พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 215 ละอายที่จะพบ
บทที่ 215 ละอายที่จะพบ
ทุกคนรวมไปถึงเหล่าทหารในคฤหาสน์สราญรมย์ตอนนี้ได้มารวมกันที่ลานฝึกในร่มหลังคฤหาสน์หลัก เพื่อรอฟังการบรรยายของหลิงตู้ฉิง
เมื่อการบรรยายเริ่มขึ้น หัวข้อการบรรยายแรกคือเรื่องของหัวใจแห่งเต๋า
และถัดมาหลิงตู้ฉิงบรรยายต่อด้วยหัวข้อ ‘มโนทัศน์’ แห่งเต๋า
รอบนี้รายละเอียดในหัวข้อการบรรยายของหลิงตู้ฉิงละเอียดกว่าตอนที่เขาบรรยายในศาลาศักดิ์สิทธิ์มาก
ไม่เพียงแต่เขาจะบรรยายด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว แต่หลิงตู้ฉิงยังมีการสาธิตโดยการออกกระบวนท่าร่างกายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กระบวนท่าหมัด เพลงกระบี่ เพลงดาบให้กับทุกคนได้ชม
หลังจากการบรรยายของหลิงตู้ฉิงจบ หลายวันผ่านไปไม่มีใครได้ไปที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากทุกคนล้วนจมอยู่ในสภาวะหยั่งรู้
ซึ่งบรรดานักศึกษาคนอื่น ๆ ในคณะเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกอะไรสักเท่าไหร่ เพราะพวกเขาเริ่มจะชินกับการที่บรรดาอาจารย์และลูก ๆ ของหลิงตู้ฉิงหายตัวไปแบบไม่บอกไม่กล่าวกันเป็นประจำอยู่แล้ว
ส่วนหลิงตู้ฉิงนั้น เขาไม่ได้ใส่ใจสภาวะตอนนี้ของทุกคนในคฤหาสน์ที่กำลังหลับตาอยู่ในการหยั่งรู้ สิ่งที่เขาจำเป็นที่จะทำต่อไปก็คือการสร้างอาวุธระดับราชวงศ์ให้กับโม่จู่ตามที่เขาได้สัญญาไว้
โดยปรกติร่างกายและเล็บของอสูรทมิฬที่อยู่ในขอบเขตนภาระดับ 11 นั้นแข็งแกร่งกว่าอาวุธระดับวิญญาณธรรมดาอยู่หลายขุม หรืออันที่จริงมันอาจจะแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าอาวุธระดับราชวงศ์เลยด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุผลนี้ มันจึงเป็นการยากมาก ๆ ที่จะสร้างอาวุธวิเศษระดับราชวงศ์ที่แข็งแกร่งกว่าร่างกายของพวกเขาให้สำเร็จได้
เมื่อเจอกับโจทย์ที่ยากเช่นนี้ แม้แต่หลิงตู้ฉิงเองก็ยังต้องคิดทบทวนถึงวิธีการอยู่หลายครั้งว่าจะสร้างอาวุธให้โม่จู่ยังไง
หลังจากใช้เวลาไปกว่า 8 วัน หลิงตู้ฉิงก็สร้างอาวุธให้กับโม่จู่ได้สำเร็จ เขาลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายและมองไปยังอาวุธที่เขาพึ่งสร้างขึ้นอย่างชื่นชม “ไม่เสียแรงเลยที่ข้าใส่ความพยายามไปตั้งมากมาย แต่ว่าดูจากทรงแล้วรอบนี้ข้าอาจจะต้องขาดทุนสักเล็กน้อยสินะ”
เมื่อตรวจสอบความเรียบร้อยของอาวุธอีกรอบเสร็จ หลิงตู้ฉิงจึงติดต่อไปหามี่ตั้วตั้วเพื่อให้แจ้งข่าวดีแก่โมจู่ และให้เขามารับอาวุธกลับไปได้
และใน 8 วันที่ผ่านมาที่หลิงตู้ฉิงได้ทำการสร้างอาวุธอยู่นั้น บรรดาผู้คนที่อยู่ในสภาวะหยั่งรู้ต่างก็ตื่นขึ้นมาหมดแล้วทุกคน
ซือโถวเหวินหยวนเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด ตาเฒ่าผู้นี้ที่อยู่มานานมากกว่าพันปีแล้ว และอายุขัยของเขาก็ใกล้จะหมดลงเต็มทน เขาจึงมีประสบการณ์และเข้าเส้นทางในด้านการบ่มเพาะอย่างเข้มข้น เขาจึงสามารถหยั่งรู้ถึงความหมายของบทบรรยายที่หลิงตู้ฉิงสอนได้มากกว่าคนอื่น ๆ และที่สำคัญบทบรรยายของหลิงตู้ฉิงยังทำให้เขาสามารถบรรลุตัวอักษรที่ 3 ของมนตราของเขาได้
นับตั้งแต่ที่เขาได้รับผลประโยชน์เช่นนี้ สายตาของเขาที่มองหลิงตู้ฉิงจึงเปลี่ยนไปจนแทบจะกลายเป็นเทิดทูนพอ ๆ กับบรรพบุรุษของเขาเลยด้วยซ้ำ
