พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 488 อสูรโลหิต
บทที่ 488 อสูรโลหิต
หมิงยู่มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความงุนงง
แม้ว่าผู้คนในตำหนักหอมรัญจวนจะพึ่งพาผู้อื่นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการบ่มเพาะของตนเอง แต่ในช่วงชีวิตของพวกเขาส่วนใหญ่ก็ไม่ได้หยุดติดตามใครแค่เพียงคนเดียว
แน่นอนว่าแนวคิดเรื่องความบริสุทธิ์นั้นไม่ได้มีความสำคัญใด ๆ ต่อผู้หญิงของตำหนักหอมรัญจวน ดังนั้นหากคนที่พวกเขาติดตามไม่สามารถทำให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายการบ่มเพาะของพวกเขาได้ พวกเขาก็จะเปลี่ยนคนที่พวกเขาติดตามไปเรื่อย ๆ อยู่เสมอ
ที่สำคัญเหตุผลที่อาจารย์ของนางขอให้นางติดตามหลิงตู้ฉิงนั้นไม่เพียงแต่เพื่อความกาวหน้าในด้านการบ่มเพาะของนางเท่านั้น แต่มันยังมีเหตุผลแอบแฝงซึ่งก็คือการให้นางแอบล้วงความลับต่าง ๆ ของหลิงตู้ฉิงอีกด้วย
ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติที่ตำหนักหอมรัญจวนทำอยู่ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นพวกนางคงจะไม่รู้ความลับมากมายเช่นดังปัจจุบันนี้
แต่แล้วตอนนี้ หลิงตู้ฉิงกลับบอกให้นางลงชื่อในสัญญากฎสวรรค์เพื่อรักษาความลับ แล้วแบบนี้ในอนาคตนางจะไปทำอะไรต่อได้?
หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “วิถีแห่งตัณหาของตำหนักหอมรัญจวนของเจ้ามีความมหัศจรรย์แน่นอนแล้วยิ่งเมื่อรวมกับรูปลักษณ์ของเจ้า เจ้ายิ่งสามารถแสดงพลังของมันออกมาได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งถึงแม้ว่าเส้นทางแห่งตัณหานั้นง่ายต่อการเรียนรู้แต่พวกเจ้าแทบจะทุกคนก็มักจะหลงทางอยู่ในวังวนแห่งตัณหาเช่นกันและล้มเหลวระหว่างทาง ถ้าเจ้าติดตามข้า ข้าจะสอนวิธีอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่าความสำเร็จในปัจจุบันของเจ้าหลายหมื่นเท่า โอกาสนี้สำคัญมากสำหรับเจ้า หากเจ้าพลาด เจ้าจะไม่มีทางได้รับมันอีกครั้ง”
หมิงยู่ส่งยิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า “นายท่าน ดูเหมือนว่าท่านจะเข้าใจตำหนักหอมรัญจวนของเรามากเลยสินะ?”
ตั้งแต่แรกเริ่ม นางคือหญิงสาวที่งดงามพอจะล่มเมืองได้อยู่แล้ว แล้วยิ่งในตอนนี้ที่นางส่งรอยยิ้มอันยั่วยวนออกมาเช่นนี้ หากเป็นผู้คนธรรมดาเสน่ห์ของนางคงสามารถทำให้จิตวิญญาณของคนผู้นั้นตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือนางไปจนชั่วชีวิตได้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม หลิงตู้ฉิงดูไม่แยแสรอยยิ้มของนางเลยแม้แต่น้อย เขายังคงมองไปที่หมิงยู่ด้วยแววตาเรียบเฉยเหมือนเดิม
เขาฆ่าผู้หญิงหลายคนจากตำหนักหอมรัญจวนมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงเข้าใจพวกนางเป็นอย่างดี
ในชีวิตก่อนหน้านี้มันเคยมีเหตุการณ์ที่พวกนางกระโจนขึ้นไปบนเตียงของเขา ซึ่งเขาก็ได้ฆ่าพวกนางทั้งหมดจนตำหนักหอมรัญจวนไม่กล้าส่งใครมาหาเขาอีก
หมิงยู่มองไปที่แววตาที่ไม่ไหวติงของหลิงตู้ฉิง ซึ่งมันทำให้นางรู้สึกหดหู่
ชายคนนี้ตายด้านหรือยังไง? นี่เขามองไม่เห็นความงามของนางเลยงั้นเหรอ?
