พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 479 ขอบเขตประสานทะเลปราณระดับสิบสาม
หลิงตู้ฉิงส่งหุ่นที่ผ่านการปรับแต่งแล้วให้หยวนต้าตง และสั่งว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าจงเข้าใจเอาไว้ก่อนว่าหุ่นเชิดตัวนี้ไม่ใช่สมบัติวิเศษและก็ไม่เชิงว่ามันจะเป็นหุ่นเชิดซะทีเดียว พวกเจ้าจะคิดว่ามันเป็นสิ่งของปริศนาที่พวกเจ้าไม่รู้จักก็ได้ ซึ่งวิธีการใช้งานมันก็แค่เพียงใช้พลังวิญญาณของพวกเจ้าเพื่อขับเคลื่อนมัน ซึ่งมันก็จะสามารถสำแดงความแข็งแกร่งของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตนภาครามได้”
“อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าจะต้องเข้าใจด้วยว่าความแตกต่างในระดับการบ่มเพาะระหว่างพวกเจ้าและหุ่นเชิดตัวนี้นั้นมีมากเกินไป ดังนั้นด้วยพลังวิญญาณระดับนักบุญของพวกเจ้า พวกเจ้าจะสามารถทำให้มันสู้ได้อย่างมากก็ไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น”
“หรือถ้าจะให้ข้าพูดตรง ๆ แล้ว ไอ้สิ่งนี้มันเป็นเพียงตัวช่วยชั่วคราวของพวกเจ้าเพียงเท่านั้น หากพวกเจ้าต้องการที่จะอยู่บนโลกนี้ได้อย่างปลอดภัยตลอดไป พวกเจ้าจะต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวพวกเจ้าเองโดยการตั้งใจฝึกฝนบ่มเพาะ และเมื่อพูดถึงการบ่มเพาะแล้วข้าจะถ่ายทอด ‘วิชาวิญญาณมรกต’ ให้กับพวกเจ้าก็แล้วกัน!”
“แต่หลังจากที่ข้าถ่ายทอด ‘วิชาวิญญาณมรกต’ ให้พวกเจ้าแล้ว ข้าจะถือว่าการแลกเปลี่ยนของเราเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งมันหมายถึงความสัมพันธ์ทุกอย่างของเราจะต้องจบลงทันที ดังนั้นในอนาคตจงอย่าอ้างชื่อของพวกข้าในการทำสิ่งใด ๆ มิฉะนั้นอารามนวดาราของพวกเจ้าจะได้เผชิญกับหายนะใหญ่”
หยวนต้าตงและหวางหมิงหยวนพูดทันที “ผู้อาวุโส พวกเราจะไม่พูดอะไรออกไปแน่นอน”
อันที่จริงพวกเขาเองก่อนหน้านี้ก็อยากยืมชื่อของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ไปใช้เอาตัวรอดในสถานการณ์จวนตัวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเช่นกัน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเตือนถึงขนาดนี้แล้วพวกเขาก็ได้แต่ทำใจล้มเลิกความคิดนั้นไป
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ถ่ายทอดเคล็ดวิชาวิญญาณมรกตให้กับเหล่าคนของอารามนวดาราทั้งหมดที่ยืนอยู่รอบ ๆ จนเสร็จ จากนั้นเขาจึงพูดว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าจงไปจัดการเรื่องของพวกเจ้าเองได้แล้ว พวกข้าจะออกไปทันทีที่โม่เอ๋อทะลวงระดับสำเร็จ! อ๋อ จงคัดลอกแผนที่ของอาณาเขตใกล้เคียงสำนักพวกเจ้าให้ข้าด้วย”
เมื่อได้ฟังหลิงตู้ฉิงกล่าวจบ บรรดาผู้คนของอารามนวดาราก็พยักหน้าและเดินออกไปแยกย้ายกันทำหน้าที่พวกเขาเอง ทิ้งให้หวางหมิงหยวนและผู้อาวุโสอีกคนไว้คอยติดตามรับใช้หลิงตู้ฉิงและคนของเขา
ในตอนนี้พวกเขามีทั้งค่ายกลป้องกันสำนักที่แข็งแกร่ง หุ่นเชิดที่แข็งแกร่ง เคล็ดวิชาการบ่มเพาะใหม่และโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งในเมื่อตอนนี้พวกเขาว่างแล้วมันก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะปลีกตัวไปศึกษาสิ่งที่พวกเขาพึ่งได้มาให้ละเอียดกว่าเดิม
ในอีกด้านหนึ่ง หลิงตู้ฉิงที่ไม่ได้สนใจอะไรอารามนวดาราอีกต่อไป ตอนนี่เขาเอาแต่เฝ้ารอให้โม่เอ๋อทะลวงระดับนักบุญให้สำเร็จอย่างเงียบ ๆ
โม่เอ๋อได้กลืนโอสถเข้าไประยะหนึ่งแล้ว ซึ่งมันส่งผลให้พลังวิญญาณของนางในตอนนี้เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆๆ
หลังจากนั้นอีกหนึ่งวัน กลิ่นอายของโม่เอ๋อที่ปล่อยออกมาจากร่างก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ซึ่งทุกคนต่างสัมผัสได้ว่ามันแข็งแกร่งกว่าเดิม และนี่ก็หมายถึงว่านางได้บรรลุเข้าสู่ระดับนักบุญเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตอนนี้เหลือแต่ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการต้านทัณฑ์สวรรค์ของนางเอง