เขากลายเป็นให้ความเคารพกับหลิงตู้ฉิงอย่างสุดซึ้ง และยังเชื่อฟังหลิงตู้ฉิงอย่างสุดใจ เขากลายเป็นคนละคนกับที่ก่อนหน้านี้เวลาหลิงตู้ฉิงสั่งอะไรเขายังคงมีความลังเลที่จะทำตามที่สั่งอยู่
แต่โชคไม่ดีที่พรสวรรค์ของเขานั้นไม่ดีสักเท่าไหร่ ระดับของขอบเขตนภาสูงสุดที่เขาจะไปถึงได้ก็เพียงแค่ระดับ 12 เท่านั้น เขาไม่สามารถที่จะขึ้นไปถึงระดับ 13 ได้
ส่วนเหล่าผู้หญิงของหลิงตู้ฉิง ตอนนี้จ้าวเหมิงลู่ได้บ่มเพาะมาถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 10 แล้วซึ่งถ้าหากนางไม่ได้เชื่อฟังคำที่หลิงตู้ฉิงบอกให้นางเน้นบ่มเพาะแต่รากฐานอย่างเดียวนั้น ป่านนี้นางคงบ่มเพาะไปถึงระดับ 12 ไปตั้งนานแล้ว
ทางด้านการบ่มเพาะของมี่ไลนั้นค่อนข้างช้าสักหน่อย ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของนางอยู่ที่ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 5 แต่ด้วยเป้าหมายการบ่มเพาะของนางนั้นไม่ได้เน้นไปที่การเพิ่มระดับตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว นางเน้นไปที่การบรรลุวิชาใหม่ ซึ่งก็คือวิชาเกล็ดน้ำค้างสารทฤดูที่นางได้รับมาจากหลิงตู้ฉิงมากกว่า
ส่วนหลิวเฟ่ยเฟ่ยที่กำลังฝึกวิชาดรุณีเยือกแข็ง ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของนางก็ได้มาอยู่ที่ขอบเขตประสานทะเลปราณแล้วเช่นกัน แต่ไม่มีใครที่สามารถเดาออกได้ว่าตอนนี้นางแข็งแกร่งแค่ไหนหรือท่าไม้ตายของนางคืออะไร อย่างเดียวที่คนอื่น ๆ รู้ก็คือขณะนี้ร่างของนางได้มีไอเย็นแผ่ออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ จนมันเหมือนกับก้อนน้ำแข็งที่ผ่านกาลเวลามาเป็นพันปี
จะมีก็แค่คนเดียวที่คนอื่น ๆ เห็นความเปลี่ยนแปลงของนางได้อย่างชัดเจนที่สุดก็คือ เหลียงเฟ่ยเอ๋อ เนื่องจากในบางเวลาที่รอบกายนางก็มีภาพมายาของเตาหลอมสีเขียวขนาดเท่าฝ่ามือลอยอยู่รอบ ๆ กาย
แต่ถึงแม้บรรดาเด็ก ๆ จะเห็นภาพเช่นนี้ พวกเขาก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าไอ้เจ้าเตาหลอมนี่มันมีประโยชน์อย่างไร
แต่ถ้าหากวันใดมีอะไรเกิดขึ้นแล้วพวกเขาตกอยู่ในอันตราย เมื่อถึงวันนั้นพวกเขาก็คงจะได้รู้ว่าสิ่งนี้มันมีค่าแค่ไหน
ซึ่งวันนั้นมันอาจจะมาถึงในเวลาอีกไม่นาน
หลิงตู้ฉิงที่สำรวจความเป็นไปของทุกอย่างในครอบครัวเขาด้วยความพึงพอใจ แต่เมื่อเขามองกลับไปที่บรรดาทหารของเขา เขาก็ต้องส่ายหัว
บรรดาทหารทั้ง 750 คนนี้ ถึงแม้จะไม่เลวแต่ก็ไม่มีใครในพวกเขาที่โดดเด่นสักคน ไม่มีใครที่มี่ความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดเลยในช่วงเวลาที่ผ่านมา
และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาหลายคนยังหาเส้นทางหารบ่มเพาะของตัวเองไม่เจอด้วยซ้ำ มันจึงเป็นเรื่อยากที่จะทำให้พวกเขาพัฒนาไปมากกว่านี้
ถ้าไม่นับรวมพวกทหาร ก็เห็นจะมีก็แค่คนเดียวที่พัฒนาขึ้นไปอย่างมากก็คือ หลิงฉุยฟง ซึ่งเป็นผู้บัญชาการของพวกเขา
ในขณะที่หลิงตู้ฉิงกำลังคิดว่าจะเอายังไงกับทหารดี โม่จู่และมี่ตั้วตั้วก็ได้มาถึงที่คฤหาสน์ของเขาแล้ว
“ท่านหลิง อาวุธวิเศษของข้าเสร็จแล้วงั้นหรือ?” โม่จู่ถามขึ้น “แล้วอาวุธนี่มันเหมาะกับเผ่าอสูรทมิฬของข้าจริง ๆ ใช่ไหม?”
