พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 453 สัมภาษณ์ผู้เข้าชิงตำแหน่ง
เมื่อได้ฟังคำตอบที่น่าไม่อายของพ่อเขา หลิงยี่เทียนก็ได้แต่ร่ำร้องในใจและพูดกับสีเป่ยเซียะอย่างกระอักกระอ่วน “เอ่อ…ป้าสี มันยังไม่ชัดเจนเลยว่าเราจะร่วมมือกันได้จริง ๆ รึเปล่า เอาเป็นว่าเราค่อยคุยเรื่องนี้กันหลังจากที่เราได้ร่วมมือกันจริง ๆ แล้วดีกว่า”
สีเป่ยเซียะพยักหน้าและตอบกลับ “เอาแบบนั้นก็ได้ หากข้าได้คำตอบจากน้องชายของข้าเมื่อไหร่ ข้าจะรีบส่งคนมาแจ้งให้เจ้ารู้ทันที แต่แน่นอนไม่ว่าน้องชายของข้าจะตัดสินใจร่วมมือหรือไม่ ข้าอยากจะบอกเอาไว้ก่อนว่าข้าเองไม่เคยอยากที่จะเป็นศัตรูกับเจ้าหรือพ่อของเจ้าเลยแม้แต่น้อย อย่างน้อย ๆ ไม่ว่าคำตอบจากน้องชายของข้ามันจะเป็นอย่างไร ข้ายังคงอยากให้เราเป็นมิตรที่ดีแบบนี้ต่อกันไปเรื่อย ๆ”
ภาพเหตุการณ์ที่ทางเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ รวมถึงวิธีการที่หลิงตู้ฉิงเคยใช้กำราบผู้คนมากมายยังคงตราตรึงในใจนาง
สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดมันทำให้นางประเมินความอันตรายของหลิงตู้ฉิงไว้สูงมาก
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย และพูดว่า “ข้าหวังว่าเราจะสามารถตกลงกันได้ผ่านการเจรจา!”
หลิงตู้ฉิงเข้าใจดีว่าตัวเองก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้เช่นกัน นอกจากจะมอบโอกาสให้สีเป่ยเซียะเลือกเพราะเส้นทางของพวกเขานั้นแตกต่างกัน
สีเป่ยเซียะยิ้มและพูดว่า “นั่นคือสิ่งที่ข้ารอคอยเช่นกัน และแน่นอนว่าไม่ว่าเราจะได้ร่วมมือกันหรือไม่ก็ตาม ข้าจะอนุญาตให้ท่านใช้เส้นทางผ่านอาณาจักรอี้จิ๋นไปยังอาณาจักรมังกรทะยานแน่นอน เอาล่ะตอนนี้ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อนก็แล้วกัน”
หลังจากที่นางพูดจบ นางก็พาหยูเอ๋อกลับไปที่เมืองเจินไห่
เมื่อนางกลับไปที่เมืองเจินไห่ นางก็ไปหาสีจิ้งหมิงทันที
“ท่านพี่ ผลเป็นอย่างไร?” สีจิ้งหมิงถามขึ้นด้วยสีหน้าอยากรู้
สีเป่ยเซียะเล่าการสนทนาของนางกับหลิงตู้ฉิงจนหมด และพูดว่า “คำแนะนำของข้าคือเราคงต้องยอมร่วมมือกับพวกเขา เนื่องจากตอนนี้เราไม่มีทางต่อกรกับเขาได้จริง ๆ ไม่มีทางที่เราจะต่อกรกับลั่วหยุนได้ และหลิงตู้ฉิงผู้นี้ก็มีความสามารถแปลก ๆ มากมาย”