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “โม่เอ๋อ เจ้าจงใช้ทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังจะมาถึงนี้ขัดเกลาร่างกายและอาณาเขตสวรรค์ของเจ้าซะ แล้วหลังจากที่เจ้าผ่านทัณฑ์สวรรค์นี้ไปได้มันจะถือว่าเจ้าได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญอย่างเต็มตัว”
เมื่อได้ยินคำสั่งของหลิงตู้ฉิง โม่เอ๋อไม่ได้ตอบกลับ แต่นางรีบเปิดอาณาเขตสวรรค์ของนางโดยใช้มันเพื่อต้านทานสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ ในขณะเดียวกันนางก็สลักความเข้าใจกฎของระดับนักบุญเอาไว้ในอาณาเขตสวรรค์ไปพร้อม ๆ กัน
“สามี โม่เอ๋อจะเป็นอะไรรึเปล่า?” เย่ชิงเฉิงถามด้วยความกังวล
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “นี่มันเป็นแค่เพียงทัณฑ์สวรรค์เล็ก ๆ เท่านั้นนางจะไปมีปัญหาอะไรได้ แต่ถ้านางไม่สามารถผ่านทัณฑ์สวรรค์นี้ได้จริง ๆ นางก็คงจะได้ไปกลับชาติมาเกิดใหม่น่ะนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง เย่ชิงเฉิงก็ถอนหายใจ “เฮ้อ…เป็นเพราะความน่ากลัวของทัณฑ์สวรรค์เช่นนี้ มันถึงทำให้มีคนจำนวนมากไม่กล้าที่จะทะลวงระดับไปยังระดับนักบุญ บ้างก็ถูกส่งไปเกิดใหม่ทันทีที่ต้านสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์ไม่ไหว แต่บ้างก็ถูกทำให้สลายหายไปเป็นเถ้าถ่าน…”
“มีแค่เพียงคนที่มีรากฐานการบ่มเพาะไม่มั่นคงเท่านั้นที่จะเผชิญกับสถานการณ์แบบนั้น” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น “ตราบใดที่รากฐานมั่นคง ไม่ว่าจะเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์แบบใดมันก็จะไม่มีปัญหาอะไรหรอก อันที่จริงนี่เป็นเพียงการทดสอบครั้งแรกเท่านั้นในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ ซึ่งในอนาคตมันจะมีการทดสอบที่รุนแรงมากกว่านี้อีกมากมายนับไม่ถ้วน!”
เย่ชิงเฉิงพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ นางจำกลุ่มคนที่นางเคยเห็นที่คฤหาสน์สราญรมย์ได้ ถ้าเป็นคนธรรมดาพวกเขาคงทะลวงเข้าสู่ขอบเขตรวมแสงดาราหรือแม้แต่ขอบเขตนภาไปนานแล้วหลังจากฝึกฝนได้หลายสิบปี แต่ในทางกลับกันคนในคฤหาสน์สราญรมย์กลับยอมเสียเวลาเวลาหลายสิบปีเพื่อสร้างรากฐานของพวกเขาให้มั่นคง
ซึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือ หลิงตู้ฉิง ที่ในตอนนี้มีระดับการบ่มเพาะแค่เพียงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 12 … หืม ? ระดับ 13 ?!
เย่ชิงเฉิงเพ่งมองไปที่หลิงตู้ฉิงอีกครั้ง และถามด้วยสีหน้างุนงงว่า “สามี นี่ท่านบรรลุระดับไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ก็ตอนหลังจากที่ข้าหลุดจากสภาวะหยั่งรู้นั่นล่ะ เผอิญข้าได้เข้าใจถึงอะไรบางอย่างเพิ่มเติม ข้าก็เลยสามารถบรรลุระดับไปเป็นขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 13 ”
เย่ชิงเฉิงทั้งดีใจและพูดไม่ออก
นางมีความสุขมากที่หลิงตู้ฉิงมีระดับการบ่มเพาะที่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่เมื่อนางคิดถึงเงื่อนไขการบ่มเพาะของหลิงตู้ฉิงแล้วนางก็รู้สึกสลดใจ
ความลึกล้ำของรากฐานการบ่มเพาะของหลิงตู้ฉิง เป็นสิ่งที่เย่ชิงเฉิงไม่เคยได้ยินมาก่อน
มันลึกล้ำซะจนนางเองก็จินตนาการไม่ออกเช่นกันว่าในอนาคตเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงไหน
หากเป็นคนธรรมดาทั่วไป การมีห้วงทะเลวิญญาณที่มีขนาดใหญ่เท่ากับทะเลสาบได้นั้นมันก็นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมแล้ว แต่ตอนนี้หลิงตู้ฉิงกลับมีห้วงทะเลวิญญาณที่กว้างใหญ่จนแทบจะไร้ขอบเขต!
