พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 226 ค่ายกลสัตว์เทวะ
บทที่ 226 ค่ายกลสัตว์เทวะ
เมื่ออสูรโลหิตมาถึง ทั่วทั้งบริเวณเมืองหลวงก็คล้ายกับจะถูกห่อหุ้มด้วยทะเลเลือด กลิ่นคาวเลือดโชยเตะเข้าจมูกผู้คนในเมืองทำให้แทบทุกคนรู้สึกอยากจะอาเจียน
ผู้ที่ได้กลิ่นคาวเลือดต่างก็เงียบไม่กล้ามอง
แม้แต่ผู้คนรอบ ๆ คฤหาสน์สราญรมย์ก็เงียบ
บรรดาผู้ที่รู้จักสันเขาหมื่นอสูรต่างก็เงียบ
บรรดาผู้ที่ไม่รู้เกี่ยวกับสันเขาหมื่นอสูรเพียงแค่มีกลิ่นเหม็นของเลือดก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไร
ข้าง ๆ อสูรโลหิตมีกองทัพศักดิ์สิทธิ์ 3,000 คน ตั้งขบวนอยู่ใกล้ ๆ
อู่หยุนจี๋พูดกับอสูรโลหิตด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “คนที่พวกเจ้าต้องการอยู่ในคฤหาสน์นี้ นอกจากนั้นแล้วพวกเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ลงมือกับคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง ถ้าพวกเจ้าทำร้ายผู้อื่นก็อย่าโทษว่าข้าไม่สุภาพ ในอาณาเขตทะเลชางหมาง กองทัพศักดิ์สิทธิ์ของข้าย่อมมีอำนาจเหนือกว่าพวกเจ้า”
ร่างที่เต็มไปด้วยกลิ่นโลหิตปรากฏขึ้นตรงหน้าอู่หยุนจี๋ และหัวเราะอย่างเย็นชา “แน่นอน! แต่ว่าสำหรับผู้ใดที่มันกินคนของข้า ข้าจะฆ่าพวกมันทั้งหมด เจ้าไม่สามารถต่อรองในเรื่องนี้ได้!”
“ข้าตกลง!” อู่หยุนจี๋พยักหน้า จากนั้นเขานำกองทัพศักดิ์สิทธิ์ไปประจำอยู่ด้านซ้ายของกลุ่มคน
ตามคำสั่งของเหลียงซาน เขาต้องไปที่คฤหาสน์แม่ทัพเพื่อควบคุมกองทหารส่วนตัว 5,000 คนของหลิงเจิ้งสง
ต้องรู้ว่ากองทหารส่วนตัว 5,000 คนของหลิงเจิ้งสงนั้นรู้วิธีการใช้กระบวนรบและค่ายกล ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญทั่วไปจึงไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้
หลังจากที่เหลียงซานขึ้นสู่บัลลังก์ กองทหาร 5,000 คนของหลิงเจิ้งสงก็ไม่เคยได้ออกไปต่อสู้อีกเลย ผ่านไปหลายสิบปีไม่มีใครรู้ว่ากองทหารเหล่านั้นแข็งแกร่งขึ้นมากแค่ไหนในตอนนี้
อย่างไรก็ตาม อู่หยุนจี๋ก็ไม่ได้แยแสสักเท่าไหร่
เนื่องจากเขาเป็นผู้เป็นแม่ทัพของอาณาจักรอ้าวเทียน และกองทัพของเขาก็ล้วนเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดารา แถมพวกเขายังรู้วิธีการใช้กระบวนรบและค่ายกล ภายใต้ผลของค่ายกลพวกเขาสามารถปลดปล่อยความแข็งแกร่งระดับสวรรค์ออกมาได้
ที่จุดยอดสุดของหลังคาพระราชวัง เหลียงซานจ้องมองไปยังทิศทางที่คฤหาสน์สราญรมย์ตั้งอยู่ที่โดยมีจางหมิงยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
“ฝ่าบาท เมื่อรวมความแข็งแกร่งของอสูรโลหิตเข้ากับผู้คนมากมายที่อยากชิงตัวผู้ครองสายเลือดพฤกษาสวรรค์ และสิบสองขันทีขององค์เหนือหัวของอาณาจักรอ้าวเทียน คฤหาสน์สราญรมย์จะต้องถูกถล่มจนราบเป็นหน้ากลองอย่างแน่นอน!” จางหมิงพูดอย่างมั่นใจ “และตอนนี้ทางฝั่งคฤหาสน์ตระกูลหลิง พวกเราก็ได้ส่งแม่ทัพอู่พร้อมกับกองกำลังกองทัพศักดิ์สิทธิ์ 3,000 คนของเขาไปแล้ว แต่ตระกูลจ้าวและตระกูลมี่เรายังไม่ได้ส่งใครไปจัดการ เราควรจะปล่อยพวกเขาไว้แบบนี้ก่อนดีหรือพวกเราควรจะส่งใครไปจัดการกับพวกเขาเพิ่มเติมไหมฝ่าบาท?”
