พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 235 มหาผนึกสะกดวิญญาณ
บทที่ 235 มหาผนึกสะกดวิญญาณ
หลิงตู้ฉิงที่เพิ่งใช้ธารกระบี่แยกสวรรค์สังหารเหล่าขันทีและอสูรโลหิตทั้งหมดไป ตอนนี้เขาได้ใช้มันอีกเป็นครั้งที่สอง
แต่การใช้ครั้งที่สองนี้เขาไม่ได้ใช้มันเพื่อสังหารทุกคนที่เหลือที่ยังรอดชีวิตอยู่ แต่เขาใช้มันกับเหรียญตราผนึกสวรรค์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
ลำแสงที่ถูกปล่อยออกจากกระบี่ได้พุ่งไปหาเหรียญตราผนึกสวรรค์ตัดการเชื่อมต่อของมันกับผู้เป็นนาย และตัดการเชื่อมโยงทั้งหมดของมันกับพลังแห่งกฎระหว่างสวรรค์และโลก และปล่อยให้มันร่วงหล่นลงมาบนพื้น
หลิงตู้ฉิงที่กำลังรออยู่แล้ว เขาโบกมือขึ้นส่งพลังวิญญาณของตัวเองดึงเหรีญตราที่กำลังจะหล่นลงถึงพื้นเข้ามาไว้ในมือตัวเอง
เขามองมันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงส่งเหรียญตรานี้ลอยไปหาเหลียงเฟ่ยเอ๋อที่ตอนนี้นางอยู่ในรถม้า
“ของสิ่งนี้ให้เจ้า” หลิงตู้ฉิงกล่าวขึ้น
“ขอบคุณ สามี!” เหลียงเฟ่ยเอ๋อรีบตอบกลับ
ในขณะนี้ กลุ่มผู้บุกรุกที่ยังหลงเหลืออยู่ในบริเวณคฤหาสน์สราญรมย์ในใจของพวกเขาเกิดความกลัวขึ้นมาอย่างสุดใจ
ในกระบี่แรก หลิงตู้ฉิงสังหารไป 24 ศพ ซึ่งแต่ละศพส่วนใหญ่นั้นคือผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตนภาแถมยังมีบางคนที่อยู่ในขอบเขตครึ่งสวรรค์แล้วด้วยซ้ำไป ฉะนั้นแล้วพวกเขาจะเอาอะไรมาต่อต้านกับตัวตนแบบนี้ได้?
และที่สำคัญที่สุด ตอนนี้เหรียญตราผนึกสวรรค์ก็ได้ถูกหลิงตู้ฉิงกำราบไปเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นความหวังของพวกเขาจึงจบลงตรงนี้แน่นอน
อ๋อแล้วอีกอย่าง ไอ้การโจมตีแบบนั้นที่หลิงตู้ฉิงใช้มันออกมา หลิงตู้ฉิงใช้มันออกมาได้ยังไงกัน?
ทุกคนต่างรู้สึกงุนงงจนหาคำอธิบายไม่ได้
แต่ไม่ว่าคำถามนี้มันจะสำคัญสักแค่ไหนก็ตาม เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการหนีก่อนเป็นอันดับแรก
แต่น่าเสียดาย ที่ในขณะที่พวกเขากำลังจะบินขึ้นออกไปจากคฤหาสน์สราญรมย์ จู่ ๆ ก็มีพลังสายหนึ่งกดทับลงมายังร่างของพวกเขาให้ร่วงลงไปติดพื้นและตรึงพวกเขาอยู่เช่นนั้นจนไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้
“ข้าไม่อนุญาตให้พวกเจ้าทุกคนออกไปไหนได้ทั้งนั้น!” หลิงตู้ฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “รอให้ข้าเสร็จเรื่องทุกอย่างเมื่อไหร่ ข้าจะมาคุยกับพวกเจ้า เรามีเรื่องต้องคุยกันหลายอย่างเชียวล่ะ!”
สำหรับหลิงตู้ฉิง การฆ่าคนเหล่านี้ทั้งหมดถือว่าเป็นเรื่องง่ายซะยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
แต่ว่าการฆ่าคนพวกนี้ไปทั้งหมดเฉย ๆ มันจะดูเป็นการเสียผลประโยชน์ไปซะมากกว่า
เนื่องจากคนเหล่านี้ส่วนใหญ่นั้นเป็นถึงบรรพบุรุษหรือไม่ก็เจ้าสำนักที่มาจากสำนักต่าง ๆ หรือแม้แต่ทายาทสายหลักของสำนักใหญ่ก็มี ด้วยตำแหน่งและฐานะของพวกเขาที่ดำรงอยู่มันจึงเป็นประโยชน์กับหลิงตู้ฉิงมากกว่าหากพวกเขายังมีชีวิต
ทันใดนั้นหลิงตู้ฉิงก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “ยังพยายามจะหนี?”