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เรายังไม่รู้ว่าเขาได้สมบัติแบบไหนจากในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับออกมา ซึ่งถ้าให้เดามันคงไม่ใช่อะไรที่ธรรมดาแน่นอน แล้วถ้าเกิดเขาใช้มันกับเราขึ้นมา ข้าคิดว่าต่อให้เราเรียกบรรดาผู้อาวุโสของสำนักมาช่วยมันก็คงจะไม่สามารถต้านทานเขาได้อยู่ดี ส่วนเรื่องการเรียกบรรพบุรุษของพวกเราให้มาช่วยนั้นข้าคิดว่ามันคงยากเกินไป”
“ส่วนเรื่องความลับของทะเลชางหมางนั้น หลิงตู้ฉิงได้เน้นย้ำหลายครั้งว่าทะเลชางหมางไม่มีความลับอื่นใดเลยราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับมันมาก ซึ่งสิ่งนี้เราก็คงไม่ต้องเป็นห่วงเพราะจะมีโอกาสค้นหาความจริงได้เองในอนาคต จากทั้งหมดนี้ข้าแนะนำว่าควรร่วมมือกับพวกเขาจะดีกว่า เพราะถ้าเจ้าไม่ต้องการที่จะร่วมมือ ข้าเกรงว่าเราคงได้เผชิญหน้ากับเขาแน่นอน”
ในขณะที่สีเป่ยเซียะกำลังพูด สีจิ้งหมิงก็ตรึกตรองไปด้วยเช่นกัน
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เห็นความน่าตื่นตะลึงของหลิงตู้ฉิงแบบที่สีเป่ยเซียะพูดถึง แต่เขาก็รู้ว่าพี่สาวของเขาไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาไร้สาระเกินจริง
“เอาล่ะ ในเมื่อท่านพี่บอกว่าเราควรร่วมมือกับพวกเขา งั้นข้าก็จะร่วมมือกับพวกเขา!” สีจิ้งหมิงพยักหน้า “อย่างไรก็ตามก่อนที่ข้อตกลงจะบรรลุ ข้าต้องไปพบจักรพรรดิแห่งอาณาจักรจันทราซะก่อน!”
สีเป่ยเซียะยิ้มและพูดว่า “ได้ยินเช่นนี้ข้าก็รู้สึกโล่งใจหน่อย อ๋อ อันที่จริงข้าได้หยอกล้อกับพวกเขาไปเรื่องการให้ลูกสาวของเจ้าไปเป็นมเหสีให้กับจักรพรรดิอาณาจักรจันทราไปด้วย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีจิ้งหมิงถึงกับปากกระตุกและพูดขึ้นทันที “ท่านพี่ แม้ว่าลูกสาวของข้าจะเกิดในอาณาเขตนภา แต่นางก็เป็นลูกสาวของข้า ไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องกลายเป็นธิดาสวรรค์ของสำนักเบญจธาตุ ท่านจะให้ใครก็ไม่รู้มาแต่งงานกับนางได้ยังไงนี่มันเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมกับนาง! ถึงต่อให้ฝั่งตรงข้ามจะเป็นจักรพรรดิ แต่เขาก็เป็นแค่จักรพรรดิของอาณาจักรเล็ก ๆ เท่านั้น ดังนั้นข้าคิดว่าเรื่องนี้เราควรตัดมันออกไปได้เลย”
สีเป่ยเซียะพยักหน้า “ข้าแค่เอ่ยขึ้นไปลอย ๆ กับพวกเขาก็แค่นั้น นางเป็นลูกสาวของเจ้า ดังนั้นก็แล้วแต่เจ้าจะตัดสินใจก็แล้วกัน”
