พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 484 อาวุธอันยอดเยี่ยม
กานจู่ซ่าน และคนของเขาบางคนที่ได้รับบาดเจ็บหลายคนเดินเข้าสู่เมืองวิญญาณโลหิตอย่างหยิ่งผยองภายใต้การจ้องมองของคนจำนวนมาก
ด้วยอาการบาดเจ็บของพวกเขา มันทำให้ทุกคนต่างสงสัยว่าพวกเขาบาดเจ็บจากผนึกป้องกันต่าง ๆ ที่อยู่ในซากปรักหักพัง หรือเกิดจากการที่พวกเขาปะทะกับผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านใน
หลังจากที่กลุ่มของกานจู่ซ่านเข้ามาในเมืองแล้ว อีกกลุ่มหนึ่งที่มีผู้บาดเจ็บเช่นกันก็ได้เดินตามเข้ามาพร้อมกับที่จ้องมองไปที่กลุ่มของกานจู่ซ่านด้วยสายตาริษยา
ในระหว่างที่กลุ่มของกานจู่ซ่านเดินไปข้างหน้าผ่านกลุ่มของหลิงตู้ฉิงอย่างช้า ๆ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกแปลก ๆ และอดไม่ได้ที่จะมองไปที่หลิงตู้ฉิง
เปียนเฉียวเฉียวรอจนกระทั่งกานจู่ซ่านอยู่ห่างออกไปก่อนที่นางจะพูด “ผู้ชายคนนี้มีเจตจำนงฆ่าที่รุนแรง เขาทำให้ข้ากลัวจริง ๆ”
เย่ชิงเฉิงพยักหน้า “สามี ระดับการบ่มเพาะของคนผู้นี้แข็งแกร่งพอสมควร ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงสามารถหา วิชามหาเวทย์สูบโลหิต เจอข้างในนั้น”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ในระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งก็ถือว่าไม่เลว ส่วนเรื่องที่เขาเจอวิชามหาเวทย์สูบโลหิตนั้น…อันที่จริงมันก็คงมาจากตัวเขาเองนั่นล่ะ เพราะวิชาที่เขาบ่มเพาะอยู่มันก็คือ วิชามหาเวทย์สูบโลหิต เหมือนกัน”
“หืม? นี่ท่านหมายความว่าเขาหลอกทุกคนว่าหาเจองั้นเหรอ? เขาทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกัน?” เย่ชิงเฉิงถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบว่า “เขาคงจะเป็นศิษย์ของสำนักวิญญาณโลหิต ส่วนผู้คนที่เดินตามหลังเขาบางส่วนก็บ่มเพาะด้วยวิชาของสำนักวิญญาณโลหิตกันทั้งนั้น เหตุผลที่เขาทำเช่นนี้อาจเป็นเพราะสำนักวิญญาณโลหิตของพวกเขา คงกำลังอยากจะปรากฏตัวต่อโลกภายนอกอีกครั้ง เอาล่ะ ช่างเรื่องของพวกเขาไปก่อนเถอะ ตอนนี้พวกเราไปหาที่พักก่อนแล้วค่อยมาว่ากันอีกทีว่าจะไปทำอะไรต่อ”
แม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะเห็นศิษย์ของสำนักวิญญาณโลหิต แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย
สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเมื่อครั้งอดีตไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศิษย์สำนักวิญญาณโลหิตในปัจจุบัน
ดังนั้นการที่ศิษย์สำนักวิญญาณโลหิตในปัจจุบันจะดำเนินชีวิตกันอย่างไรต่อไป มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาตราบเท่าที่ไม่มายั่วยุเขา เขาก็ไม่สนใจอะไร
หลังจากนั้นไม่นาน หลิงตู้ฉิงก็พากลุ่มคนของเขาเดินมาถึงโรงเตี๊ยมที่อยู่ย่านใจกลางเมือง
เนื่องจากมีหญิงสาวที่ร่ำรวยอย่างเย่ชิงเฉิงอยู่ในกลุ่ม พวกเขาจึงสามารถพักที่โรงเตี๊ยมชั้นเลิศที่อยู่ในย่านกลางเมืองได้อย่างสบาย ๆ หรือต่อให้เย่ชิงเฉิงจะไม่มีเงิน หลิงตู้ฉิงก็มีทั้งเงินและสมบัติติดตัวอยู่มากมาย
จากนั้นทุกคนก็เดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม ซึ่งเสี่ยวเย่วเฟิงรับหน้าที่จัดการติดต่อจองห้องพัก ในขณะที่หลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ รออยู่ที่กลางห้องโถงรับแขก
“เอ๋? ผู้อา…อะแฮ่ม ๆ พี่ชาย! พี่สาว! เป็นพวกท่านจริง ๆ ด้วย! ไม่นึกเลยว่าข้าจะได้เจอพวกท่านที่นี่ นี่มันหยั่งกับสวรรค์อวยพรให้ข้าจริง ๆ!” เมื่อสิ้นเสียงพูดที่เอ่ยขึ้น ตงฟางจุนก็เดินมาถึงหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หลิงตู้ฉิงที่เห็นเขาก็ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “หืม? นี่เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ตงฟางจุนด้วยความสงสัยในใจ สำนักวิญญาณกระบี่ของไอ้หนูคนนี้ไม่ได้อยู่ใกล้กับอาณาเขตวิญญาณโลหิตสักเท่าไหร่ ดังนั้นทำไมเขาถึงมาโผล่ที่นี่ไม่ยอมปิดด่านบ่มเพาะหลังออกจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับอีก?