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ามันจะทำให้เขาแข็งแกร่งมากขึ้น แต่มันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หลิงตู้ฉิงสูญเสียความเร็วในการบ่มเพาะไปเช่นกัน
ซึ่งสิ่งนี้มันขัดกับความต้องการของนาง ที่ต้องการให้หลิงตู้ฉิงเพิ่มระดับการบ่มเพาะโดยเร็วที่สุดเพื่อไปช่วยพ่อของนาง
ในขณะที่พวกเขาสองคนกำลังสนทนากัน โม่เอ๋อก็ผ่านพ้นทัณฑ์สวรรค์ได้เรียบร้อย ซึ่งตอนนี้นางก็ได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญอย่างเต็มตัว
เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการทะลวงระดับทั้งหมด โม่เอ๋อก็ยกเลิกทักษะอาณาเขตสวรรค์ของนางและกระโดดมายืนอยู่ข้างหน้าหลิงตู้ฉิงกับเย่ชิงเฉิงอย่างมีความสุข พร้อมกับพูดว่า “นายท่าน นายหญิง ตอนนี้ข้าอยู่ในระดับนักบุญแล้ว!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยและพูดว่า “เอาล่ะตอนนี้เจ้าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญธรรมดาทั่วไปอีกแล้ว นับจากนี้ตราบใดที่ไม่มีใครทำลายดวงจิตที่แท้จริงของเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องกลัวความตาย เพราะเจ้าสามารถกลับชาติมาเกิดและเริ่มต้นใหม่ได้ตลอดเวลา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โม่เอ๋อก็พูดอย่างโกรธ ๆ ว่า “นายท่านอย่าพูดเป็นลางสิ!”
นางเพิ่งทะลวงผ่านระดับนักบุญแท้ ๆ แต่เจ้านายของนางกลับพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับนางสามารถไปเกิดใหม่?
หลิงตู้ฉิงยิ้มและไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของโม่เอ๋อ เขาหันไปหาเสี่ยวเยว่เฟิงและหลงเฉิน แล้วพูดว่า “โม่เอ๋อผ่านทัณฑ์สวรรค์ของนางเรียบร้อยแล้ว ซึ่งอย่างที่ข้าเคยบอกว่าเราจะออกจากที่นี่กันทันที ส่วนพวกเจ้าสองคน พวกเจ้าไม่จำเป็นที่จะข่มระดับการบ่มเพาะของตัวเองอีกต่อไป หากเมื่อไหร่ที่พวกเจ้าสองคนคิดว่าสามารถทะลวงระดับไปยังระดับหลุดพ้นสามัญได้ พวกเจ้าก็จงทำซะเมื่อมีโอกาส มันค่อนข้างง่ายที่จะทะลวงระดับไปยังระดับหลุดพ้นสามัญ เพราะพวกเจ้ายังไม่ต้องเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์”
เสี่ยวเยว่เฟิงขมวดคิ้วและพูดด้วยสีหน้ากังวล “นายท่าน ข้ากังวลว่าหลังจากที่ข้าเลื่อนระดับแล้วข้าจะไม่สามารถเข้าสู่ทะเลชางหมางได้เมื่อข้ากลับไป”
หลิงตู้ฉิงยิ้ม “เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องกังวล เมื่อถึงเวลาที่เรากลับไป ข้าแน่ใจว่าในทะเลชางหมางจะมีคนที่อยู่ในระดับหลุดพ้นสามัญแล้วอย่างแน่นอน”
“อันที่จริงข้าเองก็ข่มระดับการบ่มเพาะเอาไว้นานมากแล้ว ถ้าข้าคิดว่าข้าจะทะลวงระดับเมื่อไหร่ ข้าจะบอกนายท่านให้ทราบอีกทีก็แล้วกัน!” เสี่ยวเยว่เฟิงยิ้มทันที
ทางด้านของหลงเฉินก็พยักหน้าเล็กน้อยเป็นสัญญาณโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
หลังจากนั้นทุกคนก็ขึ้นรถม้า ซึ่งหลงเฉินก็ลากรถม้าออกจากอารามนวดาราอย่างช้า ๆ