พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 481 หายนะโอสถในอดีต
คำถามของหลิงตู้ฉิงถึงกับทำให้เย่ชิงเฉิงหัวเราะอย่างขมขื่น “ท่านบอกว่าโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ไม่ยากที่จะหลอมงั้นเหรอ? สามี ปัจจุบันมีนักหลอมโอสถเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้นที่สามารถหลอมมันขึ้นมาได้ คุณสมบัติของผู้ที่มีความสามารถที่จะหลอมมันขึ้นมาก็มีแต่นักหลอมโอสถขอบเขตราชันขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งพวกเขาใช้ระดับการบ่มเพาะอันทรงพลังของพวกเขาในการหลอมมันขึ้นมา ส่วนนักหลอมโอสถระดับต่ำกว่า แม้ว่าพวกเขาจะสามารถหลอมโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่อัตราความสำเร็จก็จะต่ำเป็นอย่างมาก ท่านลองคิดดู เอาแค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันปกติก็นับว่าหายากมากแล้ว แต่นี่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันที่มีความสามารถในการหลอมโอสถอีก ท่านคิดว่ามันจะมีน้อยลงไปสักแค่ไหนกัน?”
“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?” หลิงตู้ฉิงถามอีกครั้ง
เย่ชิงเฉิงส่ายหัวและตอบกลับด้วยสีหน้างุนงง “มันก็เป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่งั้นเหรอ?”
เย่หยูหลันที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ได้สักพักแล้ว จึงเอ่ยขึ้น “ข้าเคยได้ยินนายหญิงและนายท่าน(พ่อและแม่ของเย่ชิงเฉิง)พูดคุยกันมาก่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาเคยพูดคุยกันว่าในสมัยก่อนศาสตร์การหลอมโอสถนั้นเฟื่องฟูมาก แต่หลังจากที่สำนักโอสถนิรันดร์ถูกทำลายลงเมื่อราว ๆ 70,000 ถึง 80,000 ปีก่อน เต๋าแห่งการหลอมโอสถของโลกทั้งหมดก็ตกต่ำลงทันที”
“เนื่องจากเมื่อไม่มีสำนักโอสถนิรันดร์ให้การสนับสนุนแล้ว บรรดานักหลอมโอสถจำนวนมากต่างก็ถูกปล้นโดยสำนักต่าง ๆ ซึ่งในระหว่างเหตุการณ์นั้นมันส่งผลให้นักหลอมโอสถจำนวนมากเสียชีวิต”
“ดังนั้นบรรดานักหลอมโอสถที่เหลือรอดชีวิต ซึ่งมีจำนวนอยู่ไม่มากนักต่างก็พากันไม่กล้าหลอมโอสถต่ออีก เนื่องจากกลัวว่าตัวตนนักหลอมโอสถของตนเองจะถูกเปิดเผย”
“แล้วยิ่งซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ หลายครั้งที่เหตุผลที่เหล่าสำนักทั้งหลายไล่ล่าสังหารเหล่านักหลอมโอสถนั้นก็ไม่ใช่แค่เพียงเพราะจะแย่งชิงโอสถเท่านั้น แต่รวมไปถึงเหตุผลที่พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องการที่จะให้สำนักคู่ปรับของตนเองได้ตัวเหล่านักหลอมโอสถไปเพราะมันจะทำให้สำนักคู่ปรับของตนเองได้เปรียบ ซึ่งในบางทีนักหลอมโอสถบางคนถูกสังหารลงทันทีเมื่อถูกพบตัวเลยด้วยซ้ำ”
“นี่จึงเป็นเหตุผลที่มาว่าทำไมในปัจจุบันจึงมีนักหลอมโอสถและสูตรโอสถโบราณรวมไปถึงวิธีการหลอมหลงเหลืออยู่น้อยมาก เหตุการณ์นี้เรียกได้ว่าเป็นหายนะของนักหลอมโอสถโดยแท้”
