พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 490 เทพกระบี่กลับชาติมาเกิด!
บทที่ 490 เทพกระบี่กลับชาติมาเกิด!
เมื่อได้ยินว่าหลิงตู้ฉิงพร้อมที่จะเดินทางไปยังสำนักวิญญาณโลหิต ตงฟางจุนก็รีบมาขอพบหลิงตู้ฉิงทันที
จากนั้นเมื่อเขาได้รับอนุญาตเข้าไปในห้อง เขากวาดตามองทุกคนโดยไม่รู้ตัวโดยเฉพาะหมิงยู่
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หมิงยู่สวมเสื้อผ้าหลวม ๆ ที่ปกปิดร่างกายอันมีเสน่ห์ของนางและแม้แต่ใบหน้าของนางก็ถูกปกปิดไว้ด้วยผ้าปิดหน้าเช่นกัน
จากนั้นตงฟางจุนก็หันกลับมาและพูดกับหลิงตู้ฉิง “พี่! ท่านปล่อยให้ข้ารอซะนานเลย ท่านรู้ไหมว่าคนอื่น ๆ เขาเข้าไปในสำนักวิญญาณโลหิตกันตั้งเยอะแล้ว แถมยังได้ของดี ๆ กลับมากันเพียบเลย!”
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่ตงฟางจุนและพูดว่า “อ๋อ”
เขายังคงครุ่นคิดกับความจริงที่ว่าเจ้าเด็กคนนี้มันยังคงมีความขี้ขลาดอยู่!
“ตอนนี้ท่านพร้อมแล้วใช่ไหม? ว่าแต่ท่านคิดว่าเราจะได้รับประโยชน์จากการเดินทางไปยังสำนักวิญญาณโลหิตครั้งนี้แค่ไหน?” ตงฟางจุนหัวเราะ
หลิงตู้ฉิงตอบกลับว่า “หากพูดถึงผลประโยชน์แล้วล่ะก็ หากเจ้าคาดหวังว่าเราจะได้ของดี ๆ กลับมา มันก็คงไม่พ้นที่เราจะต้องเข้าไปในส่วนของทะเลโลหิตของสำนักวิญญาณโลหิต”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ การแสดงออกของตงฟางจุนเปลี่ยนไปเป็นขมขื่นทันที เขาส่ายหัวและพูดว่า “หา! ไม่เอา ๆ ข้าไม่กล้าเข้าไปที่นั่นหรอก! สถานที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ที่อยู่ใจกลางของสำนักวิญญาณโลหิตพอดิบพอดี ซึ่งที่นั่นมันคือจุดศูนย์รวมความอันตรายทั้งหมดที่มีในสำนักวิญญาณโลหิต มันไม่เคยมีใครกล้าเข้าไปในสถานที่นั้นเลยสักคน ข้าได้ยินมาว่าแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันก็อาจจะตายได้หากเข้าไปในทะเลโลหิตโดยที่ไม่ระวังตัว!”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จงเดินเล่นข้างนอกไปก็แล้วกัน มันคงไม่มีอันตรายอะไรกับเจ้าหรอก” หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้น จากนั้นเขาก็ออกเดินทางไปยังสำนักวิญญาณโลหิตที่ถูกทิ้งล้างไว้ทันที
เมื่อเห็นเช่นนี้ ตงฟางจุนก็รีบไปตามคนของสำนักเขาให้รีบตามหลิงตู้ฉิงไปทันทีเช่นกัน
ในความคิดของตงฟางไป๋ การพาตงฟางจุนไปยังสำนักวิญญาณโลหิตเพื่อหาสมบัตินั้นเป็นเรื่องรอง สิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้มากที่สุดก็คือพวกเขาต้องการให้ตงฟางจุนสามารถพัฒนาทักษะด้านกระบี่ของเขาได้จากรอยกระบี่ที่เทพกระบี่ทิ้งไว้ในสำนักวิญญาณโลหิต
ห่างจากเมืองวิญญาณโลหิตไปทางตะวันตก 700 กิโลเมตร คือที่ตั้งของสำนักวิญญาณโลหิต ซึ่งระยะห่างแค่นี้จึงสามารถพูดได้ว่ามันอยู่ใกล้มาก ดังนั้นโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายอะไร กลุ่มของทั้งหลิงตู้ฉิงและตงฟางจุนก็มาถึงสำนักวิญญาณโลหิตภายในเวลาอันรวดเร็ว
เมื่อมองไปที่กำแพงที่พังทลายของเมืองวิญญาณโลหิตที่อยู่ห่างออกไป หลิงตู้ฉิงก็ตกตะลึงเล็กน้อย เขาหันกลับมาและพูดกับเย่หยูหลัน “ข้าจะหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับเจ้าเพื่อใช้มันช่วยให้เจ้าประสบความสำเร็จในการทะลวงขอบเขต”
“ขอบคุณ นายท่าน!” เย่หยูหลันประสานมือพร้อมกับโค้งตัวขอบคุณ
อันที่จริงในตอนนี้นางรู้สึกกังวลเล็กน้อย เนื่องจากเมื่อนางมองไปยังซากปรักหักพังของสำนักวิญญาณโลหิต นางก็เห็นแต่ผนึกป้องกันต่าง ๆ มากมายที่ยังคงอันตรายอยู่ ซึ่งมันทำให้นางคิดว่าที่นี่เหมาะสำหรับผ่านทัณฑ์สวรรค์จริง ๆ งั้นเหรอ?