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงจ้องมองมาที่นางโดยไม่พูดอะไรสักคำ หมิงยู่จึงพูดว่า “นายท่าน ถ้าข้าลงชื่อในสัญญา ท่านจะบอกข้าว่าเกิดอะไรขึ้นต่อไปใช่ไหม? ถ้าข้าไม่พอใจข้าสามารถถอนตัวได้ไหม? หัวใจของนายท่านเป็นเหมือนหินเช่นนี้ หากข้าไม่ได้รับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะระดับสูงจากท่าน ชีวิตการบ่มเพาะของข้าคงจะล้มเหลวไปตลอดแน่นอน”
หลิงตู้ฉิงพูดว่า “ข้าจะบอกเจ้าถ้าเจ้าลงชื่อ! ในเวลานั้นถ้าเจ้าไม่โง่เจ้าก็ควรรู้ว่าจะเลือกอะไร”
“งั้นข้าจะลงชื่อ นายท่านโปรดรักษาคำพูดและทะนุถนอมข้าด้วย!” หมิงยู่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหนักใจ
จากนั้นนางก็ลงชื่อในสัญญาด้วยหยดเลือด เนื่องจากนางเป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตประสานทะเลปราณ นางจึงยังไม่สามารถเขียนชื่อของตัวเองได้
เมื่อเห็นว่าสัญญากฎสวรรค์หายไป หมิงยู่มองไปที่หลิงตู้ฉิงและพูดว่า “นายท่านตอนนี้ท่านก็คงจะบอกข้าได้แล้วใช่ไหม?”
หลิงตู้ฉิงโบกมือและพูดว่า “มานี่ มาข้างหน้าข้า”
หมิงยู่เดินไปข้างหน้าหลิงตู้ฉิงอย่างสบาย ๆ โดยไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงต้องการทำอะไร
หลิงตู้ฉิงมองไปที่หมิงยู่ และพูดว่า “ต่อไปข้าจะดึงหยดเลือดจากร่างกายของของเจ้ามาหนึ่งหยด เพื่อที่จะยืนยันอะไรบางอย่าง และไม่ต้องกลัวเจ้าจะไม่ตายหรอก”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็ยื่นมือไปที่หน้าอกของหมิงยู่
“นายท่าน…” เมื่อเห็นการกระทำของหลิงตู้ฉิง หมิงยู่ก็ตกตะลึงเล็กน้อยและพูดไม่ออก พลางคิดในใจ
‘นี่เขาต้องการจะตรวจสอบอะไรนางงั้นเหรอ? หรือเขากำลังจะเอาเปรียบนาง? แต่ทำไมเขาถึงพึ่งมาทำเอาตอนนี้หลังจากคุยกันมาครึ่งค่อนวัน? หรือว่าที่ผ่านมาเขาอดทนมาโดยตลอดแต่พอลงสัญญาเสร็จเขาจึงต้องการปลดเปลื้องตัณหาทั้งหมดที่มีอีกมา?’
อันที่จริงนางเองก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรหากหลิงตู้ฉิงจะทำเช่นนี้ตั้งแต่แรก เพราะนี่เป็นวิธีที่ผู้หญิงทุกคนในตำหนักหอมรัญจวนฝึกฝนอยู่แล้ว
หรือถ้าให้พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือในตอนนี้จิตใจของนางเต็มไปด้วยความคาดหวังด้วยซ้ำ!
อย่างไรก็ตาม หลิงตู้ฉิงไม่ได้สังเกตเห็นการแสดงออกที่เขินอายของนาง หรือต่อให้เขาสังเกตเห็นเขาก็คงไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่ จากนั้นเขาใช้ปลายนิ้วของเขาสะกิดไปที่หน้าอกของหมิงยู่เบา ๆ ซึ่งมันทำให้หมิงยู่รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอกของนางอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ถัดมาเมื่อหลิงตู้ฉิงเห็นเลือดของนางแล้ว เขาก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรเขาก็โยนเม็ดโอสถวิญญาณบริสุทธิ์ไปให้นางและพูดว่า “รักษาซะ!”
