พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 450 ความสงสัยของสองพี่น้องตระกูลสี
เมื่อได้รับรายงานของจูหยงเฉียน จักรพรรดิแห่งอาณาจักรอี้จิ๋น สีจิ้งหมิงก็มีปฏิกิริยาทันที
“นี่พวกเขาออกมาจากทะเลชางหมางได้เร็วขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?” สีจิ้งหมิงขมวดคิ้วพลางพึมพำกับตัวเอง
ในฐานะอาณาจักรที่เฝ้าทางออกของทะเลชางหมาง พวกเขาย่อมรู้สถานการณ์ภายในทะเลชางหมาง
“ว่าแต่อาณาจักรจันทราและอาณาจักรหลงซานตอนนี้กำลังรบกันอยู่ไม่ใช่เหรอไง? ทำไมจู่ ๆ พวกเขาถึงได้ออกมาแล้วได้กัน?” สีจิ้งหมิงสับสน
สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือไม่กี่วันที่ผ่านมาอาณาจักรหลงซานนั้นได้ถูกลบหายออกไปแล้ว
ข่าวการล่มสลายของอาณาจักรหลงซานนั้นแม้แต่ในทะเลชางหมางก็ยังกระจายไปไม่ทั่วถึงด้วยซ้ำในตอนนี้ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกอะไรที่สีจิ้งหมิงที่อยู่ด้านนอกจะยังคงไม่ได้ข่าว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สีจิ้งหมิงจึงเดาไม่ออกถึงความตั้งใจของหลิงตู้ฉิง
สีจิ้งหมิงเคาะนิ้วเบา ๆ บนโต๊ะ ขณะที่เขาครุ่นคิด
จากนั้นสักพัก สีเป่ยเซียะก็ได้เดินเข้ามาหาและถามว่า “ข้าได้ยินมาว่าหลิงตู้ฉิงนำกองทัพของเขามาอยู่ที่หน้าประตูเมืองเจินไห่?”
สีจิ้งหมิงพูดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ท่านพี่ ท่านมาก็ดีแล้ว ตอนนี้ข้ากำลังตัดสินใจไม่ถูกเลยว่าจะเอายังไงดีกับเรื่องนี้ ข้าเพิ่งได้รับข่าวว่าหลิงตู้ฉิงต้องการเชิญข้าให้ไปพบกับเขา ซึ่งข้าเองไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาต้องการอะไรหรือมีแผนอะไรซ่อนอยู่?”
“ไม่ว่ามันจะหมายถึงอะไร ข้าคิดว่าเราควรจะไปพบกับเขาดู!” สีเป่ยเซียะแนะนำ
“ถ้าเขาต้องการโจมตีเมืองจริง ๆ ป่านนี้เขาคงยึดเมืองไปได้เรียบร้อยแล้ว แต่นี่เขากลับรอเราอยู่ที่นอกเมืองเพื่อให้เราไปหา ดังนั้นข้าคิดว่ามันจะดีกว่าถ้าเราไปพบกับเขาสักหน่อยเพื่อเข้าใจเจตนาของเขา”
“อย่างน้อย ๆ ในอดีตที่เราเจอกับเขา คนผู้นี้ก็ดูเป็นคนที่ทำตามกฎทุกอย่างแบบยุติธรรม ข้าคิดว่ามันน่าจะไม่มีปัญหาอะไรหากเราไปคุยกับเขาดี ๆ”
สีจิ้งหมิงมองไปที่สีเป่ยเซียะและหยอกล้อ “ท่านพี่ ท่านนี่พูดถึงแต่สิ่งดี ๆ มากมายของเขา อย่าบอกนะว่าพี่ของข้าสนใจเขาเข้าให้แล้ว ใช่ไหม?”
สีเป่ยเซียะจ้องไปที่สีจิ้งหมิง และพูดว่า “เจ้าอย่าพูดอะไรเพ้อเจ้อ ที่ข้าแนะนำให้ไปพบเขาก่อนเพราะข้ามีความกังวลสองเรื่อง”
“ความกังวลเรื่องแรกคือบุคคลผู้นี้ลึกลับอย่างยิ่ง วิธีการและความสามารถของเขาไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป ดังนั้นเราจำเป็นต้องเข้าใจเขาให้ดี ความกังวลเรื่องที่สองคือตอนนี้เขาเป็นสามีของเย่ชิงเฉิง ซึ่งหมายความว่าเขาเป็นเขยของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ด้วยวิธีการและความสามารถของเขารวมไปถึงทรัพยากรที่เขาจะได้จากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต แน่นอนว่ามันจะส่งผลให้เขากลายเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ดังนั้นมันจะดีที่สุดถ้าเราไม่กลายเป็นศัตรูกับเขา!”
สีจิ้งหมิงพยักหน้าเล็กน้อย และพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปดูว่าเขาต้องการทำอะไร”
“ข้าไปด้วย!” สีเป่ยเซียะพูด “เขายังคงเป็นหนี้บุญคุณข้าอยู่ ถ้าจำเป็นข้าจะใช้เรื่องนี้มาเป็นข้อต่อรอง!”
