจฝึกฝน!” หลิงฟ่างหัวพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นจงตั้งใจให้แน่วแน่ แต่อย่ามัวยุ่งกับการฝึกฝนทั้งวัน เจ้าต้องออกไปเล่นกับพี่น้องของเจ้าคนอื่น ๆ บ้าง” หลิงตู้ฉิงให้คำแนะนำเสร็จจากนั้นก็ลุกขึ้นและจากไป
อย่างไรก็ตามหลิงฟ่างหัวไม่ได้เอาคำแนะนำของหลิงตู้ฉิงมาใส่ใจสักเท่าไหร่ เนื่องจากนางรู้สึกว่านางจะออกไปเล่นกับคนอื่น ๆ ให้เสียเวลาทำไม? การอยู่ศึกษาประตูของนางนั้นน่าสนุกกว่ากันตั้งเยอะ
เมื่อหลิงตู้ฉิงมาถึงเรือนเมฆาสีรุ้ง เรือนแห่งนี้มันดูมีชีวิตชีวามากขึ้นกว่าแต่ก่อนที่เขามาเป็นครั้งล่าสุดเป็นอย่างมาก ซึ่งตอนนี้เสี่ยวเยว่เฟิงเองก็อยู่ข้างใน
ที่ผ่านมานั้นเสี่ยวเยว่เฟิงปฏิบัติต่อหลิงไช่หยุนราวกับว่านางเป็นบรรพบุรุษของตนเอง นางหมั่นมาเล่นกับหลิงไช่หยุนทุกครั้งเมื่อเวลาที่นางว่าง และยังรวมไปถึงที่นางก็ได้สอนเคล็ดวิชาต่าง ๆ ที่นางเคยได้ศึกษามาตลอดทั้งชีวิตให้หลิงไช่หยุนจนหมดเปลือก
หลิงไช่หยุนในตอนนี้ไม่ได้กำลังศึกษากฎแห่งไฟ แต่กำลังใช้ไฟในการย่างอย่างขะมักเขม้น
เสี่ยวเยว่เฟิงเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นการมาถึงของหลิงตู้ฉิง นางยืนขึ้นและยิ้ม “นายท่าน นายหญิงกำลังยุ่งอยู่กับการย่างเนื้อ นางบอกว่านางจะฝึกย่างเนื้อให้ท่านกินในวันเกิดปีหน้า”
“โอ้จริงเหรอ?” หลิงตู้ฉิงมองไปที่หลิงไช่หยุนอย่างเอ็นดู
ในขณะนี้หลิงไช่หยุนนำเนื้อวัวมาเสียบด้วยแท่งโลหะ จากนั้นนางก็เทเครื่องปรุงรสลงไป และโบกมือสร้างเปลวเพลิงขึ้นไปลนเนื้อที่ถูกเสียบด้วยแท่งโลหะ ส่งผลให้เนื้อวัวถึงกับกระจุยสลายไป ด้วยความแรงของเพลิงระดับนี้อย่าว่าแต่เนื้อวัวธรรมดาที่โดนเข้ากับมันเลย แม้แต่แท่งโลหะก็ถูกหลอมจนเป็นเหล็กเหลว
“ครั้งนี้คือครั้งที่แปด!” เสี่ยวเยว่เฟิงกระซิบ
หลิงตู้ฉิงมองไปที่หลิงไช่หยุนที่ล้มเหลวหลายครั้งจนนางหงุดหงิด เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปกอดนางและยิ้ม “ลูกรักคนดี เจ้าใจเย็นไว้ก่อนอย่ารีบร้อน”
หลิงไช่หยุนชี้ไปที่เนื้อวัวด้านข้างที่ยังไม่ได้ย่างและพูดว่า “ท่านพ่อ เนื้อพวกนี้ยังย่างไม่หมด ปล่อยข้าก่อน ข้าจะฝึกย่างเนื้อต่อ”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “พวกมันล้วนเป็นเนื้อวัวธรรมดา เจ้าจะใช้เพลิงแรงแบบนั้นย่างมันไม่ได้ เจ้าต้องรู้จักควบคุมพลังเพลิงของเจ้าให้ดีกว่านี้ก่อนเจ้าถึงจะสามารถย่างพวกมันได้ เอาล่ะเจ้าจับตาดูการควบคุมพลังเพลิงของพ่อให้ดี ๆ นะ พลังเพลิงของพ่อมันทั้งหลอมเหล็กได้และมันก็ย่างเนื้อให้สุกได้เช่นกันโดยไม่ทำให้เนื้อไหม้”
