พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 458 กองทัพเต่าดำ
เมื่อเห็นว่าค่ายกลรบของกองทัพเต่าดำแตก สีหน้าของปู้ไป่เต๋าก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที
เมื่อเห็นเช่นนี้ ด้วยความร้อนรนเขาจึงรีบพุ่งเข้าไปช่วยกองทัพเต่าดำทันที
โม่เอ๋อที่เห็นเช่นนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปหยุดปู้ไป่เต๋าเอาไว้ ส่งผลให้การต่อสู้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ในเวลานี้ภายในรถม้า ในที่สุดสีเป่ยเซียะก็ฟื้นคืนสติได้จากอาการตกตะลึง จากนั้นนางก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงและถามว่า “ทำไม?”
“ทำไมอะไร?” หลิงตู้ฉิงถามกลับ
“ทำไมกองทัพของลูกชายเจ้าถึงสามารถเอาชนะกองทัพเต่าดำของอาณาจักรมังกรทะยานได้เร็วขนาดนั้น?” สีเป่ยเซียะถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ก็เพราะว่านั่นคือกองทัพของลูกชายข้า!”
สิ่งที่หลิงตู้ฉิงพูดนั้นคือคำอธิบายที่ดีที่สุด หากไม่มีเขามันก็ไม่มีวันที่ธงรบโลหิตจักรพรรดิจะถูกสร้างขึ้น และมันเป็นไปไม่ได้ที่หลิงหว่านจุนจะได้รับวิชามังกรศักดิ์สิทธิ์จำแลงกาย และกองทัพของหลิงฉุยฟงก็ไม่มีวันถูกจัดตั้งขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สีเป่ยเซียะที่ได้ยินคำตอบเช่นนี้ของหลิงตู้ฉิง นางก็รู้สึกว่านางยังไม่เข้าใจเหมือนเดิม
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ข้าจะฟังคำโอ้อวดของเจ้า ข้าแค่อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” สีเป่ยเซียะพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ
ด้วยพรสวรรค์อันสูงส่งของนาง นางจึงมั่นใจว่าสายตาของนางนั้นค่อนข้างที่จะเฉียบแหลม ซึ่งในตอนแรกของการปะทะกันผลลัพธ์ของมันก็เป็นไปตามที่นางคาดการณ์ไว้คือกองทัพมังกรนั้นด้อยกว่าคู่ต่อสู้เล็กน้อย
แต่แล้วทำไมต่อมาระดับความแข็งแกร่งของกองทัพมังกรจู่ ๆ ถึงเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง?
และไม่ใช่แค่ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่กฎของพลังต่าง ๆ ถึง 17 ชนิดก็เข้ามาประสานรวมกับกองทัพมังกรด้วยอีกรอบ ค่ายกลรบแบบนี้นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีอยู่บนโลก
แถมยังมีสิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือ เหตุใดในช่วงเวลาที่มังกรโจมตี ที่กรงเล็บของมันนั้นกลับสำแดงผลของกฎหลาย ๆ ชนิดได้พร้อมกันแถมยังมีเงาของปลายหอกปรากฎขึ้นที่ปลายเล็บอย่างชัดเจนอีกต่างหาก?
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสีเป่ยเซียะจะสงสัยถึงขนาดไหน หลิงตู้ฉิงก็ไม่มีวันบอกความลับนี้ให้นางรู้แน่นอน
“ก็อย่างที่ข้าได้พูดไปเมื่อครู่ ที่ผลลัพธ์มันออกมาเป็นเช่นนี้นั้นก็เพราะเขาคือลูกชายของข้าก็แค่นั้น!” หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย และเมื่อพูดจบเขาก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากรถม้า
สีเป่ยเซียะที่ได้รับคำตอบเช่นนี้ นางก็ทำได้แค่กลอกตามองบน นางไม่เคยเห็นใครที่จะโอ้อวดได้มากขนาดนี้
ทางด้านของการต่อสู้ที่อยู่ด้านนอก ขณะนี้ได้จบลงแล้วอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นเพราะหลังจากที่หลิงว่านจุนนำกองทัพทำลายค่ายกลรบของกองทัพเต่าดำจนแตกกระเจิง สิ่งที่ตามมาก็คือการสังหารหมู่อยู่เพียงฝ่ายเดียว แม้ว่าความแข็งแกร่งของตัวบุคคลทหารของกองทัพเต่าดำจะมากกว่ากองทัพมังกรของพวกเขา แต่พวกมันก็ยังคงเป็นเหมือนลูกแกะที่รอถูกเชือดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับพลังของกองทัพมังกรที่อยู่ในสถานะเปิดใช้งานค่ายกลรบ มีเพียงทหารส่วนน้อยของกองทัพเต่าดำเท่านั้นที่โชคดีหนีรอดจากการสังหารหมู่ไปได้
