พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 207 ทำลายตำหนัก
บทที่ 207 ทำลายตำหนัก
“นายท่านในตอนที่ข้าปลดปล่อยพลัง ข้าสัมผัสได้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญไม่ต่ำกว่า 7 คนกำลังจับตาดูเราอยู่” โม่หยูถังพูดกับหลิงตู้ฉิง
“อืม” หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ทั้งคู่คุยกันโดยไม่สนใจว่าจางหมิงและเหลียงซานจะได้ยินหรือไม่
เหลียงซานและจางหมิงมองมายังพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ถ้าหากมีคนจับตาดูอยู่ถึง 7 คน แล้วหลิงตู้ฉิงมันไม่เกรงกลัวเลยรึไง?
ทำไมมันถึงดูมั่นใจได้ขนาดนี้?
“เมื่อครู่ หลูซ่างเก๋อโดนทั้งพลังวิญญาณเทพอสูรและหอกของข้าเข้าไป ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น ซือโถวเหวินหยวนน่าจะใช้เวลาไม่นานในการจัดการเขาได้” โม่หยูถังกล่าวพลางเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมบนในหน้า
“อืม” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
ในขณะนี้หลูซ่างเก๋อที่กำลังบินอยู่บนฟ้า เขาทั้งตกตะลึงและโมโห
เขาตระหนักสถานการณ์ของตัวเองได้ดีว่ามันย่ำแย่สุดขีด เขาที่โดนพลังของโม่หยูถังเข้าไปจนบาดเจ็บสาหัส เขารู้ตัวดีว่าเขาไม่สามารถรับมือกับซือโถวเหวินหยวนได้แน่นอน
โดยเฉพาะปัญหาหลักของเขาตอนนี้คือพลังวิญญาณอสูรของโม่หยูถังที่ไหลเวียนอยู่ในกายเขา มันกำลังสูบพลังชีวิตของเขาออกไปเรื่อย ๆ
ถ้าหากเขามีเวลาได้นั่งพักและโคจรพลังวิญญาณของตัวเองสักครู่ เขาคงจะสามารถขับพลังวิญญาณของโม่หยูถังให้ออกไปได้ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ซือโถวเหวินหยวนกำลังเตรียมที่จะจู่โจมเขาอยู่
ในขณะนี้ กระแสพลังวิญญาณสีเขียวคล้ำที่เกาะอยู่ตามร่างกายของหลูซ่างเก๋อกำลังค่อย ๆ ซึมเข้าสู่ผิวหนังของเขาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมันยังทำให้การโคจรพลังวิญญาณของเขาติดขัดและยังทำให้มีเลือดไหลซึมออกมาทางผิวหนังที่พลังวิญญาณเหล่านี้ซึมเข้าไป
“พวกเจ้ากำลังรออะไรกันอยู่ ทำไมถึงยังไม่ลงมืออีก?” หลูซ่างเก๋อตะโกนขึ้นด้วยความเดือดดาล “เหลียงซาน เจ้าไม่เห็นหรือไงว่าโม่หยูถังสามารถโจมตีได้แค่ครั้งเดียว พวกเจ้ากำลังลังเลอะไรอยู่อีก แล้วเจ้า หลีเทียนหยู ทำไมเจ้าถึงไม่โจมตีพวกมันสักที!?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญที่คอยจับตาดูสถานการณ์รอบ ๆ วังหลวงต่างมองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าลังเล
