พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 353 วิญญาณปีศาจเคลื่อนไหว
หลังจากงานประมูลตอนนี้เวลาได้ผ่านไป 2 เดือนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งวันนี้ก็คือวันที่กล้วยไม้หยกจะเบ่งบานขึ้น
ในบริเวณรอบสระหยูหลันในตอนนี้จึงคราคร่ำไปด้วยผู้คนจำนวนมากที่มาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อรอการเบ่งบานของกล้วยไม้หยกในตอนเที่ยงคืน ซึ่งเป็นเวลาที่ท้องฟ้าและโลกมืดที่สุด
อู่จิ๋วมาที่เรือนของหลิงตู้ฉิงอีกครั้ง เพื่อให้หลิงตู้ฉิงได้คุยกับลั่วหยุนผ่านห้วงความฝันของเขา
“เราจะลงมือคืนนี้ท่านพร้อมหรือยัง” ลั่วหยุนถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ข้าได้จัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเหล่าผู้หญิงจากหุบเขาบุปผาอนันต์”
“สำหรับพวกนางข้าได้ให้พวกนางเข้าไปรออยู่ในเขตแดนมหาค่ายกลของข้าแล้ว” ลั่วหยุนหัวเราะ “ถ้าท่านต้องการ ข้าสามารถพาพวกนางไปหาท่านได้เลย”
“ยังไม่ต้องรีบร้อน” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ถ้าเจ้าเคลื่อนไหวเร็วเกินไปมันจะดึงดูดความสนใจของทุกคน แต่เจ้าจะช้าเกินไปไม่ได้เช่นกัน มิฉะนั้นถ้าวิญญาณปีศาจหนีไปได้ ทุกอย่างมันจะกลายเป็นยุ่งยากมากขึ้น”
ลั่วหยุนพยักหน้าช้า ๆ และพูดว่า “งั้นข้าจะเคลื่อนเขตแดนมหาค่ายกลมาที่นี่ในตอนที่วิญญาณปีศาจเริ่มเคลื่อนไหว แต่ท่านต้องระวังเอาไว้ให้ดี ถึงแม้ว่าข้าจะจัดวางค่ายกลครอบคลุมบริเวณเมืองทั้งเมืองไว้ก็ตาม แต่ถ้าหากมันทำลายผนึกที่ประทับอยู่บนร่างของมันได้และออกมาจากสระหยูหลันแล้ว ค่ายกลของเมืองนี้ก็ใช่ว่าจะกักตัวมันได้อยู่เป็นเวลานาน”
หลังจากพูดจบ อู่จิ๋วก็จากไปพร้อมกับเศษเสี้ยวจิตวิญญาณของลั่วหยุน
ทางด้านของหลิงตู้ฉิงก็รวบรวมคนของเขาเพื่อรอให้คืนนี้มาถึง
และในที่สุดอีกไม่นานเวลาเที่ยงคืนที่ทุกคนรอคอยก็จะมาถึง…
บรรยากาศในตอนนี้ช่างแตกต่างจากตอนช่วงกลางวันที่มีแสงแดดอันแรงกล้าสาดส่องลงมาผ่านท้องฟ้าอันปลอดโปร่ง แต่แล้วเมื่อถึงเวลานี้ที่ใกล้จะถึงเที่ยงคืน จู่ ๆ แสงจันทร์ที่ฉายลงมายังเมืองหยูหลันก็ดับมืดลง มันมืดจนถึงขนาดที่เหล่าผู้คนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้แสงเทียนนั้นแทบจะมองไม่เห็นแม้กระทั่งนิ้วมือของพวกเขาเอง และนอกจากความมืดมิดอันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นแล้ว สายลมอันหนาวเหน็บก็เริ่มพัดกระโชกแรงผ่านร่างกายของเหล่าผู้คนจนแทบจะทำให้หนังศีรษะชา
“ท่านอาจารย์ ทำไมรอบนี้มันถึงดูแตกต่างจากในอดีตนัก?” ศิษย์คนหนึ่งถามเสียงเบา
“อืม นี่มันอาจจะเป็นไปได้ว่าคราวนี้ดอกกล้วยไม้หยกน่าจะมีความพิเศษมากขึ้นกว่าเดิมก็เป็นไปได้” อาจารย์ของชายหนุ่มผู้นั้นตอบกลับ
นอกเหนือจากคนของสำนักต่าง ๆ ที่มาที่นี่แล้ว ยังมีพวกผู้เชี่ยวชาญไร้สังกัดอยู่เป็นจำนวนมากที่มาเสี่ยงดวง
ภายใต้สภานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ หลายคนที่เคยได้ยินเพียงตำนานของกล้วยไม้หยกและยังไม่เคยเห็นมันมาก่อน เมื่อเผชิญกับความผิดปกติเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากและคิดแค่เพียงว่านี่มันอาจจะเป็นสถานการณ์ปกติเมื่อเช่นรอบก่อนหน้านี้
“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!” ผู้อาวุโสบางคนขมวดคิ้วและพูดขึ้น “ปรากฎการณ์เช่นนี้มันดูไม่เหมือนกับการปรากฎของสิ่งวิเศษแม้แต่น้อย แต่มันเหมือนกับปรากฎการณ์ที่สิ่งมีชีวิตชั่วร้ายจะปรากฎตัวขึ้นไม่มีผิด”
“ถ้าอย่างนั้นเราควรรอให้กล้วยไม้หยกบานอีกไหม?”
