พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 402 พบกับศิษย์สำนักเก้าเทพอสูร[ฟรี]
ขณะนี้หลิงเทียนหยุน อี้ลั่วเอ๋อและหวงเซียะได้รออยู่ข้างนอกดาวจันทราเป็นเวลาเกือบ 1 ปีก่อนที่หลิงตู้ฉิงจะออกมา
ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่พวกเขาทั้งสามได้เฝ้าระวังพื้นที่ด้านนอกของดาวจันทรามานานกว่า 1 ปี มันก็ได้ดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้คนที่ผ่านมาเห็น
อย่างไรก็ตาม ด้วยระดับการบ่มเพาะของหวงเซียะที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 14 ประกอบกับที่นางเป็นคนดัง แถมยังมีภูตนางฟ้าที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 13 ดังนั้นมันจึงไม่มีใครกล้าเข้ามาหาเรื่องกับพวกเขา
และด้วยเหตุผลอีกอย่างคือ ผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในโลกขอบเขตรวมแสงดารานั้น เป้าหมายหลักของทุกคนคือการไล่ตามหาโชคและค้นหาโอกาสต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายบนดาวแต่ละดวง
หากไม่ใช่เพื่อการแข่งขันก็ไม่มีใครยอมสละเวลาเพื่อต่อสู้กัน
นอกเสียจากว่าจะมีความบาดหมางฝังลึกกันมานานจากโลกภายนอกก่อนที่จะเข้ามาในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับแล้ว มันก็ไม่มีใครอยากจะพัวพันเสียเวลาไปกับการสู้รบกันสักเท่าไหร่
แต่แน่นอนว่ามันก็ยังมีบางคนที่เข้ามาทักทายพวกเขา แถมยังเชิญหวงเซียะและอี้ลั่วเอ๋อให้เข้าร่วมกลุ่มเพื่อออกไปตามหาโชคต่าง ๆ กับพวกเขา แต่เนื่องจากพวกนางกำลังรอหลิงตู้ฉิงอยู่ พวกนางทั้งคู่จึงปฏิเสธคนเหล่านั้นไปทั้งหมด
และในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปเกือบ 1 ปี หลิงตู้ฉิงก็ออกมา ซึ่งมันทำให้หวงเซียะดูมีความสุขมาก
เนื่องจากตั้งแต่ที่นางเข้ามาในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับนางก็มีโอกาสแค่ได้ฝึกฝนบนดาวสุริยะเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่เจอกับหลิงตู้ฉิงเพียงเท่านั้น ซึ่งหลังจากนั้นนางก็ยังไม่มีโอกาสได้ฝึกอะไรต่อเลย
และในตอนนี้ที่หลิงตู้ฉิงได้ออกมาแล้ว เขาก็ควรจะพานางไปที่ที่เหมาะสมกับนางใช่ไหม?
“ไปต่อที่ดาวอเวจี!” หลิงตู้ฉิงพูด
เนื่องจากทุกคนเข้าใจดีว่าหลิงตู้ฉิง คือคนที่รู้เกี่ยวกับเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับดีที่สุด พวกเขาทุกคนจึงไม่มีใครคิดจะถามอะไรเกี่ยวกับคำสั่งของเขา
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งสามก็ติดตามหลิงตู้ฉิงมาจนถึงดาวที่เป็นจุดหมาย
“นี่คือดาวอเวจีงั้นเหรอ ทำไมมันถึงเล็กได้ขนาดนี้?” หวงเซียะอดไม่ได้ที่จะถาม
ดาวอเวจีที่อยู่ข้างหน้ามีขนาดเล็กมาก ดาวทั้งดวงมีความกว้างเพียง 10 ถึง 15 เมตร ซึ่งถ้าเทียบกับดาวดวงต่าง ๆ ในโลกขอบเขตรวมแสงดารามันก็ถือว่าเป็นดาวที่ค่อนข้างเล็กมาก
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดขึ้นว่า “อย่าดูถูกเพราะมันเล็ก สาเหตุที่มันเล็กมากเพราะคนธรรมดาไม่สามารถเข้าใจได้ เอาล่ะเข้าไปกันเถอะ!”