ในขณะที่ทุกคนกำลังลังเล ซือโถวเหวินหยวนก็จบศึกเรียบร้อย เขาหิ้วร่างอันสะบักสะบอมของหลูซ่างเก๋อมาหาหลิงตู้ฉิงทันที
“ข้าเป็นคนของสันเขาหมื่นอสูร และนายของข้าคือท่านโอรสสวรรค์ บุตรขององค์เหนือหัวคุนเป๋ง ถ้าหากเจ้ากล้าฆ่าข้า ท่านโอรสสวรรค์จะต้องไม่ปล่อยพวกเจ้าเอาไว้แน่!” หลูซ่างเก๋อตะโกนใส่หน้าหลิงตู้ฉิงด้วยเสียงดังกังวาล
“สันเขาหมื่นอสูร? ฮ่าฮ่าฮ่า!” หลิงตู้ฉิงหัวเราะจนตัวงอ
ในเวลาเดียวกัน ชายชราผู้หนึ่งก็ได้ร่อนลงมาจากท้องฟ้าและหยุดอยู่ตรงหน้าหลิงตู้ฉิง และพูดกับเขาว่า “ท่านหลิง ข้าอยากจะขอท่านสักครั้ง โปรดท่านมอบเขาคืนมาให้ข้าได้ไหม? ข้าสัญญาว่าเขาจะไม่มีวันมาสร้างความรำคาญให้กับท่านอีกเป็นครั้งที่สอง”
หลิงตู้ฉิงไม่สนใจในคำพูดของชายชราผู้นั้น เขาหันไปพูดกับซือโถวเหวินหยวน “ไม่ใช่ว่าข้าสั่งเจ้าให้ฆ่าเขาไม่ใช่เหรอ? นี่มันคือกวางวิเศษขอบเขตนภาที่อยู่ในระดับสูงสุดเชียวนะ เจ้าไม่อยากกินเนื้อของมันรึไง?”
ซือโถวเหวินหยวนก้มหน้าลงอย่างกระอักกระอ่วน “เอ่อ ข้า…”
จริง ๆ แล้ว ซือโถวเหวินหยวนอยากจะบอกว่า คนผู้นี้มันมาจากสันเขาหมื่นอสูรเชียวนะ หากมันเป็นการต่อสู้และฆ่ากันตามปกติมันคงจะไม่มีปัญหาอะไรมากแต่ถ้าหากเปลี่ยนเป็นการกินแล้วล่ะก็มันจะต้องเกิดปัญหาใหญ่อย่างแน่นอน แถมสันเขาหมื่นอสูรเคยออกประกาศไว้เมื่อนานแสนนานแล้วว่าหากมีผู้ใดที่กล้ากินสัตว์วิเศษหรืออสูรที่มาจากสันเขาหมื่นอสูร คนผู้นั้นจะถูกตราหน้าว่าเป็นศัตรูไปตลอดกาลกับพวกเขา
ถ้าท่านอยากจะกินเขาจริง ๆ ท่านก็ควรพาเขาไปกินในที่ลับตาคนหรือไม่ให้ใครรู้มันจะดีกว่าไหม ทำไมต้องประกาศออกมาโต้ง ๆ แบบนี้ด้วย!? นี่เขายังกลัวว่าชีวิตของเขาตอนนี้มันจะมีปัญหาไม่มากพอรึยังไง?
หลิงตู้ฉิงตอนนี้เริ่มขมวดคิ้วและพูดขึ้นอีกครั้ง “นี่เจ้ายังรออะไรอยู่อีก เจ้ากำลังทำให้ข้าเสียเวลาอยู่เจ้าเข้าใจไหม! ถ้าหากเจ้าไม่ลงมือในตอนนี้ หลังจากจบเรื่องข้าคงจะต้องพิจารณาการให้เจ้าอยู่กับข้าใหม่อีกรอบ!”
ซือโถวเหวินหยวนเมื่อได้ยินเช่นนี้ ใจของเขาหายวาบทันที เขาหันหน้าไปยังหลูซ่างเก๋อและง้างมือเตรียมสังหาร
หลีเทียนหยูที่เห็นภาพเช่นนั้นเขารีบตะโกนขึ้นทันที “ช้าก่อน!”
หลิงตู้ฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าเจ้ายังไม่อยากตายก็จงดูอยู่เฉย ๆ!”
