พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 482 ตัดสินข้อพิพาท
ในที่สุด หลิงต็ฉิงก็ได้พบกับอาณาเขตที่เขาคุ้นเคย เขาจึงสั่งให้หลงเฉินหยุดทันที
“ลองบินไปรอบ ๆ หาผู้คนเพื่อสอบถามสถานการณ์ในอาณาเขตวิญญาณโลหิต!” หลิงตู้ฉิงออกคำสั่ง
หลงเฉินพยักหน้าแสดงความเข้าใจ จากนั้นก็เริ่มออกบินอีกครั้งทันที ซึ่งไม่นานพวกเขาก็เห็นกลุ่มใหญ่อยู่ด้านล่างที่พื้นดิน
หลังจากบินขึ้นเข้าไปใกล้ขึ้น พวกเขาก็พบว่ามันคือคนสองกลุ่มที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่
ระดับการบ่มเพาะของทั้งสองกลุ่มที่กำลังเผชิญหน้ากันนั้นไม่ได้สูงมากนัก คนที่มีระดับการบ่มเพาะสูงที่สุดนั้นอยู่ในระดับแค่เพียงระดับสวรรค์สามัญ ซึ่งเทียบเท่ากับระดับการบ่มเพาะของเสี่ยวแยว่เฟิงและหลงเฉิน
เมื่อเห็นมังกรลากรถม้าเข้ามาทั้งสองฝ่ายก็ตกตะลึง
“ผู้อาวุโส…เอ่อ…ไม่สิ…พี่ชาย…” หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญมองไปที่หลงเฉินอย่างอาย ๆ และไม่รู้ว่าจะใช้คำเรียกนำหน้าหลงเฉินว่าอย่างไรดี เห็นได้ชัดว่าหลงเฉินเป็นคนรับใช้ ซึ่งมันก็เหมือนจะไม่ถูกต้องที่จะเรียกเขาว่าผู้อาวุโส ตรงกันข้ามการเรียกเขาว่าพี่ชายก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ความคิดที่ดี
“เฟิง เรียกให้ผู้นำของทั้งสองกลุ่มเข้ามาหาข้า” หลิงตู้ฉิงออกคำสั่ง
เสี่ยวแยว่เฟิงพยักหน้าและหันไปพูดกับผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญของทั้งสองฝ่าย “พวกเจ้าทั้งสองคนเข้ามาตรงนี้ นายท่านของข้าต้องการคุยกับพวกเจ้า”
ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญทั้งสองต่างมองหน้ากันและเห็นความหวาดกลัวในดวงตาของกันและกัน ใครอยู่ในรถม้า? ผลของการเข้าไปหาคืออะไร?
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่ารถม้าถูกลากด้วยมังกร ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะหนี พวกเขาทำได้แต่ค่อย ๆ เดินเข้าไปในรถม้าด้วยความหวาดกลัว
หลิงตู้ฉิงที่นั่งอยู่ในรถม้ายิ้มและพูดว่า “เหตุผลที่ข้าเรียกพวกเจ้ามาหาก็เพราะจะสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลของอาณาเขตวิญญาณโลหิต ข้าไม่ได้มีเจตนาอื่น”
“ท่านต้องการรู้อะไร?” หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญถาม
“พวกเจ้าทุกคน…” เดิมทีหลิงตู้ฉิงอยากจะถามคำถามตรง ๆ แต่เมื่อเขานึกถึงคำพูดของหญิงสาวในยันต์สั่งสวรรค์เกี่ยวกับที่เขาไม่เคยรู้จักชื่อทาสกระบี่ เขาจึงส่ายหัวกับตัวเองและถามขึ้นใหม่ว่า “เจ้าชื่ออะไร?”
เมื่อได้เห็นการแสดงออกแปลก ๆ ของหลิงตู้ฉิง ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญทั้งสองก็งุนงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ตอบด้วยความเคารพตามลำดับ “ข้าชื่อ ลั่วต๋า! ข้าชื่อ เหวยชี่หมิง!”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “เมืองวิญญาณโลหิตยังตั้งอยู่ที่เดิมรึเปล่า?”
เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของอาณาเขตวิญญาณโลหิต และเขาก็ไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับโลกปัจจุบัน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดไหน อย่างไรก็ตามเขาจำได้ว่าเมืองวิญญาณโลหิตเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเขาจึงถามถึงมันขึ้นมาก่อน
เหวยชี่หมิงรีบพยักหน้าและพูดว่า “คุณชาย เมืองวิญญาณโลหิตยังคงอยู่ที่เดิมตั้งแต่สมัยโบราณกาล เมืองวิญญาณโลหิตเป็นเมืองหลักของอาณาเขตวิญญาณโลหิตของเรามาโดยตลอด แม้ว่าจะมีการผลัดเปลี่ยนผู้ที่ครอบครองมันมาแล้วหลายคนก็ตาม ปัจจุบันมันยังคงเฟื่องฟูเหมือนแต่เก่าก่อน”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย หากเมืองวิญญาณโลหิตยังคงอยู่ที่เดิมนั่นก็หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่นี่ก็ไม่ได้มีมากสักเท่าไหร่
ลั่วต๋าพูดเสริมอย่างเร่งรีบจากด้านข้าง “คุณชายที่ตั้งเก่าของสำนักวิญญาณโลหิตก็ยังคงอยู่ด้านข้างเมืองวิญญาณโลหิตเช่นเดิม มันยังไม่มีใครสามารถเข้าไปครอบครองได้ ดังนั้นมันจึงมักมีผู้คนจำนวนมากไปที่นั่นเพื่อแสวงหาโชคที่นั่นอยู่ตลอด มันส่งผลทำให้เมืองวิญญาณโลหิตมีผู้คนมากหน้าหลายตาแวะเวียนกันเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ เป็นจำนวนมาก”
เย่ชิงเฉิงที่ได้ฟังทุกอย่างมาตลอด นางพูดเสริมจากด้านข้างว่า “สามี ข้าเคยได้ยินเรื่องสำนักวิญญาณโลหิตมาก่อน ว่ากันว่ามันเคยเป็นสำนักมหาอำนาจมาก่อน”
“ท่านหญิงพูดถูก!” เหวยชี่หมิงรีบตอบ “อย่างไรก็ตาม สำนักวิญญาณโลหิตถูกทำลายเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงทั้งหมดถูกฆ่าตาย มหาวิถีเต๋าของสำนักถูกทำให้เสียหายและเหล่าบรรพบุรุษก็สาบสูญ เป็นผลให้บรรดาศิษย์ของสำนักวิญญาณโลหิตทั้งหมดได้แต่อยู่อย่างหลบซ่อน ๆ ไม่กล้าปรากฏตัวขึ้นแก่โลกภายนอก และถึงแม้ว่ามันจะเป็นเวลาผ่านมากว่าหกถึงเจ็ดหมื่นปีแล้วที่สำนักวิญญาณโลหิตถูกทำให้ตกต่ำ แต่เนื่องจากพลังที่ผนึกสำนักไว้ยังคงอยู่ บรรดาทายาทของสำนักวิญญาณโลหิต จึงยังคงไม่มีใครที่สามารถกอบกู้สำนักขึ่นมาใหม่ได้”
“ส่งผลให้ตอนนี้สำนักวิญญาณโลหิตได้กลายเป็นสถานที่ที่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากจากทั่วโลกแวะเวียนกันเข้ามาแสดวงหาโชคลาภจากเศษซากของสำนักที่หลงเหลืออยู่ เพราะในสถานที่นี้มันยังคงมีมรดกต่าง ๆ ของสำนักที่ยังเหลืออยู่ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์วิชาต่าง ๆ รวมไปถึงสมบัติอีกมากมายที่ถูกทิ้งไว้ในซากปรักหักพัง”