จากนั้นทุกคนก็ค่อย ๆ บินเข้าไป แต่เมื่อพวกเขายิ่งบินเข้าไปใกล้กับดาวดวงนี้มากเท่าไหร่พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าในใจของพวกเขาหนาวเหน็บขึ้นมากเท่านั้น
ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขารู้สึกราวกับว่าวิญญาณของพวกเขากำลังจะบินออกจากร่าง
“ข้ากำลังจะเสียการควบคุมดวงวิญญาณที่แท้จริงของข้า…” หวงเซียะมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าหม่นหมองขณะที่นางพูด
“งั้นเจ้าจงไปรออยู่ข้างนอกก่อน ข้าจะกลับออกไปในเวลาไม่นาน” เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็ใช้มือผลักร่างของหวงเซียะให้ถอยกลับออกไปให้พ้นเขตของดาวอเวจี
ส่งผลให้นางล่องลอยออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ แต่นางก็รู้สึกได้ว่าอาการของนางเองก็เริ่มจะดีขึ้นจากระยะที่นางยิ่งลอยห่างออกจากดาวอเวจี
สำหรับหลิงเทียนหยุนและอี้ลั่วเอ๋อ เนื่องจากในร่างของพวกเขามีพลังที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับดาวดวงนี้ พวกเขาจึงไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นกับตัวของพวกเขา ในทางกลับกันพวกเขากลับรู้สึกคุ้นเคยกับมันอีกต่างหาก
“ท่านพ่อ ข้ารู้สึกได้ว่าที่นี่มันเหมือนมีร่องรอยของพลังของเก้าเทพอสูรอยู่ข้างใน” หลิงเทียนหยุนพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าสงสัย
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ถึงแม้ว่าพวกเขาจะฝึกฝนคัมภีร์เก้าเทพอสูร แต่สุดท้ายแล้วเส้นทางการบ่มเพาะของพวกเขาก็ไม่ใช่มหาวิถีแห่งอเวจี มันเป็นเพียงแค่พลังของพวกเขามาจากแหล่งเดียวกันแต่มันก็เป็นคนละวิถีกัน”
“ลั่วเอ๋อ ผีเสื้อยมโลกเริงระบำของเจ้าคือวิถีแห่งอเวจีที่แท้จริง ในสถานที่แห่งนี้จะช่วยให้เจ้าได้เข้าใจ ผีเสื้อยมโลกเริงระบำ ได้ง่ายมากขึ้น จงอย่าพยายามฝืนบรรลุระดับที่ 14 หากเจ้าไม่สามารถทำได้ จงจำไว้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของเจ้าคือการที่เจ้าต้องบรรลุผีเสื้อยมโลกเริงระบำให้ได้เท่านั้นก็พอ”
“นายท่าน ข้าเข้าใจแล้ว!” อี้ลั่วเอ๋อพยักหน้า
เมื่อพวกเขาทั้งสามคุยกันจบ พวกเขาทั้งสามคนก็ได้เหยียบลงบนพื้นผิวดาวแล้ว แต่ทันใดนั้นเองก็มีคนตะโกนขึ้นว่า “พวกเจ้าเป็นใคร? ไม่รู้เหรอไงว่าสถานที่แห่งนี้ถูกครอบครองโดยสำนักเก้าเทพอสูรของเราแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงผู้คนจากสำนักเก้าเทพอสูร หลิงเทียนหยุนก็หันหน้าไปมองที่หลิงตู้ฉิงทันทีพลางนึกสงสัยใจใน พ่อของเขาน่าจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสำนักเก้าเทพอสูรใช่ไหม?
ในเวลานี้มีคนสองคนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหลิงตู้ฉิงแล้ว ทั้งสองคนนี้มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขอบเขตรวมแสงดาราระดับ 13
และเนื่องจากดาวดวงนี้มีขนาดเล็กมาก หากมีใครล่วงล้ำเข้ามา มันคงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ที่ครอบครองอยู่ก่อนแล้วจะไม่รู้ถึงการมาของผู้มาเยือนหน้าใหม่
ซึ่งแน่นอนว่าในตอนที่เข้ามา หลิงตู้ฉิงและคนของเขาก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของคนจากสำนักเก้าเทพอสูรเช่นกัน
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “พวกเจ้าที่เป็นคนของสำนักเก้าเทพอสูรไม่ควรมาที่นี่ เห็นแก่ความสัมพันธ์ของข้ากับสำนักของพวกเจ้า ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้และไปหาดาวดวงอื่นที่เหมาะสมกว่าเพื่อฝึกฝน”