“เจ้ากล้างั้นเหรอไอ้…” หลูซ่างเก๋อตะโกนขึ้น
แต่ก่อนที่หลูซ่างเก๋อจะได้พูดจบ ฝ่ามือของซือโถวเหวินหยวนก็ลอยเข้ามาปะทะหัวของเขาเรียบร้อย ส่งวิญญาณของเขาให้หลุดออกจากร่างทันที
เมื่อหลีเทียนหยูเห็นว่าหลูซ่างเก๋อตายแล้ว เขามองไปยังหลองตู้ฉิงด้วยสายตาขุ่นเคือง จากนั้นเขาจึงเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
“เฟิง มาย่อส่วนศพของเขาให้เล็กลงทีและเก็บศพของเขาไปด้วย” หลิงตู้ฉิงหันไปสั่งกับเสี่ยวเยว่เฟิง
เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้า จากนั้นนางจึงเดินไปยังศพของหลูซ่างเก๋อ และใช้ตราประทับย่อส่วนศพของเขาให้เล็กลงเท่ากับขนาดของกวางธรรมดา
หลิงตู้ฉิงหันกลับไปมองเหลียงซานและจางหมิง จากนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เอาล่ะ ข้ารอให้พวกเจ้าลงมือมาได้สักพักแล้ว แต่พวกเจ้ากลับยังนิ่งเฉยอยู่ ในเมื่อพวกเจ้ายังพอมีไหวพริบอยู่บ้าง ครั้งนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน แต่ถ้าหากพวกเจ้ายังกล้าสร้างเรื่องราวปวดหัวให้ข้าอีกรอบข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปง่าย ๆ อีกต่อไป แล้วอีกอย่าง ตำหนักของเจ้าหลังนี้ข้ารู้สึกว่ามันดูขัดหูขัดตาข้าจริง ๆ ข้าคิดว่ามันจะดีกับสายตาของข้ามากกว่าหากมันจะหาย ๆ ไปซะ!”
หลังจากหลิงตู้ฉิงพูดจบ เขาปล่อยพลังวิญญาณออกจากปลายนิ้ว พุ่งไปทำลายเสาที่ค้ำในตำหนักทั้งหมดจนกระจุย ส่งผลให้ทั้งตำหนักหทัยไร้พันธะ ถล่มลงกลายเป็นเศษซากปรักหักพังทันที
ส่วนทางด้านจางหมิงและเหลียงซานที่อยู่ด้านใน เนื่องจากพวกเขาเองนั้นไม่ใช่คนธรรมดา พวกเขาจึงสามารถรอดจากการถูกหล่นทับของหลังคาตำหนักได้อย่างไร้รอยขีดข่วน
ทั้งคู่ต่างยืนอยู่ท่ามกลางเศษซากปรักหักพังของตำหนักของพวกเขาเอง พวกเขาต่างมองมายังหลิงตู้ฉิงด้วยแววตาอาฆาตจนสุดประมาณ
หลิงตู้ฉิงมองไปยังพวกเขาด้วยแววตาเย็นชาและพูดว่า “ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าครั้งนี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น จงรักษามันไว้ให้ดี”
หลังจากพูดจบ หลิงตู้ฉิงหันหลังเดินกลับขึ้นไปยังรถม้าทันที ตามมาด้วยโม่หยูถังและซือโถวเหวินหยวนที่รีบตามเข้าไปในรถม้าเช่นกัน
เสี่ยวเยว่เฟิงตอนนี้เดินขึ้นไปยังที่นั่งคนขับแล้วเช่นกัน จากนั้นนางจึงบอกให้กงหนิวลากรถม้ากลับคฤหาสน์สราญรมย์