เหลียงซานมองไปยังทิศทางของตระกูลมี่และตระกูลจ้าว และพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ยังไม่ต้องทำอะไรกับพวกเขาก่อน ถ้าเราสามารถกำจัดตระกูลหลิงได้ ตระกูลจ้าวและตระกูลมี่ก็จะเหมือนกับงูที่โดนตัดหัว พวกเขาจะไม่เป็นภัยคุกคามกับเราอีกต่อไป และเมื่อไม่มีตระกูลหลิงแลัว อาณาจักรของเรายังจำเป็นต้องเหลือตระกูลจ้าวกับตระกูลมี่ไว้เพื่อให้พวกเขาช่วยทำให้อาณาจักรจันทราของเรารุ่งเรืองยิ่งขึ้นในอนาคต”
ในเวลาเดียวกันกับที่พวกเขาคุยกัน ทันใดนั้นกระแสพลังวิญญาณอันรุนแรงก็ได้ปะทุขึ้น ณ ทิศทางของคฤหาสน์ตระกูลหลิง
จางหมิงที่สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่ปะทุขึ้น เขาหัวเราะและพูดว่า “ดูเหมือนว่าแม่ทัพอู่กับกองทัพศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะลงมือแล้ว!”
แม้ว่าอู่หยุนจี๋และกองทัพของเขาจะเริ่มลงมือ แต่จางหมิงก็ไม่ได้บินไปเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด จางหมิงไม่กล้าออกจากด้านข้างของเหลียงซาน เขากลัวว่าถ้าเขาไม่คอยปกป้องเหลียงซานเอาไว้ให้ดีแล้วเหลียงซานกลับถูกลอบสังหาร แผนที่พวกเขาวางไว้เพื่อกำจัดตระกูลหลิงจะศูนย์เปล่าไปทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงร่วมสังเกตสถานการณ์กับเหลียงซานเท่านั้น
แน่นอนว่ารอบ ๆ เหลียงซานไม่ได้มีแค่จางหมิงเท่านั้น แต่ยังมีขันทีและทหารอีกมากมายที่สร้างค่ายกลอยู่ พวกเขาสองคนยังคงมองไปที่คฤหาสน์แม่ทัพ เมื่อกลิ่นเลือดในอากาศรุนแรงขึ้นหลายเท่า แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตร แต่พวกเขาก็ยังคงเห็นร่างสีแดงเลือดพุ่งเข้าหาคฤหาสน์สราญรมย์ พวกเขาก็เข้าใจว่าอสูรโลหิตก็ลงมือแล้วเช่นกัน!
ย้อนกลับไปเหตุการณ์ 1 ชั่วโมงก่อนหน้าทางด้านคฤหาสน์ตระกูลหลิง
เนื่องจากหลิงเจิ้งสงถูกให้ร้ายจนกลายเป็นกบฎ ด้านนอกของคฤหาสน์เขาจึงถูกล้อมรอบไปด้วยราชองครักษ์ของจักรพรรดิที่นำมาโดยเจิ้นฟูเห่า อย่างไรก็ตามเจิ้นฟูเห่าไม่ได้สั่งให้บรรดาราชองครักษ์บุกเข้าไปในคฤหาสน์ ภารกิจของพวกเขาไม่ใช่การบุกเข้าไป แต่พวกเขาได้รับคำสั่งมาเพื่อป้องกันไม่ให้คนด้านในหลบหนี
เมื่อเห็นอู่หยุนจี๋นำกองทัพศักดิ์สิทธิ์กว่า 3,000 คนมาถึง เจิ้นฟูเห่าก็เดินไปข้างหน้าทันทีและพูดว่า “แม่ทัพอู่ ไม่มีใครหนีออกจากที่นี่พ้นแน่นอน!”