ทางด้านของปู้ไป่เต๋าที่ตอนนี้บินอยู่บนอากาศ เมื่อเขาเห็นว่าการต่อสู้ด้านล่างได้สิ้นสุดลงแล้วด้วยความปราชัยของกองทัพของเขา หัวใจของเขาก็เจ็บปวดรวดร้าวเป็นอย่างมาก
เนื่องจากก่อนออกมาจากเมืองหลวง เขาได้สัญญากับจักรพรรดิของเขาไว้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเขาจะจับตัวคนเหล่านี้กลับไปได้แน่นอน แต่ตอนนี้…ไม่เพียงแต่แผนการทั้งหมดจะล้มเหลว ทหารกองทัพเต่าดำจากทั้งหมดสามหมื่นนายตอนนี้มีเพียงแค่ไม่กี่ร้อยเท่านั้นที่หนีรอดไปได้
“พวกเจ้าทุกคนมันสมควรตาย!” ปู้ไป่เต๋ามองไปที่หลิงว่านจุน และโม่เอ๋อด้วยสายตาเคียดแค้น
หลิงว่านจุนที่ยังคงจดจ่ออยู่กับค่ายกลรบของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจอะไรกับท่าทีของฝั่งตรงข้าม ส่วนโม่เอ๋อเองก็ไม่สนใจเขาเช่นกัน เมื่อนางเห็นว่าการรบด้านล่างจบลงอย่างสมบูรณ์ นางจึงบินกลับไปที่ด้านข้างของหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ตั้งแต่ที่เจ้าสั่งคนของเจ้าให้โจมตีพวกข้า มันก็เหมือนกับเจ้าได้ออกคำสั่งประหารให้กับคนของเจ้าเองเรียบร้อยแล้ว เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าจงกลับไปหาหยูไท่ฉวนและจงบอกให้เขานำตัว หยูเฉิงฮุย มาให้ข้า แต่ถ้าพวกเจ้ายังคงให้หยูเฉิงฮุยหนีไปได้ หยูไท่ฉวนจะต้องตายหรือถ้าหยูไท่ฉวนและพวกเจ้ากล้าที่จะหลบหนีตามกันไปทั้งหมด ข้าจะไปที่ภูเขาเอ้อหลงและจะสังหารญาติพี่น้องของพวกเจ้าที่นั่นให้หมด!”
ปู้ไป่เต๋ามองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าเย้ยหยัน และพูดขึ้นว่า “กล้าพูดจาเพ้อเจ้อขนาดนี้ เจ้าไม่กลัวลิ้นขาดงั้นเหรอ?”
ปู้ไป่เต๋าคิดเยาะเย้ยคนเหล่านี้ในใจ ‘ไม่ต้องพูดถึงภูเขาเอ้อหลง เอาแค่ความแข็งแกร่งของอาณาจักรมังกรทะยานเพียงอย่างเดียว ไอ้คนพวกนี้ที่มีเพียงผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำแค่คนเดียวในกลุ่มกับค่ายกลรบพิสดารนี้ จะมาทำอะไรพวกเขาได้กัน?’
เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยของปู้ไป่เต๋า หลิงตู้ฉิงก็ไม่ได้สนใจอะไรและตอบกลับไปว่า “เจ้าจงรีบกลับไปได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะตามหลังเจ้าไปที่นั่นในไม่ช้า”
เมื่อได้ยินการตอบกลับเช่นนี้ ปู้ไป่เต๋าก็จ้องมองไปที่หลิงตู้ฉิง จากนั้นก็เหลือบมองไปที่โม่เอ๋อที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อคำนวณในใจดูแล้วว่าเขาคงไม่สามารถทำอะไรกลุ่มของหลิงตู้ฉิงได้แน่นอน ดังนั้นเขาหันหลังบินกลับไปยังทิศทางของอาณาจักรมังกรทะยาน
หลิงตู้ฉิงไม่ได้สนใจปู้ไป่เต๋าที่บินจากไปไกลแล้ว เขาเดินไปที่กลางสนามรบเพื่อรวบรวมพลังของเจตจำนงแห่งการสังหารจากการสู้รบ และหลังจากที่เขารวบรวมพลังเสร็จ เขาก็ทำเช่นเดิมเหมือนที่เคยทำคือแยกธรณีออกให้บรรดาศพทั้งหลายจมลงสู่ใต้ดิน และสวดส่งลบกลิ่นอายความตายในสนามรบออกจนหมด
จากนั้นเมื่อเก็บกวาดสนามรบจนเสร็จ เมื่อหลิงตู้ฉิงกลับไปที่รถม้า เขาก็โยนลูกปัดที่เกิดจากการควบแน่นพลังของเจตจำนงแห่งการสังหารไปยังลั่วหยุน และพูดกับเสี่ยวเยว่เฟิง “ออกเดินทางกันต่อ!”