“เราจะรอให้กล้วยไม้หยกบาน แต่จะดีกว่าถ้าเราถอยออกมาสักหน่อย! ระดับการบ่มเพาะสูงสุดของสำนักของเราคือระดับนักบุญเท่านั้น หากเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้นมาพวกเราคงจะเอาตัวรอดลำบากถ้าหากยังอยู่พื้นที่ใกล้กับจุดศูนย์กลางเช่นนี้ ส่วนกล้วยไม้หยกนั่นการจะชิงมันมาครอบครองมันเป็นเรื่องของโชคมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว หากเราโชคดีจริงต่อให้เราถอยไปหน่อยเราก็มีโอกาสได้ครอบครองมันอยู่ดี”
“ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้ยินมาว่าเวลานี้ สำนักอักขระวิญญาณและอารามนวดารา ได้ระดมผู้คนมาที่นี่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแม้แต่อารามนภากระจ่างของดินแดนอื่นก็มาเช่นกัน สำนักเหล่านี้ล้วนมีความแข็งแกร่งมากกว่าพวกเรา หากเราถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพวกเขา และเรายังคงอยู่ใกล้แถวนี้เราอาจจะถูกทำลายได้อย่างรวดเร็ว”
“…”
เมื่อได้ยินผู้อาวุโสของพวกเขาพูดจบ บรรดาศิษย์ทั้งหมดของสำนักนั้นก็ออกจากบริเวรที่อยู่ใกล้กับสระหยูหลันทันทีโดยที่ยังมีความปรารถนาในใจต่อกล้วยไม้หยก
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เหล่าสำนักเล็ก ๆ บางสำนักที่รู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้มันดูทะแม่ง ๆ พวกเขาบางส่วนก็ออกจากพื้นที่ใกล้สระตามกันไป ซึ่งผู้คนส่วนที่เหลือต่างก็เข้าไปเติมเต็มพื้นที่ที่ว่างทันทีเช่นกัน
แต่เมื่อเทียบกับความคิดต่าง ๆ ของผู้คนจากสำนักเล็กหรือบรรดาผู้เชี่ยวชาญไร้สังกัด เหล่าสำนักใหญ่นั้นยังคงสงบไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ
“คืนนี้มีบางอย่างผิดปกติ ทุกคนจงเตรียมพร้อม!” เทียนหยูเฮงพูดกับเหล่าคนของเขา
“ท่านลุง ที่เมืองหยูหลันนี่มันมีปัญหาซ่อนอยู่ใช่ไหม?” เทียนเก๋อถาม
เทียนหยูเฮงหัวเราะเสียงเบา “มันไม่ใช่เรื่องปกติที่หอการค้าเชื่อมสวรรค์จะปรากฏที่นี่และการจัดวางผังเมืองของเมืองหยูหลันก็ดูผิดปกติเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นบนท้องฟ้าของวันนี้มันดูมืดมิดจนเกินไป นี่ยิ่งทำให้ทุกอย่างมันดูผิดปกติเข้าไปใหญ่”
“ข้าจำได้ลาง ๆ ว่าที่สำนักของเราเองก็มีข้อมูลบันทึกไว้ว่ามีบางอย่างถูกผนึกอยู่ภายใต้เมืองหยูหลัน ฉะนั้นเมื่อมองจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ มันดูเหมือนว่าบางสิ่งที่ถูกผนึกไว้กำลังใช้โอกาสนี้ก่อความวุ่นวาย”
“ถ้าหอการค้าเชื่อมสวรรค์ผนึกบางสิ่งไว้ที่นี่จริง ๆ ถ้างั้นเราควรถอยออกไปดูสถานการณ์อยู่ด้านนอกชั่วคราวก่อนดีไหม?” เทียนเจียนเสนอขึ้น
ก่อนที่เทียนหยูเฮงจะได้ตอบอะไร เทียนเก๋อยิ้มอย่างมั่นใจและตอบว่า “ศิษย์พี่เจียน ท่านไม่ต้องกังวลไปหรอกไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม มันไม่มีทางเทียบได้กับพวกเราสันเขาทรราชได้แน่นอน”
เทียนหยูเฮงยิ้มและไม่ได้แสดงความคิดเห็นกับคำพูดของเทียนเก๋อ อย่างไรก็ตามรอยยิ้มอันน่าภาคภูมิใจบนใบหน้าของเทียนหยูเฮงแสดงให้เห็นว่าเขาเห็นด้วยกับคำพูดของเทียนเก๋อ
เช่นเดียวกับสันเขาทรราช ตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์และขุมกำลังอื่น ๆ อีกหลายกลุ่มก็คุยกันเกี่ยวกับสถานการณ์ในคืนนี้
มีเพียงปิงเจิ้งซูจากตำหนักเทพเหมันต์ที่ถามลั่วหยุน “ผู้อาวุโสลั่ว ท่านต้องการความช่วยเหลือจากเราหรือไม่?”