“เจ้าเอาไปดูเองก็แล้วกัน” หลิงตู้ฉิงโยนเหรียญตราทรงกลมขนาดใหญ่สีทองแดงไปให้กับโม่จู่ ซึ่งรูปลักษณ์ของมันดูธรรมดาเป็นอย่างมากและถ้าหากมองจากภายนอกไม่มีทางที่ใครจะรู้ได้เลยว่ามันทรงพลังขนาดไหน
โม่จู่รับเหรียญตรามาอย่างสงสัย เนื่องจากเขาเองก็มองมันไม่ออกเช่นกันว่ามันวิเศษยังไง แต่หลังจากที่เขาหยดเลือดลงไปบนมันเพื่อประทับตราความเป็นเจ้าของ และลองตรวจสอบวิธีการใช้งานและความสามารถของมัน เขาก็ยิ้มออกอย่างเบิกบานและกล่าวกับหลิงตู้ฉิง “ท่านหลิง อาวุธนี่มันคือผลงานชิ้นโบว์แดงเลยจริง ๆ มันคืออาวุธวิเศษระดับราชวงศ์ที่เหมาะกับเผ่าของข้ามากที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลย”
“เจ้าควรจะรู้ว่ากว่าที่ข้าจะสร้างมันออกได้มันต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน ข้าต้องจ่ายความพยายามของข้าไปมากกว่ามูลค่าของค่าจ้างที่เจ้าจ่ายมาให้ข้าก่อนหน้านี้อยู่พอสมควร ฉะนั้นเรื่องเมล็ดดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตที่ข้าเคยบอกให้เจ้าหามาให้ข้าก่อนหน้านี้ เจ้าจะต้องหามันมาให้ข้าโดยเร็วที่สุด!”
โม่จู่รู้สึกลังเลเล็กน้อย จากนั้นเขาพูดว่า “ท่านหลิง สิ่งที่ท่านร้องขอมามันมากไปสักหน่อย หากท่านต้องการเมล็ดดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตระดับสูง ๆ แล้วล่ะก็ ข้าเกรงว่าการสร้างอาวุธวิเศษนี่ให้กับเผ่าข้าคงจะไม่เพียงพอ แต่ถ้าหากเป็นเมล็ดดอกบัวปีศาจกระหายโลหิตขอบเขตรวมแสงดาราสัก 1 เมล็ดล่ะก็ข้าคงพอจะตกลงด้วยได้ ท่านต้องเข้าใจว่ายิ่งระดับมันสูงมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งหายากมากขึ้นเท่านั้น”
หลิงตู้ฉิงเหล่มองไปยังทิศทางของโจวจื่อซิน จากนั้นเขาพยักหน้าและพูดว่า “ขอบเขตรวมแสงดาราก็พอใช้ได้แล้ว แต่ข้าต้องการมันมาให้ไว้ที่สุด!”
โม่จู่พยักหน้า “ในเมื่อท่านตกลง เช่นนั้นข้าจะให้ตระกูลของข้าส่งมันมาให้ท่านทันทีผ่านทางเจดีย์เชื่อมเก้าสวรรค์ของท่านมี่ เนื่องจากในตระกูลของข้ามีมันอยู่แล้ว”
หลองตู้ฉิงโบกมือขึ้นและพูดว่า “เจ้าไม่ค้องรีบร้อนขนาดนั้น เจ้าค่อยส่งมันมาให้ข้าหลังจากที่เจ้าส่งอาวุธนี่กลับไปให้ตระกูลของเจ้าตรวจสอบมันเสร็จก่อนก็ได้”
โม่จู่ได้ยินเช่นนี้เขายิ้มและตอบกลับ “งั้นเอาตามที่ท่านว่า”
“หากไม่มีอะไรแล้วก็ไปเถอะ” หลิงตู้ฉิงโบกมือเพื่อส่งแขก
หลังจากมี่ตั้วตั้วและโม่จู่จากไป หลิงตู้ฉิงก็เผยรอยยิ้มขึ้นและพูดว่า “มี่ไล ส่งข้อความบอกพ่อของเจ้าอย่างลับ ๆ ว่าห้ามเขาเปิดใช้งานเจดีย์ของเขาต่อหน้าข้า ไม่เช่นนั้นข้าอาจจะถูกใครบางคนเห็นเข้า”
มี่ไลหัวเราะ “นี่ท่านเคยไปก่อเรื่องอกุศลอะไรไว้กันเหรอสามี ท่านถึงไม่อยากให้ใครเจอตัวแบบนี้?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มแต่ไม่ได้ตอบอะไร
เนื่องจากมันอะไรบางอย่างที่เขาได้กระทำลงไปเมื่อชีวิตที่แล้วที่เขาเป็นคนไร้อารมณ์ ซึ่งเมื่อเขามาคิดถึงมันในชีวิตนี้แล้วเขารู้สึกละอายนิดหน่อย
และมันคงจะดีกว่าหากเขาไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากับคนผู้นั้น