เมื่อกล่าวจบ อักขระเวทย์มากมายได้มาบรรจบในมือของหลิงตู้ฉิง ส่งผลให้ระดับการบ่มเพาะของเขาดีดขึ้นไปที่จุดสูงสุดของขอบเขตนภา จากนั้นเขาก่อรูปพลังวิญญาณขึ้นเป็นมือขนาดยักษ์ และคว้าไปดึงทั้งเฉินถิงฟางและซูอี้เว่ยที่สามารถหลุดจากการตรึงของหลิงตู้ฉิงได้และบินออกห่างจากคฤหาสน์สราญรมย์ไปแล้วกว่า 8 กิโลเมตรให้กลับมาที่ลานของคฤหาสน์ และตรึงพวกนางอีกทีด้วยอักขระเวทย์ที่แน่นหนากว่าเดิม
เมื่อตอนที่หลิงตู้ฉิงได้ใช้ธารกระบี่แยกสวรรค์สังหารเหล่าขันทีและอสูรโลหิตไป 24 ชีวิต เฉินถิงฟางที่กำลังควบคุมเหรียญตราผนึกสวรรค์อยู่ด้านนอกคฤหาสน์รู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์ของฝั่งนางดูไม่ดีแล้วแน่นอน
นางจึงพยายามควบคุมเหรียญตราผนึกสวรรค์ให้บินกลับมาที่นาง เนื่องจากนางรู้แล้วว่าตอนนี้นางได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ นางได้มายั่วยุคนที่แม้แต่ภายใต้อำนาจการผนึกของเหรีญตราผนึกสวรรค์ก็ไม่อาจทำอะไรได้ และยังสังหารผู้ที่อยู่ขอบเขตครึ่งสวรรค์ได้เหมือนฆ่าไก่ฆ่าสุนัข
นางไม่สามารถต่อต้านตัวตนที่น่ากลัวเช่นนี้ได้!
แต่น่าเสียดาย กว่าที่นางจะรู้ตัวมันก็สายเกินไปเสียแล้ว
พลังของกระบี่ได้พุ่งเข้าไปตัดการเชื่อมโยงของนางกับเหรียญตราผนึกสวรรค์ และหลิงตู้ฉิงก็ได้ชิงมันไปเรียบร้อย
“เหรียญตราของข้า!” เฉินถิงฟางตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
เหรียญตรานั่นเป็นสมบัติสำคัญของตระกูลนาง ต่อให้นางจะเป็นทายาทสายหลัก แต่การที่นางสูญเสียมันไปแบบนี้เมื่อกลับไปภึงตระกูลนางก็ยังต้องถูกลงโทษอยู่ดี
“ท่านหญิง หนีเร็ว!” ซูอี้เว่ยที่อยู่ข้าง ๆ นางตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกทันที โดยที่ไม่ได้สนใจกับเหรียญตราผนึกสวรรค์ที่เพิ่งถูกช่วงชิงไปแม้แต่น้อย
ด้วยความคิดของนางที่ตราบใดที่พวกนางสามารถหนีรอดไปได้ ในอนาคตพวกนางก็ยังมีโอกาสมาเจรจาขอมันคืนได้
หลังจากสิ้นเสียงตะโกน ซูอี้เว่ยไม่สนใจสถานะทายาทสายหลักของเฉินถิงฟางอีกต่อไป ซูอี้เว่ยคว้าคอเสื้อของเฉินถิงฟาง และรีบพานางหนีออกไปทันที
แต่น่าเสียดาย เมื่อพวกนางบินหนีไปได้แค่ 8 กิโลเมตร พวกนางก็รู้สึกได้ว่ามีมือขนาดยักษ์ ผนึกร่างของพวกนางไว้จนกระดุกกระดิกไม่ได้
“มหาผนึกสะกดวิญญาณ!” ซูอี้เว่ยตะโกนร้องด้วยความตื่นตะลึง นางที่รู้จักวิชานี้จึงเข้าใจได้ทันทีว่านางไม่มีทางหนีรอดได้แน่นอน
แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่นางข้องใจ วิชาระดับเลิศภพจบแดนนี้มันมาปรากฎที่ที่กันดารเช่นนี้ได้ยังไง?
“ท่านผู้อาวุโส พวกเราไม่ทราบถึงตัวตนของท่านจริง ๆ และพวกเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะลบหลู่ท่าน” ซูอี้เว่ยตะโกนไปยังหลิงตู้ฉิง “เห็นแก่พวกเราที่เป็นศิษย์ของสำนักยอดเขาหยกจักรพรรดิด้วยเถอะ ได้โปรดละเว้นพวกเราสักครั้ง!”
“คนจากสำนักยอดเขาหยกจักรพรรดิเองงั้นเหรอ? ข้าก็ยังสงสัยอยู่ว่าเหรียญตราผนึกสวรรค์นี่มาจากที่ไหน ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” หลิงตู้ฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ใช่ พวกข้าทั้งสองเป็นคนของตระกูลเฉินแห่งสำนักยอดเขาหยกจักรพรรดิ ถ้าหากเจ้ารู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ เจ้าก็จงปล่อยพวกเราเดี๋ยวนี้และคืนเหรียญตรานั่นมาให้ข้าด้วยไม่เช่นนั้น…” เฉินถิงฟางตะโดนสวนขึ้น
หลิงตู้ฉิงเอียงคอมองคนทั้งสองด้วยแววตาดูถูก “ตระกูลเฉิน? ตระกูลเฉินแล้วมันยังไง? ต่อให้เฉินหยูทงมาที่นี่ด้วยตัวเอง แล้วมันรู้ว่าข้าเป็นใคร แค่หายใจแรงต่อหน้าข้ามันยังไม่กล้าเลยด้วยซ้ำพวกเจ้าเชื่อรึเปล่า?”