หมิงยู่กลืนโอสถวิญญาณบริสุทธิ์อย่างรวดเร็วพร้อมกับมองไปที่หยดเลือดบนนิ้วของ หลิงตู้ฉิงด้วยความตกใจ นางไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงต้องการทำอะไรกับเลือดจากหัวใจของนาง
“ติดตามต้นกำเนิดสายเลือด!” หลิงตู้ฉิงเพ่งไปที่เลือดจากหัวใจของหมิงยู่ และเริ่มใช้วิชาลับเพื่อค้นหาแหล่งที่มาของสายเลือด
จากนั้นเมื่อหมิงยู่มองไปที่หยดเลือดที่จู่ ๆ ก็ลอยขึ้นตรงหน้า นางก็ได้เห็นร่างของผู้คนมากมายเริ่มปรากฎขึ้นในหยดเลือด
หมิงยู่อดไม่ได้ที่จะปิดปากของนางด้วยความตื่นตะลึง ภายในหยดเลือด นางเห็นพ่อแม่ปู่ย่าตายายและผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ นี่มันเป็นการขุดรากเหง้าของสายเลือดตระกูลนาง!
ในท้ายที่สุดร่างในหยดเลือดร่างสุดท้ายที่ปรากฎขึ้นกลับเผยให้เห็นร่างสีแดงเข้ม
เมื่อมองไปที่ร่างสีแดง หลิงตู้ฉิงก็เอ่ยขึ้นว่า “อ๋อ เจ้าเป็นลูกหลานของอสูรโลหิตนั่นเองสินะ! เอาล่ะแบบนี้ทุกอย่างมันก็ยิ่งง่ายขึ้นไปอีก”
“นายท่าน บรรพบุรุษของข้าเป็นอสูรโลหิตงั้นหรือ? มันคืออะไร?” หมิงยู่ถามด้วยความงุนงง โดยไม่สนใจว่าเสื้อบริเวณหน้าอกของนางยังคงเปิดอยู่
“ใช่ เจ้าเป็นลูกหลานของอสูรโลหิต ดังนั้นเจ้าสามารถฝึกฝนวิชาโลหิตอมตะได้” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “หากเจ้าไม่รู้ว่าอสูรโลหิตคืออะไร ถ้างั้นเจ้ารู้อะไรเกี่ยวกับ เทพโลหิต หรือ วิญญาณโลหิต ของสำนักวิญญาณโลหิตบ้างไหม?”
“วิชาโลหิตอมตะ?” หมิงยู่ถามด้วยความประหลาดใจ “มันคือวิชาอะไรงั้นเหรอนายท่าน ข้าไม่เห็นเคยได้ยินมาก่อน?”
นางไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาโลหิตอมตะ แต่นางเคยได้ยินเกี่ยวกับวิญญาณโลหิตและ เทพโลหิตที่เป็นตำนานของเมืองวิญญาณโลหิต
แท้จริงแล้วนางเป็นลูกหลานของพวกเขางั้นเหรอ?
ในใจของหมิงยู่ตอนนี้เต็มไปด้วยความสับสนอย่างรุนแรง
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่หน้าอกของหมิงยู่ จากนั้นเขาโบกมือส่งสัญญาณให้หมิงยู่สวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วพูดว่า “ในกาลก่อน วิชาโลหิตอมตะ คือวิชาที่เหล่าอสูรหรือเทพเจ้าบางตนใช้ในการบ่มเพาะ และจากนั้นมันก็ตกทอดมาถึงสำนักวิญญาณโลหิตและได้กลายเป็นสุดยอดวิชาของสำนักที่มีแต่เจ้าสำนักเท่านั้นที่เรียนรู้มันได้ ซึ่งอำนาจของมันนั้นน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้”
หลังจากได้รับสายตาการเตือนจากหลิงตู้ฉิง หมิงยู่ก็รู้ว่าเสื้อผ้าของนางยังเปิดอยู่ นางจึงอดไม่ได้ที่จะหน้าแดงและรีบใส่เสื้อผ้าของนาง
อย่างไรก็ตามคำพูดต่อท้ายของหลิงตู้ฉิง ทำให้นางตกใจมากจนหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่
“สำนักวิญญาณโลหิต? แต่สำนักวิญญาณโลหิตมันถูกทำลายไปตั้งนานแล้ว แล้วท่านมีวิชาโลหิตอมตะไว้ในครอบครองได้ยังไง?” หมิงยู่ถามด้วยความงุนงง
“เอาเป็นว่าข้ามีมันก็แล้วกัน แต่ข้าไม่สามารถถ่ายทอดให้เจ้าโดยประมาทได้!” หลิงตู้ฉิงพูด “ถ้าเจ้าตกลงที่จะติดตามข้า ข้าจะถ่ายทอดวิชาโลหิตอมตะให้กับเจ้า ซึ่งเจ้าน่าจะเดาได้ว่าวิถีแห่งโลหิตนั้นมันยิ่งใหญ่กว่าวิถีแห่งตัณหาอย่างเทียบกันไม่ติด เอาล่ะตอนนี้มันถึงเวลาตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกเส้นทางไหน ติดตามข้าหรือปฏิเสธ?”