โม่เอ๋อถอนหายใจจากด้านข้าง “ขนาดสำนักมหาอำนาจยังถูกทำลายเช่นนี้… ใครกันที่มีความสามารถถึงกับทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้? คนผู้นั้นช่างน่ากลัวจริง ๆ”
ลั่วต๋าส่ายหัวและพูดว่า “แม่หนู ถ้าเจ้าได้ลองไปที่ซากของสำนักวิญญาณโลหิต เจ้าจะบอกได้ทันทีเลยว่าสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับสำนักนี้นั้นโหดร้ายเป็นอย่างมาก ข้าเคยไปที่นั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งนับตั้งแต่นั้นข้าก็ยังไม่กล้าเข้าไปอีก และที่สำคัญหากเจ้าเคยได้ยินชื่ออาณาเขตสุสานกระบี่อยู่ข้าง ๆ เทพกระบี่ผู้ที่ถูกฝังอยู่ที่นั่นก็คือหนึ่งในผู้ที่ทำลายสำนักวิญญาณโลหิต ในปัจจุบันมันยังคงมีหลักฐานที่ถูกทิ้งไว้อย่างชัดเจนในซากปรักหักพังของสำนักวิญญาณโลหิต ซึ่งก็คือรอยแยกที่เกิดจากกระบี่ที่เทพกระบี่ทิ้งไว้ แม้จะผ่านไปหลายปีแล้วแต่เจตจำนงแห่งกระบี่ก็ยังคงไม่ดับลง เมื่อเจ้าและนายท่านของเจ้าได้เห็นมันแล้วก็จะเข้าใจ”
‘นี่ท่านเป็นผู้ทำลายสำนักวิญญาณโลหิตงั้นเหรอ?’ เย่ชิงเฉิงและโม่เอ๋ออดไม่ได้ที่จะคิดในใจพลางเหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิง
แต่หลิงตู้ฉิงจะเป็นเทพกระบี่หรือไม่ พวกนางเองก็ยังไม่รู้แน่ชัด!
แต่ว่าอะไรคือเหตุผลของการหยุดที่เมืองวิญญาณโลหิตอย่างกะทันหัน?
หลิงตู้ฉิงไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงหยิบโอสถวิญญาณบริสุทธิ์สองเม็ดออกมา จากนั้นเขาจึงมอบพวกมันให้กับทั้งสองและพูดว่า “นี่คือรางวัลของพวกเจ้า เอาล่ะ ออกไปได้แล้ว ข้าจะได้มุ่งหน้าไปที่เมืองวิญญาณโลหิตต่อจากนี้”
ลั่วต๋าและเหวยชี่หมิงรีบรับโอสถวิญญาณบริสุทธิ์มาอย่างมีความสุข แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ลั่วต๋าก็พูดกับหลิงตู้ฉิง “คุณชาย มันจะเป็นการรบกวนท่านเกินไปไหม หากข้าอยากให้ท่านช่วยตัดสินความขัดแย้งของพวกเรา…พวกของข้าเป็นกลุ่มแรกที่ค้นพบเหมืองหยกมรกตนี้ แต่เหวยชี่หมิงกลับมาบอกว่าคนของพวกเขาก็ค้นพบเหมืองหยกมรกตนี้เช่นกัน และเขายังอ้างว่ามันเป็นของพวกเขา…”
เหวยชี่หมิงยังพูดอย่างรวดเร็วว่า “คุณชาย คนของเราค้นพบเหมืองในเวลาเดียวกันกับพวกเขา ข้าได้เสนอเงื่อนไขกับพวกเขาไปอย่างชัดเจนแล้วว่าให้เราแบ่งเหมืองกัน แต่ลั่วต๋ายืนกรานที่จะผูกขาดมัน ซึ่งแน่นอนว่าข้าย่อมยอมไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้ข้าขอวิงวอนให้คุณชายช่วยตัดสินเรื่องนี้ให้กับเราด้วย!”