“หืม?” สีจิ้งหมิงมองไปที่สีเป่ยเซียะด้วยสายตางุนงง
“ข้าให้หยดน้ำวิญญาณบริสุทธิ์แก่เขาไปหนึ่งขวดก็แค่นั้น!” สีเป่ยเซียะอธิบาย
หลังจากนั้นสองพี่น้องก็รวบรวมคนของพวกเขา และมุ่งหน้าไปยังเมืองเจินไห่
ในอีกด้านหนึ่ง หลิงตู้ฉิงและคนของเขาที่รออยู่ที่ด้านนอกเมืองเจินไห่มาได้สักพักแล้ว แทนที่พวกเขาจะได้พบหน้าสีจิ้งหมิงที่พวกเขารอคอย แต่คนแรกที่เขาได้พบกลับเป็นลั่วหยุนที่มาถึงก่อน
แม้ว่าลั่วหยุนจะอยู่ทางตอนเหนือของอาณาเขตนภา แต่ด้วยระดับการบ่มเพาะของเขาที่อยู่ในขอบเขตราชัน ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะเหลือเพียงแค่ดวงวิญญาณแต่ความเร็วของเขานั้นมันไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะเทียบได้
ลั่วหยุนในตอนนี้ที่ได้มายืนอยู่ตรงหน้าหลิงตู้ฉิงแล้ว เขายิ้มให้และพูดว่า “ทำไมพวกท่านออกมาเร็วขนาดนี้”
เสี่ยวเยว่เฟิง เมื่อเห็นลั่วหยุน นางรีบประสานมือคารวะทันที “คารวะผู้อาวุโสลั่ว!”
หลิงตู้ฉิงเองก็พยักหน้า และพูดกับลั่วหยุน “เข้าไปพูดคุยกันข้างในก่อนเถอะ”
เมื่อได้รับคำเชิญ ลั่วหยุนก็พยักหน้าและเดินตามหลิงตู้ฉิงกับเสี่ยวเยว่เฟิงเข้าไปในรถม้าทันที
แต่เมื่อลั่วหยุนเข้าไปในรถม้า และเห็นผู้คนมากมายที่อยู่ด้านใน ลั่วหยุนก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงและถามว่า “ทำไมพวกท่านถึงได้ออกมาที่นี่?”
“ข้าต้องการจับตัวคนผู้หนึ่งในอาณาจักรมังกรทะยาน!” หลิงตู้ฉิงพูดสั้น ๆ “อ๋อ และอีกอย่างมีใครบางคนที่ต้องการพบเจ้า”
“หืม?” ลั่วหยุนทำเสียงอย่างสงสัย
หลิงตู้ฉิงเรียกหลิงยี่เทียนมาต่อหน้าเขา และพูดว่า “นี่คือลูกชายของข้า หลิงยี่เทียน จักรพรรดิแห่งอาณาจักรจันทรา จากนี้ได้เวลาทำตามสัญญาของเจ้าแล้ว”
“ยี่เทียน นี่คือลั่วหยุน คนที่พ่อบอกเจ้าว่าเขาจะคอยปกป้องเจ้าตลอด 2,300 ปีนับจากนี้”
หลิงยี่เทียนไม่กล้าที่จะหยิ่งผยอง เขาก้มหน้าลงเล็กน้อยและรีบพูดว่า “คารวะ ผู้อาวุโสลั่ว!”
แม้ว่าชายคนนี้จะเหลือเพียงดวงวิญญาณ แต่เขาก็ยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน
นอกจากนี้พ่อของเขาได้บอกกับเขาไว้แล้วว่ามีวิธีที่จะให้คน ๆ นี้สามารถบ่มเพาะได้อย่างคนปกติทั่วไป พูดอีกนัยหนึ่งก็คือความแข็งแกร่งของลั่วหยุนนับจากนี้จะมีแต่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ลั่วหยุนรีบพูดกับหลิงยี่เทียน “คารวะฝ่าบาท!”
แม้ว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน แต่เนื่องจากเขาตกลงที่จะปกป้องหลิงยี่เทียน ดังนั้นเขาก็ยังคงต้องให้เกียรติเด็กที่อยู่ตรงหน้าเขา
หลิงยี่เทียนยิ้ม “ด้วยความช่วยเหลือของผู้อาวุโสลั่ว ความแข็งแกร่งของอาณาจักรจันทราของข้าจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นอย่างมากแน่นอน ว่าแต่ข้าสงสัยว่าผู้อาวุโสสนใจที่จะดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางในราชสำนักของข้าหรือไม่?”