หลิงตู้ฉิงอุ้มหลิงไช่หยุนไว้ในอ้อมแขนและสาธิตการย่างเนื้อให้นางดู
เมื่อย่างเสร็จ เขายื่นเนื้อสองชิ้นที่ดูหอมน่ากินให้นางและพูดว่า “จงตั้งใจฝึกอย่างที่พ่อสาธิตให้เจ้าดู พ่อจะรอวันที่เจ้ามาย่างให้พ่อกินบ้าง”
“ท่านพ่อ ข้าจะตั้งใจ!” หลิงไช่หยุนพยักหน้า
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าตอบและเดินออกจากเรือนเมฆาสีรุ้ง
ทันทีที่เขาเดินออกจากเรือนเมฆาสีรุ้ง หลิงว่านถิงก็เดินออกมาจากเรือนของนางเช่นกันพร้อมกับแสดงสีหน้าครุ่นคิด
เมื่อนางเห็นหลิงตู้ฉิง นางก็รีบเดินเข้ามาหาทันทีและพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าว่าคฤหาสน์เราต้องมีขโมยเข้ามาได้แน่ ๆ ตลับแป้งที่น้ามี่เพิ่งซื้อให้ข้า ข้ายังไม่ได้ใช้มันเลยตอนนี้มันหายไปอีกแล้ว เมื่อวันก่อนลูกปัดของข้าก็หายไปในห้อง ข้าอุตส่าห์วางค่ายกลเตือนไว้รอบ ๆ ห้องก็แล้ว แต่มันก็ไม่ได้ผล ไอ้โจรคนนี้มันร้ายกาจมากจริง ๆ นะท่านพ่อ ท่านต้องรีบจับมันให้ได้เชียวนะ ไม่งั้นของของเราจะต้องถูกขโมยไปจนหมดคฤหาสน์แน่ ๆ เลย”
หลิงตู้ฉิงเผยรอยยิ้มแปลก ๆ และพูดว่า “พ่อรู้แล้ว ต่อไปพ่อจะคอยระวังให้เจ้าเอง”
เขาไม่ได้สนใจเรื่องตลกเล็ก ๆ น้อย ๆ ของลูกสองคนนี้และเขาก็ไม่ได้เปิดเผยกลอุบายของหลิงฟ่างหัว
เขาออกเดินต่อไปเพื่อหาลูกชายอีก 2 คนของเขา ลูกสี่และลูกหกของเขากลายเป็นคู่หูตัวติดกันไปแล้ว พวกเขานั่งเล่นหมากกันได้ทั้งวันทุกวันโดยไม่รู้จักเบื่อ หลิงตู้ฉิงเดินเข้ามาหาพวกเขาที่โต๊ะและคุยกับพวกเขาสักพัก ก่อนที่จะไปหาหลิงเทียนหยุน
เขาไปคุยกับหลิงเทียนหยุนและกลับไปที่ห้องของหลิงยู่ชาน
ในเรือนของหลิงยู่ชาน หมิงจู้ยืนอยู่ข้างหลังหลิงยู่ชาน นางบีบไหล่ของหลิงยู่ชาน และกระซิบ “ข้าเห็นว่าทุก ๆ วัน เจ้ากับซ่งเหวินเถาต้องต่อสู้กันจนกว่าท้องฟ้าจะมืด มันเจ็บมากไหม?”
หลิงยู่ชานตอบด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงข้าก็รู้สึกเจ็บนั่นแหละ แต่หลังจากที่ได้ท่านมาคอยดูแลแล้วจู่ ๆ อาการเจ็บมันก็หายไปไหนแล้วไม่รู้”
“กะล่อนจริง ๆ เดี๋ยวนี้เจ้านี่ปากหวานขึ้นเรื่อย ๆ ใหญ่แล้วนะ” หมิงจู้บ่น
อย่างไรก็ตามใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสุข ทุกวันนี้นางเริ่มรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อนางคิดว่าคนตรงหน้านางจะเป็นสามีของนางในอนาคต
ในขณะที่พวกเขากำลังกระเซ้าเย้าแหย่กันอยู่ เสียงของหลิงตู้ฉิงดังมาจากด้านนอก “ยู่ชาน พ่อเข้าไปได้ไหม?”