ทางด้านของเย่ชิงเฉิงก็มองไปที่ตงฟางจุนด้วยสายตางุนงง เพราะนางเคยเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อนเช่นกันตอนอยู่ในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ
“ตงฟางจุน นี่เจ้ารู้จักพวกเขางั้นเหรอ?” คนที่อยู่ข้างหลังตงฟางจุนถามอย่างสงสัย
ตงฟางจุนหันหน้ากลับไปแล้วพูดกับคนที่อยู่ข้างหลังเขา “ท่านปู่ พวกเราเจอกันตอนที่อยู่ในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ นี่มันบังเอิญมากจริง ๆ ที่ข้าได้พบพวกเขาที่นี่อีกครั้ง!”
ปู่ของตงฟางจุนมองไปที่หลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ แล้วพยักหน้า แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรและเดินตรงไปที่ห้องของเขา
เมื่อเห็นว่าคนของเขาจากไปกันหมดแล้ว ตงฟางจุนก็หัวเราะขึ้นและพูดกับหลิงตู้ฉิงเบา ๆ เพื่อไม่ให้คนอื่นได้ยิน “ผู้อาวุโส อันที่จริงเป็นเพราะท่านนั่นแหละที่ทำให้ข้ามาที่นี่ มันเป็นเพราะตอนที่เราอยู่ในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับและท่านได้ถ่ายทอดรูปแบบกระบี่ทั้งสามแบบนั้นให้ข้า จากนั้นเมื่อข้าออกมาและตระกูลของข้าได้ทราบเรื่องของกระบี่ทั้งสามที่ท่านถ่ายทอดให้ข้า พวกเขาก็ส่งข้ามาลองเสี่ยงโชคที่อาณาเขตสุสานกระบี่ที่อยู่ถัดจากอาณาเขตนี้ เพื่อดูว่าข้าจะสามารถเข้าใจกระบี่สี่ได้หรือไม่”
“แต่ว่าการเข้าไปทดสอบในสุสานกระบี่ของเทพกระบี่มันก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสของข้าจึงพาข้ามาที่สำนักวิญญาณโลหิตก่อน เพื่อทดสอบความสามารถเบื้องต้นเพราะพวกเขาได้ข่าวมาว่าในสำนักวิญญาณโลหิตนั้นมีรอยบากที่เทพกระบี่ได้ทิ้งเอาไว้ ซึ่งพวกเขาหวังให้ข้าเข้าใจเต๋าแห่งกระบี่ของเทพกระบี่จากรอยบากนั้นได้ ซึ่งถ้าข้าพอจะเข้าใจมันได้บ้างการไปรับการทดสอบที่สุสานกระบี่มันคงจะง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก ว่าแต่ผู้อาวุโส ท่านมาจากไหนงั้นเหรอหรือว่าท่านอาศัยอยู่ในอาณาเขตวิญญาณโลหิต?”
เมื่ออยู่ต่อหน้าคนของเขาเอง ตงฟางจุนไม่กล้าเรียกหลิงตู้ฉิงว่าผู้อาวุโสเพราะเขาต้องการซ่อนตัวตนที่แท้จริงของหลิงตู้ฉิง ไม่ให้ผู้อื่นสงสัยได้ว่าหลิงตู้ฉิงอาจเป็นคนที่ถ่ายทอดรูปแบบกระบี่ทั้งสามให้กับเขา เขาบอกกับคนสำนักเขาเพียงว่ามันเป็นทักษะที่เขาเรียนรู้มาจากในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับโดยบังเอิญ
ซึ่งทุกอย่างในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับล้วนแล้วแต่เป็นไปได้ ดังนั้นผู้คนของสำนักเขาจึงไม่สงสัยอะไร และยิ่งบวกกับที่เขาสำเร็จร่างกระบี่ เรื่องที่เขาบังเอิญบรรลุกระบี่ทั้งสามแบบจึงกล่ายเป็นยิ่งไม่น่าสงสัยเข้าไปใหญ่
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ตงฟางจุนและแอบส่งเสียงทางโทรจิตคุยกับเขา “ไม่ใช่ว่าเจ้ากลัวไม่อยากเรียนรู้กระบี่ที่สี่งั้นเหรอ? แล้วนี่เจ้าจะมาที่นี่ทำไมกันอีก?”