หมิงยู่นั่งเหม่ออยู่ต่อหน้าหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าว่างเปล่า จิตใจของนางเต็มไปด้วยความคิดที่สับสนวุ่นวาย
หลิงตู้ฉิงเองก็ไม่ได้เร่งหมิงยู่ ซึ่งทำให้นางมีเวลาครุ่นคิดโดยไม่กดดันอะไรมาก
เพราะนี่มันหมายถึงการที่นางต้องเปลี่ยนแปลงวิถีการบ่มเพาะของนางในอนาคตทั้งหมด เขาจึงไม่ว่าอะไรหากนางจะใช้เวลาในการพิจารณาเรื่องนี้มากสักหน่อย
หมิงยู่นั่งอยู่หน้าหลิงตู้ฉิง และคิดเรื่องนี้มาตลอดทั้งวันก่อนที่แววตาของนางจะค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น นางมองไปที่หลิงตู้ฉิงและหัวเราะ “เอาเถอะ ไหน ๆ อาจารย์ของข้าก็มอบข้าให้กับท่านแล้ว ดังนั้นข้าจะเป็นของนายท่านตลอดไป! และในเมื่อนายท่านเองก็เข้าใจตำหนักหอมรัญจวนของเราอยู่พอสมควรอยู่แล้ว ดังนั้นท่านก็ควรรู้ว่าทุกสิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริง จากนี้ไปข้าจะรอการจัดการของท่าน!”
“ดีมาก งั้นต่อไปนี้ข้าจะช่วยให้เจ้าได้ฝึกฝนวิชาโลหิตอมตะ และเมื่อถึงเวลาเจ้าจะต้องอยู่คอยรับใช้ข้าและทำสิ่งต่าง ๆ ให้ข้า!”
หมิงยู่พยักหน้า “อะไรก็ได้ ตามที่ท่านสั่ง!”
จากนั้นนางก็มองไปที่ร่างกายของตัวเองและยิ้มให้กับหลิงตู้ฉิง “นายท่าน ในเมื่อตอนนี้ข้าตกลงเป็คนของท่านอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว นั่นก็หมายความว่าร่างกายของข้าเป็นของท่าน ท่านไม่ต้องการข้าก่อนงั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “เจ้าต้องคงความสมบูรณ์ของร่างกายเจ้าในแบบนี้เอาไว้ก่อนเพื่อฝึกฝนวิชาโลหิตอมตะ ไม่เช่นนั้นวิชาโลหิตอมตะของเจ้าจะมีข้อบกพร่อง ส่วนข้าเองยังต้องออกไปเตรียมการบางอย่างเพื่อให้เจ้าสามารถฝึกฝนวิชาโลหิตอมตะได้อย่างไม่ติดขัด ดังนั้นในตอนนี้จงส่งสิ่งที่เจ้ามีอยู่กับตัวมาให้ข้าก่อน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หมิงยู่พยักหน้าพร้อมกับลบตราประทับของแหวนมิติออกและส่งต่อไปยังหลิงตู้ฉิง และพูดว่า “งั้นข้าจะรอให้ท่านเตรียมการให้พร้อมก่อนก็แล้วกัน”
“ในช่วงไม่กี่วันนี้จงอยู่รอข้าที่นี่ไปก่อน อย่าได้ออกไปเดินเตร็ดเตร่ที่ด้านนอก” หลิงตู้ฉิงออกคำสั่งกับหมิงยู่ จากนั้นเขาก็จากไปพร้อมกับแหวนมิติของหมิงยู่
ส่วนทางด้านหมิงยู่ เมื่อนางเห็นว่าหลิงตู้ฉิงออกจากห้องไปแล้ว หัวใจของนางก็เริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องเกี่ยวกับสำนักวิญญาณโลหิต