อู่หยุนจี๋พยักหน้าและโบกมือส่งสัญญาณให้ทหารของเขา คนหลายสิบเข้าโจมตีในเวลาเดียวกันไปยังกำแพงของคฤหาสน์ตระกูลหลิง ส่งผลให้กำแพงทลายลงทันที
ขณะนี้ด้านหลังกำแพง หลิงเจิ้งสงสั่งให้กองทหารส่วนตัวของตระกูลทั้ง 4,250 นายจัดกระบวนรบเตรียมพร้อม
เดิมทีหลิงเจิ้งสงคิดว่าเหลียงซานจะส่งคนมาเจรจากับเขาก่อน แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเหลียงซานไม่ได้มีเจตนาที่จะชักชวนให้เขายอมจำนนเลย หลังจากกล่าวหาให้เขาเป็นกบฎ เหลียงซานก็ส่งคนมาโจมตีเขาเอาดื้อ ๆ
ภายใต้คำสั่งของหลิงเจิ้งสง กองทหารส่วนตัวทั้ง 4,250 คนภายได้เปล่งพลังของกระบวนรบจนระดับความแข็งแกร่งของเหล่าทหารรวมกันขึ้นไปทัดเทียมกับความแข็งแกร่งของจุดสูงสุดขอบเขตนภา
กองทหารส่วนตัวของตระกูลหลิงถึงแม้จะไม่ได้ออกรบมาเป็นเวลาหลายปี แต่ด้วยการที่พวกเขาได้รับการสนับสนุนเนื้อกวางวิเศษจากหลิงตู้ฉิง ความแข็งแกร่งของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นจากแต่ก่อนเป็นอย่างมาก
อู่หยุนจี๋หัวเราะเบา ๆ “นี่คือกระบวนรบของพวกเจ้างั้นเหรอ? นี่ขนาดว่าพวกเจ้าเปิดใช้พลังของกระบวนรบแล้ว พลังของพวกเจ้าก็อยู่แค่ขอบเขตนภาเนี่ยนะ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะข้าจำเป็นต้องรีบไปยึดคฤหาสน์สราญรมย์ต่อ ข้าจะค่อย ๆ ฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดอย่างช้า ๆ!”
อู่หยุนจี๋ส่ายหัว สถานที่เล็ก ๆ แห่งนี้ แค่มีความแข็งแกร่งขอบเขตนภาก็ถือว่ามีชื่อเสียงแล้วงั้นเหรอ?
หลิงเจิ้งสงยิ้ม “เจ้าควรจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วกองทหารของข้าควรมี 5,000 นาย แต่ตอนนี้ทหารของข้าที่ยืนอยู่ให้เจ้าเห็นมีเพียงแค่ 4,250 นายที่นี่ เจ้าไม่สงสัยบ้างรึไงว่าทหารที่เหลืออีก 750 นายอยู่ที่ไหน?”
เมื่อหลิงเจิ้งสงพูดจบก็มีพลังวิญญาณที่ก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายราชสีห์โผล่ออกมาจากพื้นพุ่งเข้าหาอู่หยุนจี๋
ราชสีห์ตัวนี้คือพลังของกระบวนรบที่ถูกนำโดยหลิงเจิ้งสง และทหารของเขาอีก 150 นาย พวกเขากลายร่างเป็นราชาราชสีห์สีขาวระดับครึ่งสวรรค์และพุ่งเข้าหาอู่หยุนจี๋
และเกือบในเวลาเดียวกัน พลังวิญญาณที่ก่อร่างเป็นมังกรสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นด้านหลังอู่หยุนจี๋ มังกรสีฟ้าตัวนี้คือกระบวนรบที่ถูกนำโดยไร้เงา ซึ่งความแข็งแกร่งของมันก็อยู่ในขอบเขตครึ่งสวรรค์
ในขณะที่กระบวนรบสัตว์เทวะทั้งสองกำลังร่วมมือกันพุ่งเข้าหาอู่หยุนจี๋
ในเวลาเดียวกัน สายฟ้านับหมื่นก็ฟาดลงมาจากท้องฟ้า ซึ่งอำนาจของมันเพียงหนึ่งสายก็สามารถฆ่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราได้อย่างง่ายดาย ได้ผ่าลงมากลางกองทัพศักดิ์สิทธิ์
และทันใดนั้น กิเลน ที่ลุกเป็นไฟก็ปรากฏตัวขึ้นและมันได้ส่งคลื่นเปลวเพลิงเข้ากลืนกินกองทัพศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด
และที่สำคัญที่สุดคือใต้เท้าของกองทัพศักดิ์สิทธิ์คือตัวตุ่นสีดำสนิทที่ถูกปกคลุมด้วยชุดเกราะและรอบกายของมันเต็มไปด้วยหมอกพิษสีม่วง ทันทีที่โผล่ขึ้นจากพื้นมันก็พ่นของเหลวสีม่วงที่เป็นพิษรุนแรงออกมาใส่กองทัพศักดิ์สิทธิ์
หลิงฉุยฟงไม่กล้าที่จะประมาทกองทัพของอู่หยุนจี๋ เขาจึงทำการโจมตีด้วยกำลังทั้งหมดที่มีเข้าใส่ตั้งแต่แรกเริ่ม
สำหรับร่างที่แท้จริงของเขานั้นได้แฝงตัวอยู่ภายในกระบวนรบตุ่นปีศาจอเวจี เพื่อสังเกตทัพฝั่งตรงข้ามว่าจะตอบโต้เขามาแบบไหน
เขาไม่ได้หยิ่งยโสถึงขนาดคิดว่าทหารของตนจะสามารถทำลายกองทัพที่ถูกส่งมาโดยอาณาจักรจากนอกทวีปได้ในการโจมตีครั้งเดียว เพราะไม่ว่าจะอย่างไรกองทัพที่ดูน่าเกรงขามที่เขากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ก็น่าจะมีไม้เด็ดซ่อนอยู่แล้วจริงไหม?