ลั่วหยุนยิ้มอย่างขมขื่น “ฝ่าบาท ข้ายังคงต้องคำนึงถึงเรื่องของหอการค้าเชื่อมสวรรค์ ดังนั้นข้าเกรงว่าข้าคงไม่อาจรับตำแหน่งในราชสำนักใด ๆ อย่างเป็นทางการได้”
เขามีตัวตนหลายอย่าง ดังนั้นมันจึงไม่สะดวกสำหรับเขาที่จะเป็นขุนนาง
นอกจากนี้เขาตกลงกับหลิงตู้ฉิงว่าจะเป็นเพียงแค่ผู้พิทักษ์เท่านั้น ไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชาของหลิงยี่เทียน
หลิงยี่เทียนหัวเราะ “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งั้นข้าขอเสนอให้ผู้อาวุโสลั่วเป็นที่ปรึกษารับเชิญนอกราชสำนักของข้าก็แล้วกัน ดีไหม?”
“ขอบพระทัย ฝ่าบาท!” ลั่วหยุนตอบกลับอย่างสุภาพ
แต่แล้วหลังจากที่เขาตอบกลับ สีหน้าของลั่วหยุนก็แข็งค้างทันทีเนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเขา ซึ่งในฐานะที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน เขาจึงมีความรู้สึกสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้ไวกว่าคนทั่วไปหลายพันหลายหมื่นเท่า
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเช่นนี้มันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่หลิงยี่เทียนด้วยความประหลาดใจ
หลิงตู้ฉิงไม่ได้อธิบายเหตุผลอะไร และพูดกับลั่วหยุนด้วยสีหน้าเรียบเฉยแทน “การออกมาจากทะเลชางหมางครั้งนี้ เราคงต้องใช้ความช่วยเหลือของเจ้า และก่อนหน้านี้ที่ข้าบอกเจ้าเกี่ยวกับการใช้พลังที่เกิดจากความอาฆาตเพื่อฝึกฝนวิญญาณสงครามของเจ้า”
“ซึ่งข้าได้ให้วิธีการบ่มเพาะวิญญาณสงครามกับเจ้าไปแล้ว ตอนนี้ข้าได้ควบแน่นลูกปัดพลังอาฆาตสองลูกให้กับเจ้าเรียบร้อย หากดูดซับพลังภายในมันทั้งหมดได้เมื่อไหร่ เจ้าจะสามารถเปลี่ยนดวงวิญญาณของเจ้าให้กลายเป็นวิญญาณสงครามได้ทันที”
“ส่วนการบ่มเพาะในอนาคต เจ้าจำเป็นต้องพึ่งพายี่เทียน เนื่องจากเขาจะเป็นผู้ช่วยเจ้ารวบรวมพลังแห่งความอาฆาตที่เกิดขึ้นในสนามรบมาให้กับเจ้า ซึ่งในอนาคตยิ่งเจ้าดูดซับมันมากขึ้นเท่าไหร่ ตัวเจ้าก็จะมีแต่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็ยื่นลูกปัดสองลูกให้แก่ลั่วหยุน
ลั่วหยุน เมื่อได้รับมาแล้วเขาก็สูดหายใจลึกด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากเขาแทบจะทนรอไม่ไหวที่จะเปลี่ยนดวงวิญญาณของเขาให้กลายเป็นวิญญาณสงคราม ซึ่งเขาจะสามารถบ่มเพาะได้เหมือนคนทั่วไป
หากเทียบกับสถานการณ์ที่เขาเหลือแต่ดวงวิญญาณบริสุทธิ์ในตอนนี้แล้ว วิญญาณสงครามก็มีข้อดีและข้อเสียในตัวเอง แต่อย่างน้อย ๆ หากเขากลายเป็นวิญญาณสงคราม เขาก็สามารถบ่มเพาะได้ต่อถึงแม้ว่าเขาจะต้องผูกตัวเองไว้กับอาณาจักรจันทรา
แล้วการที่เขาต้องผูกตัวเองไว้กับอาณาจักรจันทราเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้รู้สึกกังวลกับมันสักเท่าไหร่ เนื่องจากเขาเองก็ได้ตกลงที่จะปกป้องหลิงยี่เทียนเป็นเวลา 2,300 ปีไปแล้ว
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ลั่วหยุน และพูดว่า “เอาล่ะถ้าเจ้าพร้อม เจ้าก็จงเริ่มดูดซับลูกปัดทั้งสองลูกนี้ได้แล้ว ข้าจะทำหน้าที่ปกป้องเจ้าให้เอง ไม่เช่นนั้นเมื่อเราไปถึงอาณาจักรมังกรทะยาน และหากมีการต่อสู้กันเกิดขึ้น ดวงวิญญาณของเจ้าอาจจะต้องเสียหายอีกรอบ”
ลั่วหยุนครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “งั้นโปรดดูแลข้าด้วย ข้าจะดูดซับพวกมันและกลายเป็นวิญญาณสงครามเดี๋ยวนี้”
เนื่องจากลั่วหยุนคุ้นเคยกับหลิงตู้ฉิง และเชื่อว่าหลิงตู้ฉิงจะไม่ฆ่าเขา ดังนั้นเขาจึงเริ่มดูดซับพลังแห่งความอาฆาตที่อยู่ในลูกปัดทั้งสองอย่างบ้าคลั่ง เพื่อเปลี่ยนดวงวิญญาณของเขาเองให้กลายเป็นวิญญาณสงครามให้เร็วที่สุด