หมิงจู้ที่กำลังนวดไหล่ของหลิงยู่ชาน เมื่อได้ยินเสียงของหลิงตู้ฉิง นางจึงพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “ท่านลุงหลิงมาที่นี่ ถ้าเขาเห็นเราอยู่ด้วยกันที่นี่เราจะทำอย่างไรดี!”
ในทางกลับกันหลิงยู่ชานจับมือของหมิงจู้อย่างใจเย็นและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป พวกเราไปต้อนรับท่านพ่อด้วยกันเถอะ!”
หลิงยู่ชานรู้ว่าพ่อของเขาไม่ใช่คนที่จะมาสนใจอะไรเรื่องเล็กน้อยแบบนี้แน่นอน แต่ถ้าหากจะพูดให้ถูกก็คือพ่อของเขาอาจจะเป็นคนที่แทบไม่สนใจอะไรเลยต่างหาก หลิงยู่ชานเมื่อรู้นิสัยข้อนี้ของหลิงตู้ฉิงอยู่แก่ใจ การแสดงออกของเขาจึงสงบกว่าหมิงจู้มาก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังไม่ได้ทำผิดประเพณีอะไร
“ท่านพ่อ เชิญเข้ามาได้เลย!” หลิงยู่ชานทักทาย “ว่าแต่วันนี้ท่านมาที่นี่ ท่านมีธุระอะไรหรือเปล่า?”
หลิงตู้ฉิงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีอะไรสำคัญพ่อแค่มาเยี่ยมพวกเจ้าเท่านั้น ช่วงนี้พ่อรู้สึกว่ายุ่งกับเรื่องอื่น ๆ จนละเลยพวกเจ้ามากไปสักหน่อย นอกเหนือจากเวลาที่พ่อชี้แนะเจ้าที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์ทุกวันแล้ว พ่อก็ไม่ได้มีเวลานั่งคุยกับเจ้าสองคนมานานแล้ว พวกเจ้าทั้งสองคนนั่งลงเถอะ!”
หลิงยู่ชานยิ้มและพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าเข้าใจดีว่าท่านมีหลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ท่านจะยุ่ง ตอนนี้ข้ายังช่วยแบ่งเบาภาระให้ท่านไม่ได้ สิ่งที่ข้าทำได้ดีที่สุดตอนนี้ก็คือการไม่สร้างปัญหาเพิ่มให้ท่านเท่าที่จะทำได้เท่านั้น”
“ปัญหาอะไรกัน? เจ้าเป็นลูกของพ่อ ต่อให้เจ้าจะสร้างปัญหาใหญ่แค่ไหนพ่อก็จะแบกรับมันไว้ให้กับเจ้าแทนทั้งหมดเอง” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ หลังจากคุยกับหลิงยู่ชาน และหมิงจู้สักพัก ในที่สุดหลิงตู้ฉิงก็จากไป
หลังจากหลิงตู้ฉิงจากไป หมิงจู้ก็กระซิบกับหลิงยู่ชานว่า “ทำไมข้ารู้สึกว่าพ่อของเจ้าดูแปลกไป?”
หลิงยู่ชานเงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดว่า “อันที่จริงท่านพ่อของข้าเป็นคนที่ไม่รู้ว่าจะแสดงออกความห่วงใยอย่างไรกับคนรอบข้าง ดังนั้นบางครั้งที่เขาแสดงออกถึงความห่วงใยของเขาออกมามันจึงค่อนข้างดูทื่อ ๆ และแปลก ๆ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขาและทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น ซึ่งเมื่อข้าคิดถึงเรื่องเหล่านี้ของเขาทีไรข้าก็อดที่จะไม่เป็นห่วงเขาไม่ได้ทุกที”
“นี่ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ใช่ไหม?” หมิงจู้กระซิบ
หลิงยู่ชานส่ายหัวและพูดว่า “ข้าไม่รู้ แต่ข้าหวังว่ามันจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”
“ท่านลุงมีพลังที่แข็งแกร่งมาก ท่านคงไม่ต้องการให้เราเป็นห่วงเขา จะดีกว่าถ้าเราไม่กังวลเรื่องเขา” หมิงจู้ส่ายหัว “เอาล่ะ ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อนล่ะ เจ้าเองก็รีบพักผ่อนเช่นกันนะ ข้าไปล่ะ!”
“ข้ารู้แล้ว พี่สาวหมิงจู้!” หลิงยู่ชานพยักหน้า แต่เขายังไม่ได้ไปนอนในทันที เขายังคงนั่งครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างในหัวอยู่ที่เดิม