เหลียงซานมองหลิงตู้ฉิงจากไปด้วยสายตาอาฆาตแค้น เขาตะโกนกู่ร้องออกมาด้วยความคับแค้นใจจนเศษซากปรักหักพังของตำหนักที่อยู่รอบกาย ๆ กระจุยสลายเป็นฝุ่นผง
“ข้าต้องการให้มันตาย!” เหลียงซานคำรามลั่น
“โปรดฝ่าบาททรงวางพระทัย กระหม่อมจะช่วยทำทุกวิถีทางให้ฝันนี้ของฝ่าบาทเป็นจริงแน่นอน!” จางหมิงกล่าวกับเหลียงซานด้วยสีหน้าเดือดดาลเช่นกัน
ในฐานะที่เป็นจักรพรรดิ การที่เขาถูกหลิงตู้ฉิงปฏิบัติด้วยขนาดนี้มันเป็นเหมือนการดูหมิ่นเขาอย่างถึงที่สุด ซึ่งตั้งแต่เขาเกิดมาเขายังไม่เคยได้รับการดูหมิ่นเช่นนี้มาก่อน
เมื่อเหลียงซานโวยวายอยู่ได้สักพัก จากนั้นเขาหันกลับไปคุยกับจางหมิง “ส่งคนของเราไปหาอาจารย์ของข้า บอกกับเขาว่าข้ายอมอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของเขาแลกกับการที่เขาจะต้องส่งคนมาช่วยข้าที่นี่ และอย่าลืมบอกกับเขาด้วยว่า เฟ่ยเอ๋อ มีร่างกายแก่นแท้ปฐพี!”
“และอีกอย่างส่งคนของเราไปที่สันเขาหมื่นอสูรด้วย ไปแจ้งกับพวกเขาว่าพวกของหลิงตู้ฉิงจับคนของพวกเขากิน และไปแจ้งกับหมู่บ้านราตรีทมิฬด้วยว่าโม่หยูถังเองก็อยู่ที่นี่ รวมไปถึงติดต่อผู้เชี่ยวชาญระดับสูงทุกคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงบอกกับพวกเขาว่าข้าไม่สนใจไอ้เลือดพฤกษาสวรรค์อะไรนั่นอีกต่อไปแล้ว ข้าต้องการให้พวกเขามาช่วยข้าโจมตีคฤหาสน์สราญรมย์นั่นให้พินาศไปซะ!”
ยิ่งเขามองเห็นซากปรักหักพังของตำหนักตัวเอง เหลียงซานในตอนนี้ก็ยิ่งคลุ้มคลั่ง
ตอนนี้เขาไม่ต้องการอะไรอีก เขาแม้กระทั่งยอมทำให้อาณาจักรของตัวเองอยู่ใต้อาณัติผู้อื่น เพื่อเหตุผลเพียงอย่างเดียวนั่นคือการแก้แค้นหลิงตู้ฉิงให้จงได้
ส่วนทางด้านของหลิงตู้ฉิง ซึ่งตอนนี้เขาได้กลับมาถึงคฤหาสน์สราญรมย์เรียบร้อย
ซือโถวเหวินหยวนที่ในตอนนี้กำลังยืนมองศพกวางวิเศษตัวโตที่นำมาวางไว้กลางลาน เขารู้สึกขัดแย้งในใจ เขากล่าวขึ้นถามหลิงตู้ฉิงด้วยน้ำเสียงลังเล “นายท่าน นี่ท่านจะกินกวางวิเศษตัวนี้จริง ๆ เหรอ? เขาเป็นผู้ที่มาจากสันเขาหมื่นอสูรนะนายท่าน ข้าเกรงว่าถ้าเรากินเขา มันจะสร้างปัญหาอันไม่รู้จบให้กับทางเรา”
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองมายังเขาและตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ถ้าเจ้ากังวลนัก เจ้าสามารถเลือกที่จะไม่กินมันก็ได้นะ”
เมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ ซือโถวเหวินหยวนถึงกับเผยรอยยิ้มอันขมขื่น เขารู้ว่าไม่ว่าเขาจะกินหรือไม่กินก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาที่สันเขาหมื่นอสูรกลับมาคิดบัญชีแค้น เขาที่ทำสัญญาเป็นบ่าวของหลิงว่านถิงไปแล้วก็ต้องสู้กับคนจากสันเขาหมื่นอสูรอยู่ดี