ลั่วหยุนส่ายหัว “เจ้าช่วยข้าได้ไม่มากนักหรอก พลังที่เยือกแข็งของพวกเจ้าทำได้แค่เพียงทำให้ผนึกมันอ่อนแอลงเพียงเท่านั้น แต่ถ้าพวกเจ้าจะช่วยจริง ๆ เมื่อถึงเวลาพวกเจ้าก็ลองช่วยทำลายผนึกด้วยก็ดี และจากนั้นพวกเจ้าจงช่วยพวกข้าจัดการกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญฝั่งศัตรูที่จะเข้ามาโจมตีพวกข้า และเมื่อเสร็จเรื่องนี้ ข้ารับประกันว่าพวกเจ้าจะมีส่วนแบ่งในผลประโยชน์ครั้งนี้แน่นอน”
ในตอนแรก ลั่วหยุนก็ไม่ได้มีความคิดจะให้ตำหนักเทพเหมันต์มาช่วยแต่อย่างใด แต่แล้วเขาก็คิดได้ว่าถ้าหากเขาให้ตำหนักเทพเหมันต์ช่วยทำลายผนึกให้แตกเร็วขึ้นไปอีกและให้พวกเขาช่วยจัดการกับเหล่าพวกลิ่วล้อของฝั่งตรงข้าม งานของเขากับหลิงตู้ฉิงมันน่าจะง่ายขึ้นไปอีกระดับ
“ผู้อาวุโสต้องการปล่อยสิ่งนั้นออกมางั้นเหรอ?” ปิงเจิ้งซูพูดด้วยสีหน้าตกใจ “มันไม่ใช่ว่าถ้าเราปล่อยมันออกมา มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ไม่ใช่งั้นเหรอ?”
ตำหนักเทพเหมันต์มีความสนิทสนมและเป็นที่ไว้วางใจของลั่วหยุน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใต้ ดังนั้นปิงเจิ้งซูจึงประหลาดใจมากกับการตัดสินใจของลั่วหยุน
ลั่วหยุนพูดตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “หลังจากผนึกมันมาหลายปี ข้าคิดว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่ข้าจะต้องยุติเรื่องนี้ ถ้าเจ้าต้องการช่วยก็ทำตามที่ข้าบอก แต่ถ้าเจ้าไม่ต้องการเจ้าก็จงอยู่เฉย ๆ และคอยดูเท่านั้นก็พอ”
เมื่อได้ยินคำเตือนของลั่วหยุน ปิงเจิ้งซูก็พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
เขาไม่รู้ว่าลั่วหยุนกำลังจะทำอะไร แต่ในเมื่อผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันกำลังจะเคลื่อนไหว เขาเองก็จะช่วยถ้าหากมันไม่เกินความสามารถของพวกเขามากเกินไป ซึ่งเขาคำนวณไว้แล้วต่อให้พวกเขาจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ แต่การที่พวกเขาได้สร้างความดีความชอบให้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันมันก็นับว่าคุ้มค่า
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกัน เวลาเที่ยงคืนก็ได้มาถึง ซึ่งทันใดนั้นเมืองเมืองหยูหลันทั้งเมืองก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและมีเสียงระเบิดดังขึ้นราวกับมีสายฟ้าฟาดลงมาจากท้องฟ้า
ลั่วหยุนมองไปยังทิศทางต้นเสียงและพูดกับปิงเจิ้งซู “ถ้าเจ้าต้องการจะช่วย เจ้าก็จงไปที่สระหยูหลัน และใช้พลังเยือกแข็งของเจ้าทำให้พลังของผนึกอ่อนลง”
“ข้าจะไปทันที!” ปิงเจิ้งซูลุกขึ้นยืนและบินไปยังสระหยูหลันทันที