ศิษย์จากสำนักเก้าเทพอสูรทั้งสองที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับเขา พูดขึ้นด้วยสีหน้าโกรธเคืองว่า “พวกเราลำบากมามากกว่าจะค้นหาดาวอเวจีดวงนี้เจอ แต่เจ้ากลับต้องการที่จะแย่งมันไปอย่างหน้าด้าน ๆ แบบนี้น่ะนะ? เจ้าคิดว่าพวกข้ากลัวพวกเจ้าเหรอไง? พวกเจ้าทุกคนจงรีบไสหัวไปจากดาวของพวกข้าซะ ไม่อย่างนั้นพวกข้าจะทำให้พวกเจ้าทุกคนต้องเสียใจ!”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เฮ้อ ในเมื่อเจ้าไม่ยอมฟังข้า ดังนั้นก็อย่าโทษว่าข้าหยาบคาย”
หลังจากพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็วาดอักขระบางอย่างลงบนดาวดวงนี้และทันใดนั้นก็มีแรงผลักอย่างรุนแรงกระทำต่อคนจากสำนักเก้าเทพอสูรทั้งสองคนทันที จนพวกเขาถูกดีดกระเด็นพุ่งออกไปจากดาว
ทั้งสองคนสำนักเก้าเทพอสูรที่กระเด็นลอยออกไปจากดาวต่างมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าตกตะลึง แต่แล้วเมื่อพวกเขาครุ่นคิดอยู่สักพักว่าพวกเขาคงไม่สามารถต่อกรด้วยได้ พวกเขาจึงจากไปด้วยสีหน้าที่มืดหม่น
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือมันเป็นเพราะโม่หยูถังที่อยู่กับหลิงตู้ฉิงมานาน มันจึงทำให้หลิงตู้ฉิงยัดเยียดให้พวกเขาไปหาดาวดวงอื่นที่เหมาะสมกว่า
หลังจากขับไล่คนของสำนักเก้าเทพอสูรออกไปแล้ว หลิงตู้ฉิงก็พูดกับอี้ลั่วเอ๋อ “เจ้าจงอยู่ที่นี่และตั้งใจบ่มเพาะ ข้าจะสร้างม่านพลังเพื่อปกป้องเจ้าจากด้านนอก มันจะทำให้ไม่มีใครสามารถเข้ามารบกวนเจ้าได้”
หลังจากนั้นเขาก็ใช้เวลาครึ่งวันบนดาวดวงนี้ และหลิงตู้ฉิงก็ได้นำส่วนหนึ่งของพลังของดาวดวงนี้ตบมันเข้าไปในร่างของหลิงเทียนหยุน
“พลังของดาวอเวจีนี้จะทำให้ร่างกายของเจ้าแข็งแกร่งขึ้น นอกจากนี้ที่เจ้าเคยฝึกฝนคัมภีร์เก้าเทพอสูรมาก่อน ดังนั้นมันจะทำให้เจ้าได้รับประโยชน์บางอย่าง!” หลิงตูฉิงอธิบาย
จากนั้นเขาก็ดึงหลิงเทียนหยุนกลับออกไปด้านนอกไปหาหวงเซียะ
หวงเซียะมองลงไปที่ดาวอเวจีและถามขึ้นด้วยความงงงวย “ท่านบรรพบุรุษ ทำไมท่านถึงไม่พานางไปที่ดาวพฤกษา? ตามเอกลักษณ์ของพวกภูตนางฟ้าแล้วพวกเขาไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพืชและต้นไม้งั้นเหรอ? แถมดาวพฤกษาที่ข้าเคยพบนั้นมันก็ใหญ่กว่าดาวอเวจีมาก”
“ขนาดของดวงดาวไม่ได้เป็นสิ่งชี้วัดว่าดาวดวงนั้นจะดีกว่า แต่มันคือการเลือกดาวที่เหมาะสมกับเส้นทางการบ่มเพาะของตัวเองต่างหากที่สำคัญที่สุด” หลิงตู้ฉิงอธิบาย “นอกจากนี้ข้าไม่ได้เป็นบรรพบุรุษของเจ้า ดังนั้นอย่าเรียกข้าแบบนั้นอีก”
หวงเซียะมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตางุนงง และถามว่า “ถ้าท่านไม่ใช่บรรพบุรุษของเราแล้วทำไมท่านถึงสามารถใช้คาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์ของเราได้?”
“แล้วคาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้า คนอื่นฝึกมันไม่ได้งั้นเหรอ?” หลิงตูฉิงชำเลืองมองไปที่หวงเซียะและพูดต่อ “เอาล่ะในเมื่อเจ้ายอมเปลี่ยนชื่อแล้ว ข้าจะชดเชยให้กับเจ้าสักเล็กน้อย!”
“เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปดาวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับวิถีการบ่มเพาะของผู้คนในภูเขาฟีนิกซ์ ซึ่งมันไม่ใช่ดาวสุริยะที่เจ้าเลือกไว้ตั้งแต่แรก ดาวสุริยะสามารถปรับแต่งเปลวเพลิงของเจ้าให้เป็นเพลิงมหาสุริยะบรรพกาลได้เพียงเท่านั้น ซึ่งมันไม่ใช่เพลิงที่เหมาะสมกับเจ้า ในแง่ของพลังแห่งเพลิง เพลิงมหาสุริยะบรรพกาล นั้นแข็งแกร่งกว่าอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามมันยังขาดกลิ่นอายของการกำเนิดใหม่”