“ถ้าอย่างนั้นเราจะรอจนกว่าพวกเขาจะเข้ามาในเมืองก็แล้วกัน และค่อยว่าเรื่องนี้กันอีกทีเมื่อถึงเวลา” สีจิ้งหมิงตัดสินใจในที่สุด
ในอีกด้านหนึ่ง ลั่วหยุนใช้เวลาอีกครึ่งเดือนในการดูดซับพลังจากลูกปัดจนเสร็จสิ้น
ซึ่งตอนนี้ลั่วหยุนได้กลายเป็นวิญญาณสงครามอย่างสมบูรณ์แบบเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ตอนนี้ทั่วทั้งร่างของเขามีรัศมีที่ดูน่าเกรงขามราวกับขุนศึกเปล่งประกายออกมาอย่างหนาแน่น
“รู้สึกดีทีเดียว!” ลั่วหยุนทดลองร่างใหม่ของเขา และลองใช้พลังกฎแห่งสวรรค์และโลก
เมื่อก่อนหากเขาใช้พลังเหล่านี้ เขาจะต้องจ่ายราคาของมันด้วยพลังจากดวงวิญญาณของเขาเอง
แต่ในเมื่อตอนนี้เขาได้กลายเป็นวิญญาณสงครามแล้ว เขาก็สามารถใช้พลังต่าง ๆ ได้เหมือนกับผู้บ่มเพาะทั่วไปโดยที่ไม่มีกระทบต่อดวงวิญญาณเขาอีกต่อไป
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ในอนาคตจะมีการสู้รบเกิดขึ้นอีกมากมาย ข้าจะให้วิธีการควบแน่นพลังอาฆาตและด้านลบต่าง ๆ ในสนามรบแก่ยี่เทียน เขาจะจัดหาพลังเหล่านั้นให้กับเจ้า เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเจ้าอย่างต่อเนื่อง”
ลั่วหยุนยิ้มและพูดว่า “ขอบพระทัย ฝ่าบาท!”
“ด้วยความยินดีผู้อาวุโสลั่ว!” หลิงยี่เทียนยิ้มและตอบกลับ
หลิงตู้ฉิงพูดต่อ “ส่วนเรื่องของการเข้าชิงตำแหน่งเทพเจ้าแห่งโชคลาภ มี่ตั้วตั้วก็มากับข้าด้วยรอจนกว่าเราจะไปถึงหมู่ตึกหยูอี่ จากนั้นเจ้าก็ไปคุยกับเขากันตามลำพังก็แล้วกัน”
ลั่วหยุนหันไปทางมี่ตั้วตั้ว และพูดว่า “อันที่จริงข้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นเขาเพราะกลิ่นของเงินในร่างกายของเขานั้นรุนแรงชัดเจนอยู่แล้ว มันเหมือนกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่เทพเจ้าแห่งความมั่งคั่งที่ตำหนักเทพโชคลาภของเราจำเป็นต้องมี แต่แน่นอนว่าเขาจะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภได้หรือไม่นั้นมันยังจำเป็นต้องมีการพิสูจน์ความสามารถของเขาอีกรอบ แต่ก่อนหน้านั้นข้าคงต้องคุยกับเขาก่อนสักรอบเพื่อตัดสินใจว่าจะส่งตัวเขาให้เป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งรึเปล่า”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ข้าฟังเรื่องตำหนักเทพโชคลาภของเจ้าหรอก” หลิงตู้ฉิงยิ้ม “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าดูดซับพลังเสร็จแล้วเราก็เข้าเมืองกันเถอะ!”