ในเวลาเดียวกัน หลิงตู้ฉิงก็กำลังใช้พลังวิญญาณของเขาในการรีดเลือดในศพของกวางวิเศษทั้งหมดมาเก็บใส่ถังขนาดใหญ่
ไม่ว่าจะยังไงนี่คือสัตว์วิเศษที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตนภาระดับ 12 ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเลือด เนื้อ หรือหนังของมันล้วนมีค่าเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นไม่นานหลิงตู้ฉิงก็ได้ทำการแล่เนื้อของมันออกมาจนหมดและเขาทำการหั่นแบ่งพวกมันไว้เป็นกอง ๆ จำนวนมากมาย ซึ่งแต่ละกองล้วนมีน้ำหนักราว 10,000 กิโลกรัม
“ข้าจะมอบส่วนแบ่งของเนื้อให้ท่าน 10,000 กิโลกรัม เพื่อเอาไปแบ่งให้กับทหารของเราทุกคนได้กินรวมถึงท่านเองก็ต้องกินเช่นกัน มันจะช่วยเพิ่มระดับการบ่มเพาะและทำให้รากฐานการบ่มเพาะของท่านและทหารแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม” หลิงตู้ฉิงกล่าวกับหลิงฉุยฟงพร้อมกับยื่นแหวนมิติที่ด้านในบรรจุเนื้อกวางส่งให้
จากนั้นหลิงตู้ฉิงหันไปตะโกนยังบรรดาทหารที่ยืนตั้งแถวอยู่ในลานฝึกหลังคฤหาสน์ “พวกเจ้าจงจำไว้ว่าเนื้อนี่มาจากกวางที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตนภาระดับ 12 ซึ่งเนื้อของมันนั้นเต็มไปด้วยเจตจำนงสังหารของสัตว์ป่า ฉะนั้นอย่าโลภที่จะมาขอมันเพื่อเอาไปกินเพิ่ม เพราะมันจะมีแต่ผลเสีย แล้วเมื่อไหร่ที่พวกเจ้าทุกคนกินหมดจงจำเอาไว้ว่าทุกคนต้องตั้งใจฝึกให้ดี ด้วยพลังวิญญาณที่อัดแน่นอยู่ในชิ้นเนื้อนี้นั้นมันควรจะทำให้พวกเจ้าทะลวงระดับไปถึงขอบเขตประสานทะเลปราณได้ไม่ยากเย็นนัก ฉะนั้นจงตั้งใจฝึกฝนไม่เช่นนั้นในอนาคตเมื่อตอนที่สันเขาหมื่นอสูรกลับมาแก้แค้นพวกเจ้าอาจจะเป็นผู้ถูกกินแทนก็เป็นได้”
ในตอนแรกเมื่อทุกคนได้ยินว่าเนื้อชิ้นนี้มาจากกวางวิเศษมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตนภาระดับ 12 พวกเขาก็ต่างน้ำลายสอ แต่พอเมื่อพวกเขาได้ยินประโยคเตือนของหลิงตู้ฉิงต่อท้าย พวกเขาก็ถึงกับรู้สึกเสียวสันหลัง
พวกเขาจึงพร้อมใจกันตะโกนรับทราบคำสั่งของหลิงตู้ฉิง
หลังจากแจกจ่ายเนื้อกวางให้กับบรรดาทหารเรียบร้อย จากนั้นหลิงตู้ฉิงจึงหันไปหาจ้าวเหมิงลู่และพูดว่า “ส่งข้อความไปหาปู่ของเจ้าด้วยว่าให้มารับส่วนแบ่งของเนื้อกวางไป และอย่าลืมส่งข้อเดียวกันนี้ไปให้กับตระกูลมี่ด้วยเช่นกัน”