“เฉินหยูทง?” เฉินถิงฟางและซูอี้เว่ย ใบหน้าพวกนางเปลี่ยนสีทันทีเมื่อได้ยินชื่อนี้
พวกนางต่างก้มหน้าก้มตาไม่กล้าพูดอะไรต่อสักคำ ในแววตาของพวกนางตอนนี้มีแต่ความหวาดกลัว
ถึงแม้คนอื่นจะไม่รู้จักชื่อนี้ แต่พวกนางรู้จักเป็นอย่างดีว่า เฉินหยูทง คือบรรพบุรุษผู้คอยค้ำจุนตระกูลของพวกนางตั้งแต่ยุคเก่าก่อน ซึ่งมีข่าวลือว่าเขาได้ล่วงลับไปตั้งนานแล้ว แต่ข่าวลือนี้ก็ยังไม่มีใครยืนยันได้เช่นกันว่าเขาตายไปแล้วจริง ๆ หรือเปล่า
บรรพบุรุษของพวกนางผู้นี้ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเมื่อหลายหมื่นปีก่อนและก็ไม่เคยปรากฏตัวออกมาเป็นเวลานานมาก ๆ แล้ว ย่อมมีคนไม่มากนักที่จะรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเขา
แต่ตอนนี้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกนาง กลับรู้จักชื่อของบรรพบุรุษพวกนาง และถ้าหากตัดสินจากน้ำเสียงของชายผู้นี้ที่พูดถึงบรรพบุรุษของพวกนาง มันก็ดูเหมือนเขานั้นไม่ได้แยแสกับตระกูลของนางอะไรสักเท่าไหร่เลย
ชายผู้นี้เป็นใครกันแน่?
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปยังเฉินถิงฟางอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาหันสายตากลับมามองกระบี่ที่อยู่ในมือของเขา ซึ่งมีรอยร้าวปรากฎขึ้นบ้างแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนี้หลิงตู้ฉิงก็ถอนหายใจ เขารู้ได้ทันทีว่ากระบี่เล่มนี้จะทนกับเพลงกระบี่ที่เขาใช้ได้อีกเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
มันน่าเสียดายที่เขาอุตส่าห์นั่งหลอมมันอยู่ตั้งหลายวันแถมเหล็กที่เขาใช้เพื่อสร้างมันยังเป็นเหล็กทมิฬที่ได้มาจากเผ่าอสูรทมิฬ แต่มันกลับยังไม่สามารถทนเจตจำนงกระบี่ของเขาได้
หลิงตู้ฉิงเก็บกระบี่กลับเข้าไปในแหวนมิติ และมองไปยังคฤหาสน์ตระกูลจ้าวและพูดว่า “กงหนิว พาข้าไปที่ตระกูลจ้าว!”
“รับทราบนายท่าน!” กล่าวจบ กงหนิวจึงพุ่งออกมาจากรถม้าและเชื่อมตัวของเขากับตัวรถม้าและเตรียมที่จะลากรถออกไปยังทิศทางของคฤหาสน์ตระกูลจ้าวทันที
“นายท่าน แล้วพวกเราจำเป็นต้องทิ้งคนไว้ป้องกันที่คฤหาสน์สราญรมย์ไหม?” โม่หยูถังรีบถามขึ้นในขณะที่กงหนิวกำลังจะออกตัว
โม่หยูถังรู้เป็นอย่างดีว่าที่ตระกูลจ้าวในตอนนี้กำลังถูกผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์โจมตีอยู่ เขาจึงอยากที่จะไปดูให้เห็นกับตาว่าหลิงตู้ฉิงจะมีวิธีการอย่างไรในการจัดการกับผู้เชี่ยวชาญผู้นั้น
แต่ถึงแม้เขาจะอยากรู้อยากเห็นสักแค่ไหน เขาก็ยังกังวลว่าถ้าหากไม่มีใครอยู่เฝ้าเหล่าผู้บุกรุกเข้ามาในคฤหาสน์สราญรมย์เอาไว้ คนพวกนี้อาจจะหนีออกไปได้
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ไม่จำเป็น ด้วยความสามารถของพวกเขา มันต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 10 ปีถึงจะสามารถหลุดจากพันธนาการของข้าได้ หรือต่อให้มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์มาช่วยพวกเขามันก็ค้องใช้เวลาอย่างต่ำครึ่งวัน”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอไปที่คฤหาสน์ตระกูลจ้าวกับนายท่านด้วยก็แล้วกัน” โม่หยูถังรีบพูดขึ้น
จากนั้นโม่หยูถังก็รับบินตามรถม้าที่ออกตัวไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซือโถวเหวินหยวนเองก็บินติดตามไปด้วย