“แต่หลังจากหายนะครั้งนั้น ด้วยการที่จำนวนโอสถมากมายได้หายไปจากท้องตลาดเพราะไม่มีใครกล้าหลอมโอสถ หลายสำนักที่เริ่มรู้ว่าตนเองได้ทำผิดพลาดเพราะพวกเขาเองก็เริ่มได้รับผลกระทบจากการที่ไม่มีโอสถจะใช้ก็เริ่มเปลี่ยนท่าที พวกเขาต่างคิดกันได้ว่าหากเรื่องราวนี้ยังคงดำเนินต่อไป ในอนาคตโอสถต่าง ๆ ก็คงจะหายไปหมดจากโลกอย่างแน่นอน ดังนั้นบรรดาสำนักมหาอำนาจหลายสำนักจึงเริ่มประกาศเปลี่ยนแปลงจุดยืนของตนเองใหม่ พวกเขาต่างประกาศว่าพวกเขาจะทำการปกป้องนักหลอมโอสถทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ทั้งหมดและจะให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี”
“หากใครก็ตามที่กล้าสังหารนักหลอมโอสถโดยไม่มีเหตุอันควรจะถูกเหล่าสำนักมหาอำนาจเล่นงาน แต่มันก็เป็นที่น่าเสียดายที่กว่าทุกคนจะคิดได้ ทักษะและมรดกทางโอสถหลายอย่างก็ได้สูญหายไปแล้วตลอดกาล ไม่ว่าหลาย ๆ คนจะพยายามแก้ไขมันอย่างไรมันก็สายเกินไป”
“แต่ถึงเรื่องราวในอดีตจะเป็นเช่นนั้น หลังจากได้รับการพัฒนาต่อมาอีก 20,000 ถึง 30,000 ปี ศาสตร์การหลอมโอสถต่าง ๆ ก็เริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ 3,000 ปีก่อน เมื่อนักหลอมโอสถอัจฉริยะอย่าง เหยาเจิ้นเฟย ปรากฎตัวขึ้น ซึ่งเขาสามารถทำให้เต๋าแห่งการหลอมโอสถกลับมารุ่งเรืองยิ่งขึ้นได้อีกครั้ง จนเขาถูกขนานนามเอาไว้ว่า เทพโอสถ!”
“ไอ้คนพวกนั้นมันน่ารังเกียจจริง ๆ! พวกมันยังเป็นคนกันอยู่อีกรึเปล่าถึงได้ไปไล่ล่าเหล่านักหลอมโอสถที่ไม่มีความผิดใด ๆ เช่นนั้นได้ยังไง?” เปียนเฉียวเฉียวที่ฟังอยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาด้วยความขุ่นเคือง
เย่หยูหลันเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มที่บูดเบี้ยว “จริง ๆ แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทั้งหมดมันก็เป็นเพราะสำนักโอสถนิรันดร์ถูกทำลาย! เนื่องจากในอดีตด้วยการดำรงอยู่ของสำนักโอสถนิรันดร์ที่คอยสนับสนุนเหล่านักหลอมโอสถ มันจึงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะล่วงเกินเหล่านักหลอมโอสถเพราะหากใครกล้าล่วงเกินพวกเขา สำนักโอสถนิรันดร์จะตามเล่นงานคนผู้นั้นทันทีหรือไม่ก็อาจจะลามไปถึงสำนักของคนผู้นั้นที่จะถูกขึ้นบัญชีดำปฏิเสธการขายโอสถให้ แต่แล้วเมื่อหลังจากที่สำนักโอสถนิรันดร์ถูกทำลาย เมื่อไม่มีคอยคุ้มครองเหล่านักหลอมโอสถและโอสถทั้งหลายกลับกลายเป็นทรัพยากรที่หายาก มันจึงกลายเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภัยพิบัติเช่นนี้กับเหล่านักหลอมโอสถในภายหลัง”
หยุนจื่อรุ่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิ “ถ้างั้นก็หมายความว่าคนที่สมควรตายอย่างแท้จริงก็คือคนที่ทำลายสำนักโอสถนิรันดร์ใช่ไหม แล้วไอ้คนคนนั้นมันเป็นใครกัน? แต่คนที่สมควรตายแบบนั้นมันก็น่าจะถูกใครบางคนฆ่าไปแล้วใช่ไหม?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็อดไม่ได้ที่จะเหล่มองไปที่หยุนจื่อรุ่ย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