จากนั้นกลุ่มของหลิงตู้ฉิงก็เริ่มเดินไปที่เมืองเจินไห่ ทิ้งกองทัพมังกรของหลิงว่านจุน และกองทัพของหลิงฉุยฟงให้ตั้งค่ายรออยู่นอกเมือง
และคราวนี้ไม่มีผู้ใดในเมืองเจินไห่หยุดพวกเขา
“ไปที่หมู่ตึกหยูอี่ก่อน!” หลิงตู้ฉิงสั่งเสี่ยวเยว่เฟิง
“รับทราบ นายท่าน!” เสี่ยวเยว่เฟิงตอบ
เหตุผลที่หลิงตู้ฉิงต้องการไปที่หมู่ตึกหยูอี่ เพราะที่นั่นยังมีคนของพวกเขาอาศัยอยู่
นอกจากนั้นค่ายกลกระบี่เหินเมฆาก็อยู่ที่นั่น
เขารู้ดีว่าการไปที่อาณาจักรมังกรทะยานครั้งนี้เขาจำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจของมัน ดังนั้นเขาจึงต้องนำมันติดตัวไปด้วย
เมื่อพวกเขาไปถึงหมู่ตึกหยูอี่ โม่เอ๋อและเย่หยูหลันก็มารออยู่ด้านหน้าหมู่ตึกแล้ว
“คารวะนายหญิงนายท่าน!” โม่เอ๋อพูดต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “นายหญิง ข้าขอคืนค่ายกลกระบี่ให้ท่าน”
แม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะใช้ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาบ่อยครั้ง แต่ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาก็ยังเป็นของเย่ชิงเฉิงเสมอ
ตอนที่พวกเขากลับไปที่ทะเลชางหมาง เนื่องจากระดับของมันสูงส่งเกินไปพวกเขาจึงไม่สามารถนำมันเข้าไปด้วยได้ พวกเขาจึงทำได้แต่วางมันไว้ในหมู่ตึกหยูอี่เท่านั้น
ขณะนี้มันกลับคืนสู่เจ้าของแล้ว
หลิงตู้ฉิงรอจนกระทั่งเย่ชิงเฉิงถอนค่ายกลกระบี่เหินเมฆาออกจากหมู่ตึกหยูอี่ครบทั้งหมด จากนั้นเขาจึงพูดกับมี่ตั้วตั้ว “นับแต่นี้ต่อไปสถานที่นี้จะเป็นของท่าน เอาล่ะท่านกับลั่วหยุนสามารถพูดคุยกันได้ตามสบาย พวกเราที่เหลือจะไปหาสีจิ้งหมิงกันก่อน”
หลังจากพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็พาคนของเขาเดินไปที่จวนเจ้าเมือง ทิ้งให้มี่ตั้วตั้ว โม่จู่และลั่วหยุนอยู่ที่หมู่ตึกหยูอี่กันตามลำพัง
ที่หลิงตู้ฉิงทำเช่นนี้ก็เพราะเขาจะให้ลั่วหยุนทดสอบว่า มี่ตั้วตั้วมีค่าพอที่จะถูกเสนอชื่อและเขามีศักยภาพพอที่จะกลายเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภหรือไม่
ภายในหมู่ตึกหยูอี่ ลั่วหยุนพูดกับมี่ตั้วตั้ว “ข้ามีหลายเรื่องที่จะคุยกับท่านเป็นการส่วนตัว ดังนั้นอสูรทมิฬที่อยู่ข้าง ๆ ท่านต้องถอยออกไปก่อน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มี่ตั้วตั้วจึงส่งสัญญาณให้โม่จู่ถอยออกไป จากนั้นเขาก็นั่งคนเดียวตรงหน้าลั่วหยุน
ลั่วหยุนมองไปที่มี่ตั้วตั้ว และพูดว่า “ข้าอาจต้องอ่านความทรงจำของท่านเพื่อทำความเข้าใจกับประสบการณ์ของท่าน ข้าหวังว่าท่านจะไม่โกรธ”
มี่ตั้วตั้วรีบตอบกลับทันทีว่า “หลิงตู้ฉิงเป็นลูกเขยของข้า ทั้งข้าและเขา เราเคยมีประสบการณ์ร่วมกันหลายอย่าง ข้าคิดว่าท่านคงเข้าใจความหมายที่ข้าพูด!”
เมื่อได้ยิ่นเช่นนี้ ลั่วหยุนก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นเขาจึงถามขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “เอาล่ะถ้างั้นโปรดเล่าประสบการณ์ชีวิตของท่านมาแทนก็แล้วกัน แต่จงรู้ไว้ว่าการโกหกต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันนั่นเป็นการกระทำที่ท่านไม่ควรทำมากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อท่านอยู่ในขอบเขตนภา หากมีบางสิ่งที่ไม่สะดวกจะพูดท่านสามารถเลือกที่จะไม่พูดได้ แต่ถ้าท่านโกหก ข้าสามารถเลือกที่จะไม่แนะนำท่านได้เช่นกัน”