และก็เป็นอย่างที่คาดไว้…
ทางด้านของอู่หยุนจี๋ตระหนักได้ทันทีว่าสถานการณ์ตอนนี้มันมีบางอย่างผิดปกติจากคำพูดเรื่องจำนวนทหารที่หลิงเจิ้งสงตะโกนเยาะเย้ยเขาเมื่อครู่ และสิ่งที่ย้ำเตือนว่าสิ่งต่าง ๆ เริ่มไม่เป็นไปด้วยดีนั่นก็คือภาพที่เขาเห็น ราชาราชสีห์ ตัวโตที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขาจากด้านหน้าและมังกรฟ้าที่โจมตีจากด้านหลัง
“กระบวนรบพวกนี้? ค่ายกลสัตว์เทวะ!?” อู่หยุนจี๋ตกใจเป็นอย่างมาก
มันเป็นไปไม่ได้ที่สัตว์เทวะตัวจริงจะปรากฏบนโลกนี้ นอกจากนี้ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตนภา เขาสามารถมองออกว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาความจริงแล้วมันคือสิ่งที่ถูกสร้างมาจากพลังรูปแบบของกระบวนรบไม่ใช่สัตว์เทวะ
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีอย่างดุเดือดของมังกรและราชาราชสีห์ อู่หยุนจี๋ก็ม้วนตัวหลบ และรอดจากการโจมตีของสัตว์เทวะทั้งสอง ซึ่งถ้าหากสัตว์เทวะที่เขาเผชิญอยู่ไม่ใช่สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังของรูปแบบกระบวนรบ แต่เป็นสัตว์เทวะตัวจริง เขาคงไม่มีวันหลบการโจมตีได้และถูกสังหารภายในพริบตา
ต่อถึงต่อให้เขาจะหลับได้ แต่กองทัพของเขาล่ะ?
“จัดกระบวนรบเดี่ยวนี้!” อู่หยุนจี๋ตะโกนขึ้นอย่างตื่นตระหนก
น่าเสียดายที่เขาออกคำสั่งช้าเกินไป ภายใต้พิษอันร้ายแรงของตุ่นปีศาจอเวจี เปลวเพลิงของกิเลน และสายฟ้าจากเต่าดำอัศนี กองทัพศักดิ์สิทธิ์ของเขาหลายสิบคนได้สิ้นชีพลงไปเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม การสูญเสียจำนวนคนไปเท่านี้และมีผู้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย มันก็ยังถือว่ากองทัพศักดิ์สิทธิ์ยังเสียหายไม่มากนัก ดังนั้นกองทัพของเขาจึงยังสามารถก่อรูปขบวนรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างของบรรดาทหารของกองทัพศักดิ์สิทธิ์เลือนหายไปและ ‘อาณาเขตสวรรค์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในความสามารถของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ก็ปรากฎขึ้นห่อหุ้มคฤหาสน์ตระกูลหลิง
ร่างของอู่หยุนจี๋โผล่ออกมาจากท้องฟ้าและพูดว่า “ค่ายกลของพวกเจ้านี่ไม่เลวเลย แต่พวกมันก็เป็นเพียงระดับครึ่งสวรรค์เท่านั้น แต่กองทัพศักดิ์สิทธิ์ของข้าสามารถสร้างค่ายกลระดับสวรรค์ได้ ด้วยพลังของพวกเจ้าเพียงเท่านี้มันไม่เพียงพอที่จะทำลายค่ายกลของข้าได้หรอก แต่เพื่อเห็นแก่ความพยายามของพวกเจ้าและค่ายกลที่แสนตระกาลตาที่พวกเจ้าใช้ ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าได้ยอมจำนน”