“ในเรื่องนั้นข้าไม่รู้” เย่หยูหลันส่ายหัว “ในตอนนั้นข้าก็ถามเรื่องนี้เหมือนกัน แต่นายท่านกับนายหญิงต่างก็บอกปัดไม่ให้ถามอะไรต่ออีก”
จากนั้นเย่หยูหลันก็มองไปที่หลิงตู้ฉิง และพูดว่า “ท่านเขย ข้าคิดว่าท่านน่าจะเป็นหนึ่งในบุคคลที่เคยอยู่ในยุคก่อนหายนะของนักหลอมโอสถใช่ไหม? ข้าอยากจะขอเตือนท่านให้ระวังสักหน่อยเรื่องทักษะการหลอมโอสถของท่าน ข้ากังวลว่าหากใครคนอื่นรู้ว่าท่านมีทักษะการหลอมโอสถเช่นนี้แล้ว ด้วยความโลภของพวกเขา ท่านอาจจะมีปัญหาใหญ่ตามมาได้”
แม้ว่าที่ผ่านมาเย่หยูหลันจะไม่ช่วยแก้ปัญหาให้กับหลิงตู้ฉิง แต่มันก็ไม่ใช่ว่านางจะไม่กังวลในความปลอดภัยของเขา แล้วยิ่งในตอนนี้ที่เขามีระดับการบ่มเพาะแค่เพียงขอบเขตประสานทะเลปราณแต่กลับหลอมโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ แม้ว่าเขาจะมีค่ายกลกระบี่เหินเมฆาไว้คอยปกป้อง แต่ถ้าเรื่องนี้มันล่วงรู้ไปถึงหูพวกสำนักมหาอำนาจอื่น ๆ สำนักเหล่านั้นคงจะส่งตัวตนระดับสูงของสำนักมาหาเขาอย่างแน่นอน ซึ่งในเวลานั้นต่อให้เขาจะใช้ค่ายกระบี่ เย่หยูหลันก็คิดว่ามันคงไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก
เย่หยูหลันที่เห็นว่าหลิงตู้ฉิงฟังนางแต่ยังคงทำท่าทีเฉยเมย นางจึงพูดต่อ “ท่านเขย ก่อนหน้านี้ที่อารามนวดารา ผู้คนของอารามนวดาราคงไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ว่ามันร้ายแรงเพียงใด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ แต่ถ้าหากของพวกเราที่ช่วยพวกเขาถูกค้นพบโดยผู้คนของสำนักมหาอำนาจอื่น ๆ พวกเขาคงตกอยู่ในอันตรายและแน่นอนว่าตัวนายท่านเองก็เช่นกัน”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเข้าใจ ซึ่งในตอนนี้เขารู้แล้วว่าเรื่องราวต่าง ๆ มันมีที่มาอย่างไร
“สามี เราควรส่งคนกลับไปยังอารามนวดาราเพื่อเตือนพวกเขาไม่ให้พูดเรื่องของเราดีไหม?” เย่ชิงเฉิงรีบเอ่ยขึ้น
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่เป็นไร มันไม่สำคัญอะไรหรอก”
จากนั้นหลิงตู้ฉิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงหยิบโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำออกมา และโยนให้กับเย่หยูหลัน “แลกเปลี่ยนกับข้าด้วยราคาที่เจ้าคิดว่าเหมาะสม ข้ารู้ว่าเจ้าใกล้จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภาครามได้แล้ว ดังนั้นแค่ใช้โอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำมันก็เพียงพอที่จะทำให้เจ้าทะลวงไปได้สำเร็จ แต่จงอย่าเพิ่งบุกทะลวงตอนนี้เพราะนี่ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเจ้ายังไม่พร้อมที่จะเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ได้!”