ตงฟางจุนหัวเราะและตอบกลับทางโทรจิตอย่างขมขื่น “ข้ากลัว แต่เนื่องจากผู้อาวุโสในสำนักของข้าบังคับให้ข้ามา ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น แต่ข้าเข้าใจดีว่าด้วยพรสวรรค์ของข้า ข้าคงไม่สามารถเรียนรู้มันได้แน่ ๆ ดังนั้นสุดท้ายแล้วเรื่องของกระบี่ที่สี่มันคงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าหรอก”
หลิงตู้ฉิงหน้ามุ่ยและพูดว่า “เหอะ! อยากรู้ แต่เอาแต่กลัว!”
“ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลัว!” ตงฟางจุนพูดด้วยสีหน้าขมขื่น “ถ้าขืนข้าพูดว่าข้าสืบทอดวิชาจากเทพกระบี่ อย่างน้อย ๆ ศิษย์ของสำนักวิญญาณโลหิตที่อยู่ในเมืองนี้คงจะโผล่มาฉีกร่างของข้าแยกออกจากกันเป็นชิ้น ๆ เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าในตอนนั้นเทพกระบี่คือหนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมการทำลายสำนักวิญญาณโลหิต ดังนั้นตัวตนของเทพกระบี่หรือไม่ว่าใครที่เกี่ยวข้องกับเทพกระบี่ก็ถือได้ว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตของของสำนักวิญญาณโลหิตไปโดยปริยาย แล้วยิ่งในตอนนี้ที่มีข่าวว่า สำนักวิญญาณโลหิตนั้นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ จนใกล้จะเปิดเผยตัวเองออกมาให้โลกภายนอกได้เห็นแล้วด้วย ข้ายิ่งไม่อยากจะเป็นหนึ่งในข่าวการประกาศศักดาของพวกเขา!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ไอ้หนู ข้าอยากถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าอยากทำข้อตกลงกับข้าอีกรอบไหม?”
ตงฟางจุนโบกมือและพูดว่า “ไม่ ๆๆๆ ผู้อาวุโสข้าพอแล้วกับวิชาของท่านที่อยากถ่ายทอดให้ข้า ข้าหวังว่าผู้อาวุโสจะมองข้ามข้าไปซะ ข้าไม่ใช่ท่าน ข้าไม่มีความกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูทั้งโลก การมาครั้งนี้ข้าได้ตัดสินใจแล้วว่าข้าจะไม่ใช้ความพยายามใด ๆ ทั้งสิ้นในการเข้าใจเจตจำนงของกระบี่ที่อยู่ที่นี่หรือที่สุสานกระบี่”
เมื่อเห็นว่าตงฟางจุนไม่มีความกล้าเอาซะเลย หลิงตู้ฉิงก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างจนปัญญาและพูดว่า “งั้นก็ตามใจเจ้า!”
อันที่จริง หลิงตู้ฉิงต้องการให้ตงฟางจุนเป็นอาวุธให้กับเขา แต่เนื่องจากตงฟางจุนไม่เต็มใจ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น
“ผู้อาวุโส ท่านมาที่นี่เพื่อสำรวจสำนักวิญญาณโลหิตด้วยงั้นเหรอ?” ตงฟางจุนถามขึ้นด้วยปากเปล่าไม่ใช่ทางโทรจิตอีกต่อไป “หากเมื่อไหร่ท่านจะเข้าไปสำรวจสำนักวิญญาณโลหิต ข้าขอไปกับพวกท่านด้วยได้ไหม? ด้านในของสำนักวิญญาณโลหิตนั้นมีผนึกป้องกันอยู่มากมาย ข้ากลัวว่าถ้าข้าบังเอิญไปกระตุ้นผนึกพวกนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้าจะต้องซวยมากแน่ ๆ แต่ถ้าข้าติดตามผู้อาวุโสเข้าไป ข้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของพวกมัน!”
ในมุมมองของตงฟางจุน สาเหตุของการล่มสลายของสำนักวิญญาณโลหิตนั้นคงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ แต่ด้วยความสามารถอันพิสดารของคนผู้นี้ หากเขาได้ติดตามบุคคลผู้นี้เข้าไปด้านใน เขาแน่ใจว่าเขาจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอนและเมื่อถึงตอนนั้นถ้าไม่มีอันตรายอะไร บางทีเขาอาจโชคดีได้สมบัติติดมือมาชิ้นสองชิ้นมันก็คงจะดีจริงไหม?
หลังจากที่เขาไม่เห็นว่าหลิงตู้ฉิงจะมีท่าทีปฏิเสธ เขาจึงรู้สึกมีความสุขมากและพูดว่า “งั้นผู้อาวุโส ข้าขอกลับไปบอกปู่ของข้าและคนอื่น ๆ ก่อน จากนั้นข้าจะไปที่สำนักวิญญาณโลหิตด้วยกันกับพวกท่าน!”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ด้านหลังของตงฟางจุนและส่ายหัวและคิดในใจ ‘ช่างเป็นอาวุธที่ดีจริง ๆ!’