เมื่อได้รับคำสั่ง หลงเฉินก็เคลื่อนที่ไปด้านหน้าต่อโดยมีกองทัพมังกรและกองทัพของหลิงฉุยฟงบินตามหลังไปอย่างใกล้ชิด มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของอาณาจักรมังกรทะยาน
ในอีกด้านหนึ่ง ปู้ไป่เต๋าที่บินด้วยความเร็วเต็มที่ในตอนนี้ได้กลับไปถึงเมืองหลวง และได้รายงานเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับหยูไท่ฉวนฟังทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว
หยูไท่ฉวนมองไปที่ปู้ไป่เต๋าด้วยใบหน้าบึ้งตึง แต่เขาก็ไม่ได้ตำหนิอะไรออกมา
ปู้ไป่เต๋าเองก็ได้แต่ก้มศีรษะลง ไม่กล้ามองการแสดงออกของหยูไท่ฉวน
โชคดีที่แม้ว่าเขาจะแพ้การต่อสู้ แต่เขาก็มีเหตุผลรองรับที่ดีพอ
ศัตรูมีผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำแถมยังมีกองทัพที่แข็งแกร่งกว่า ดังนั้นแม้ว่าหยูไท่ฉวนจะโกรธเกรี้ยว แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรกับปู้ไป่เต๋า
“ฝ่าบาท โปรดอนุญาตให้กระหม่อมนำกองทหารออกไปโจมตีคนเหล่านั้นอีกระลอกเถอะ!” แม่ทัพอีกคนหนึ่งของหยูไท่ฉวนได้เอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือคำนับ
หยูไท่ฉวนขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาพูดว่า “ข้าล่ะสงสัยจริง ๆ ว่าขุมกำลังไหนกันที่หนุนหลังไอ้พวกอาณาจักรจันทราจนกล้าหยาบคายกับอาณาจักรมังกรทะยานของข้าแบบนี้! ปู้ไป่เต๋า ในเมื่อเจ้าได้ปะทะกับพวกมันไปแล้ว ไหนลองบอกข้ามาทีสิว่าพวกมันมีจุดเด่นอะไรที่น่าสังเกตบ้าง”
ปู้ไป่เต๋ารีบตอบกลับทันที “ฝ่าบาท ข้าเชื่อว่ารถม้าที่ลากโดยหลงเฉินนั้น ด้านในของมันจะต้องเป็นมิติที่ถูกสร้างจากอาณาเขตสวรรค์เทียมแน่นอน เพราะมันมีผู้คนจำนวนมากที่สามารถออกมาจากรถม้าที่มีขนาดเล็กแบบนั้นได้ ซึ่งมันทำให้ข้าเองในตอนแรกที่ไม่ทันได้ระวังจึงเสียเปรียบให้กับผู้เชี่ยวชาญของทางฝั่งศัตรูที่จู่ ๆ ก็โผล่ออกมาจากรถม้านั่น”
“แม่ทัพปู้ ท่านไม่จำเป็นต้องแก้ตัวหรือพิสูจน์อะไรในตอนนี้ เพียงแค่บอกพวกเราทุกอย่างที่ท่านเห็นและสัมผัสมาก็พอ” ที่ปรึกษาส่วนพระองค์ ปรมาจารย์หลูตงหมิงแห่งอาณาจักรมังกรทะยานได้พูดแทรกขึ้น
“ขออภัยท่านปรมาจารย์ที่ข้าเอ่ยวาจาไร้สาระ!” ปู้ไป่เต๋ารีบโค้งตัวขออภัยทันที จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่เขาได้เผชิญ จากนั้นเขาก็พูดต่อ “หญิงสาวผู้นั้นที่กระหม่อมได้ประมือด้วยใช้ทักษะทางด้านอักขระเวทย์กับกระหม่อมอยู่หลายที หากกระหม่อมเดาไม่ผิดนางน่าจะเป็นผู้ใช้อักขระเวทย์ และจากการสังเกตกระหม่อมแน่ใจว่าหญิงสาวผู้นั้นน่าจะเป็นแค่คนรับใช้ เพราะในตอนหลังเมื่อมีชายผู้หนึ่งเดินออกมาจากรถม้า หญิงสาวนางนั้นก็รีบบินเข้าไปหาและแสดงท่าทีที่เคารพเป็นอย่างมากกับชายผู้นั้นทันที”
หยูไท่ฉวนขมวดคิ้วและพูดว่า “นี่เจ้ากำลังหมายความว่าคนพวกนั้นมีผู้ติดตามเป็นผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ระดับเหนือล้ำงั้นเหรอ? นี่เจ้าแน่ใจรึเปล่าว่าไอ้คนพวกนี้มันเป็นคนที่มาจากทะเลชางหมางจริง ๆ? แล้วมันไม่ใช่ว่าใครก็ตามที่อยู่เหนือระดับสวรรค์สามัญไม่สามารถอยู่ในทะเลชางหมางได้ไม่ใช่งั้นเหรอ? ไหนเจ้าลองแสดงภาพใบหน้าของกลุ่มคนเหล่านี้ให้กับทุกคนดูสิ!”
“น้อมรับบัญชา ฝ่าบาท!” ปู้ไป่เต๋ารีบฉายใบหน้าของหลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ที่เขาเห็นทั้งหมดให้คนในท้องพระโรงของอาณาจักรมังกรทะยานเห็นทันที
เมื่อภาพของหลิงตู้ฉิงถูกฉายขึ้น หลายคนก็มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจและอุทานขึ้นพร้อมกัน ๆ “เป็นคนพวกนั้นงั้นเหรอ!?”