ด้วยเหตุผลบางอย่างจู่ ๆ เขาก็คิดว่าเขาควรมอบโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ให้เย่หยูหลัน
เย่หยูหลันพูดอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณ ท่านเขย เอ๊ะไม่สิ! นายท่าน! ข้าขอขอบคุณนายท่าน! ในแหวนมิติของข้ามีวัสดุอยู่เป็นจำนวนมาก ข้าจะเอาแต่ของจำเป็นที่ข้าต้องใช้มันในการทะลวงขอบเขตออกมาเก็บไว้กับตัว ส่วนที่เหลือข้าขอมอบให้กับท่านหมดเลย! ข้าแน่ใจว่าวัสดุทั้งหลายที่อยู่ในนั้นจะเป็นประโยชน์อย่างมากกับท่านแน่นอน”
เย่หลูหลันรู้สึกดีใจอย่างสุดซึ้ง นางรู้ดีว่าถ้านางไปซื้อโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์จากที่อื่น นางจะต้องจ่ายในราคาสูงลิบลิ่ว ซึ่งนางอาจจะไม่ได้มันมาด้วยซ้ำ
ดังนั้นเมื่อหลิงตู้ฉิงเต็มใจที่จะมอบให้กับนาง นางจึงคว้าโอกาสนี้ไว้อย่างไม่ลังเล
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยและรับแหวนมิติมาจากเย่หยูหลัน
วัสดุจำนวนมากเหล่านี้หากมาอยู่ในมือของเขาแล้ว แน่นอนว่าเขาสามารถทำให้พวกมันมีประโยชน์ได้ทั้งหมด
แต่เมื่อเขานึกถึงสิ่งที่เขาเพิ่งได้ฟัง หลิงตู้ฉิงก็เริ่มไตร่ตรองดูและคิดว่าต่อไปนี้มันจะต้องมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาต้องเปลี่ยนแปลง
ขณะที่เขากำลังถลำลึกอยู่ในห้วงความคิด หลงเฉินก็ลากรถม้ามาถึงเหวมรณะอีกแห่งและหยุดลง
“นายท่าน เรามาถึงเหวมรณะแล้ว!” เสี่ยวเยว่เฟิงเตือนเขา
พวกเขากำลังรอให้หลิงตู้ฉิงเปิดใช้งานค่ายกลกระบี่เหินเมฆา มิฉะนั้นมันจะเป็นเรื่องยากที่จะผ่านเหวมรณะที่แบ่งกั้นระหว่างอาณาเขต
เมื่อได้ยินการเตือนของหลงเฉิน หลิงตู้ฉิงก็หยุดความคิดของเขาเองและเปิดใช้งานค่ายกลกระบี่เหินเมฆาเพื่อปกป้องรถม้า
หลังจากที่ค่ายกลกระบี่ได้ถูกขัดเกลาโดยทัณฑ์สวรรค์ที่อารามนวดารา พลังของกระบี่บินทั้งหมดก็เพิ่มขึ้น
ภายใต้การปกป้องของค่ายกลกระบี่เหินเมฆา ทุกคนก็ผ่านเหวมรณะได้อย่างราบรื่นและบินไปยังอาณาเขตถัดไป
เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 2 ปี ทุกคนก็ได้เดินทางผ่านไป 5 อาณาเขตแล้ว ซึ่งในตอนนี้พวกเขาก็เหลืออีกเพียงแค่อาณาเขตเดียวที่จะต้องผ่านไปก็จะไปถึงอาณาเขตสุสานกระบี่
อาณาเขตสุดท้ายที่ต้องผ่านนี้มีชื่อว่า อาณาเขตวิญญาณโลหิต!
เมื่อเข้ามายังอาณาเขตวิญญาณโลหิต หลิงตู้ฉิงก็สั่งให้หลงเฉินหยุดลงทันทีเพราะตัวเขานั้นเคยมาที่นี่มาก่อน!