สาเหตุที่พวกเขาทั้งสองนำศิษย์ของสำนักมาเผชิญหน้ากันก็เป็นเพราะเหมืองหยกมรกต
จริง ๆ แล้วพวกเขาเองก็ไม่อยากสู้กันสักเท่าไหร่เพราะไม่ว่าใครจะชนะมันก็จะมีแต่ความสูญเสียทั้งนั้น อย่างไรก็ตามต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลที่ถูกต้องของตนเอง ซึ่งหากพวกเขาจะเถียงกันเรื่องนี้มันก็คงไม่มีใครยอมใครแน่นอน แต่ในที่สุดตอนนี้พวกเขาก็ได้พบคนที่เป็นกลางที่ดูแล้วมีสถานะที่เหมาะสมพอจะตัดสินเรื่องนี้ให้กับพวกเขาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงขอให้หลิงตู้ฉิงเป็นผู้ตัดสิน
หลิงตู้ฉิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เรื่องแบบนี้การตัดสินปัญหาขัดแย้งให้กับคนอื่นมันก็เป็นเรื่องใหม่เกินไปสำหรับเขาเช่นกัน
ตั้งแต่เขาเกิดมาเขาไม่เคยสนใจเรื่องแบบนี้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อมองไปที่ทั้งสองคนที่เถียงกันต่อหน้าเขา หลิงตู้ฉิงก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าคิ้วขมวด “เรื่องของพวกเจ้า พวกเจ้าจงไปแก้ปัญหากันเอง แต่ข้าสามารถยืนยันได้ว่าพวกเจ้าทั้งคู่ไม่มีใครโกหก! โม่เอ๋อเชิญพวกเขาออกไป”
“รับทราบ นายท่าน!” โม่เอ๋อหัวเราะ
นางโบกมือและส่งผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญทั้งสองออกจากรถม้า
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังระดับนักบุญจากโม่เอ๋อ ลั่วต๋าและเหวยชี่หมิงที่ทะเลาะกันก็หยุดพูดและมองไปที่หลิงตู้ฉิงกับคนอื่น ๆ ด้วยสายตาตกตะลึงพร้อมกับค่อย ๆ เดินออกไปจากรถม้า
อันที่จริงในตอนแรกพวกเขาก็ประเมินคนในรถม้าไว้สูงอยู่แล้ว แต่ใตอนนี้พวกเขาเองก็ไม่คิดว่าจะคนในรถม้ากลับมีสาวรับใช้ที่อยู่ในระดับนักบุญอีกต่างหาก!
หลังจากออกมาจากรถม้าได้สักพัก ทั้งสองคนก็กลับมามีสติ จากนั้นเหวยชี่หมิงก็เป็นคนเริ่มพูดก่อน “เห็นไหม คุณชายในรถม้ายืนยันแล้วว่าคำพูดของข้าไม่ได้โกหก! เหมืองหยกมรกตนี้ควรได้รับการขุดร่วมกันโดยสองตระกูลของเรา ตาเฒ่าลั่ว อย่าดึงดันที่จะผูกขาดมันอีกเลย!”
ลั่วต๋าตอบกลับด้วยสีหน้าซับซ้อน “เอาล่ะ ถึงแม้ข้าจะไม่เชื่อเจ้า แต่ข้าเชื่อในตัวคุณชายท่านนั้น จากนี้ไปตระกูลของพวกเราจะร่วมมือกันเพื่อขุดหยก”
เหวยชี่หมิงยิ้มและพูดว่า “ถ้าเราร่วมมือกันตั้งแต่แรกเริ่มป่านนี้พวกเราก็คงรวยกันไปนานแล้ว!”
ลั่วต๋าส่ายหัว “ก็อยู่ดี ๆ เจ้าก็มาบอกว่าจะแบ่งเหมืองหยกกับข้าแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะยอมตกลงง่าย ๆ ได้ยังไงกันเล่า? เอาล่ะเรามาพูดถึงข้อตกลงและจากนั้นก็เริ่มให้เหล่าศิษย์มาช่วยกันขุดมันก็แล้วกัน หลังจากจบเรื่องนี้ ข้าว่าข้าจะเดินทางไปที่เมืองวิญญาณโลหิตสักหน่อย”
“ข้าเองก็อยากไปที่เมืองวิญญาณโลหิตเช่นกัน เอาแบบนี้ไหม? เราร่วมเดินทางไปด้วยกันจะดีกว่า เผื่อเกิดปัญหาอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้เจ้าว่าดีไหม?” เหวยชี่หมิงเอ่ยถามขึ้น
ลั่วต๋าพยักหน้าเล็กน้อยเห็นด้วยกับคำพูดของเหวยชี่หมิง
ไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองคนก็เตรียมการเสร็จสิ้น และบินไปยังเมืองวิญญาณโลหิต