ในแง่ของการเตรียมตัวรับมือกับทัณฑ์สวรรค์ นางเองก็ยังไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่ว่านางจะสามารถผ่านมันไปได้
อย่างไรก็ตาม นางรู้สึกว่าตั้งแต่หลิงตู้ฉิงมอบโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ให้กับนาง เขาก็คงไม่น่าจะปล่อยให้นางตายอยู่ที่นี่
ในเวลาเดียวกับที่กลุ่มของหลิงตู้ฉิงมาถึงสำนักวิญญาณโลหิต กลุ่มคนที่มีระดับการบ่มเพาะไม่สูงมากนักกลุ่มหนึ่งก็มาถึงเช่นกัน
“เจ้าเห็นรึเปล่า? ตามคำบอกเล่ารอยคมกระบี่นี้เกิดมาจากการฟันกระบี่ของเทพกระบี่เพื่อทำลายประตูสำนักวิญญาณโลหิตในตอนนั้น แม้หลังจากที่เทพกระบี่ได้ตายไปแล้วนานกว่าสามหมื่นปี รอยคมกระบี่นี้ก็ยังคงเด่นชัดแถมในรอยคมก็ยังมีเจตจำนงแห่งกระบี่ของเทพกระบี่สถิตอยู่ไม่จางหายไปไหน! หากใครในพวกเจ้าฝึกกระบี่อยู่ พวกเจ้าก็ควรจะลองทำความเข้าใจรอยคมกระบี่นี้ ซึ่งถ้าหากพวกเจ้าสามารถเข้าใจเจตจำนงแห่งกระบี่ที่อยู่ในรอยคมที่ถูกทิ้งไว้นี้ได้ เต๋ากระบี่ของพวกเจ้าก็จะยิ่งแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม!”
ผู้บ่มเพาะระดับสวรรค์สามัญผู้หนึ่งตะโกนเสียงดังอยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มที่ดูเหมือนว่าเขาจะนำมา ผู้คนที่ติดตามเขามานั้นมีจำนวนราว 200-300 คน แต่หลายคนกลับอยู่ในระดับเหนือล้ำ ซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าเขาเสียอีก
เมื่อสิ้นเสียงของผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญ ผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำผู้หนึ่งก็พูดขึ้นอย่างเหลืออด “หยินจิ่ว เหตุที่พวกเราจ่ายเงินให้เจ้านำทางให้พวกเราก็เพื่อให้เจ้าพาพวกเราเข้าไปด้านในเพื่อค้นหาสมบัติ! สำหรับไอ้เรื่องของเทพกระบี่ที่ทำลายประตูสำนักวิญญาณโลหิตด้วยกระบี่เดียวนั้นพวกเราทุกคนต่างรู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว! ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องเล่าให้พวกเราฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในตอนนี้เจ้าแค่นำพวกเราไปยังตำหนักโอสถของสำนักวิญญาณโลหิตโดยเร็วที่สุดก็พอ!”
ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญ ที่เรียกว่า หยินจิ่ว ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนและพูดว่า “ผู้อาวุโสหลี่ ตำหนักโอสถ นั้นอันตรายมาก…”
“หยุดอ้างอะไรไร้สาระได้แล้ว! ถ้ามันไม่อันตรายจริงป่านนี้มันคงมีใครเข้าไปปล้นมันจนสำเร็จไปนานแล้ว!” ผู้อาวุโสหลี่ที่อยู่ในระดับเหนือล้ำพูดขึ้น “รีบพาพวกเราเข้าไปในตำหนักโอสถได้แล้ว จงอย่าลืมว่าเราจ่ายให้เจ้าไปแล้วกว่าสามแสนคริสตัลวิญญาณ ถ้าเราไม่สามารถเข้าไปในตำหนักโอสถได้ เจ้าจะต้องคืนค่าจ้างที่พวกข้าจ่ายไปทั้งหมดให้เจ้ากลับมา!”
หยินจิ่วพูดอย่างเขินอาย “เอ่อ…พวกท่านมีจำนวนมากกันขนาดนี้ ข้าเกรงว่าการที่พวกท่านทั้งหมดจะเข้าไปในตำหนักโอสถนั้นจะยิ่งอันตรายกว่าเดิมมาก ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกท่าน…”
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญ พูดอย่างไม่อดทน “พวกข้ารู้ดีถึงระดับความอันตรายของตำหนักโอสถ! พวกข้าเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มันมากความ จงนำทางพวกข้าไปได้แล้ว!”
“ถ้างั้นก็ตามใจท่าน!” หยินจิ่วยิ้มอย่างขมขื่นและพาทุกคนเข้าไปในสำนักวิญญาณโลหิต
หลงเฉินมองดูและพูดว่า “นายท่าน ทำไมพวกเราไม่ตามพวกเขาเข้าไปในตำหนักโอสถด้วยล่ะ!”
เขาเองก็อยากจะลองเข้าไปในตำหนักโอสถเพื่อเสี่ยงดวงเช่นกัน
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและพูดขึ้นว่า “ถ้าเจ้าอยากตายก็จงตามคนพวกนั้นเข้าไปก็ได้ ข้าไม่ห้าม!”
“สามี ข้างในนั้นมีอะไรงั้นเหรอ?” เย่ชิงเฉิงถามอย่างเร่งรีบ
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย “ตามข้อมูลที่ได้รับจากหอการค้าเชื่อมสวรรค์ หยินจิ่วเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและคุ้นเคยกับสำนักวิญญาณโลหิตเป็นอย่างดี เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่หลบหนีจากอันตรายของสำนักวิญญาณโลหิตมาได้หลายครั้งและด้วยชื่อเสียงที่เขามีเช่นนี้ มันจึงมีผู้คนจำนวนมากยอมจ่ายค่าจ้างแพง ๆ เพื่อให้เขาเป็นผู้นำกลุ่มเข้าสำรวจด้านในของสำนักวิญญาณโลหิต อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่ที่จ่ายให้เขานำกลุ่มให้นั้นสุดท้ายชะตาของพวกเขามักจบไม่สวยสักเท่าไหร่ แต่ว่ามันก็มีอยู่หลายครั้งที่ไม่มีคนตายเลย ซึ่งรอบไหนที่ไม่มีคนตายผลประโยชน์ของคนกลุ่มนั้นที่ได้รับจากด้านในก็จะน้อยกว่ามาก”
“หืม?” เย่ชิงเฉิงแสดงสีหน้าสงสัย
หลิงตู้ฉิงพูดขึ้นต่อ “อันที่จริง หยินจิ่ว ผู้นั้นฝึกฝนวิชาอสูรสังเวยโลหิตของ สำนักวิญญาณโลหิต ซึ่งถ้าข้าเดาไม่ผิด เขาคงจะใช้เลือดในการทำลายผนึกป้องกันที่อยู่ด้านในสำนักวิญญาณโลหิตนั่นแหละ!”
เย่ชิงเฉิงพูดด้วยความตกใจ “ถ้าเป็นเช่นนั้นมันก็เท่ากับว่าคนกลุ่มเมื่อครู่กำลังเผชิญกับหายนะไม่ใช่งั้นเหรอ?”
สาเหตุที่สำนักวิญญาณโลหิตยังคงไม่มีใครครอบครองมันได้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาและทำได้แค่เข้าไปด้านในพื้นที่ของสำนักเพื่อค้นหาสมบัติเพียงเท่านั้น เป็นเพราะด้านในนั้นมีผนึกป้องกันที่ถูกทิ้งไว้ระหว่างการต่อสู้ครั้งใหญ่ในปีนั้นมากเกินไป ซึ่งบางผนึกป้องกันเหล่านั้นก็เป็นฝีมือของฝั่งตรงข้ามที่ต้องการทำให้มั่นใจว่าสำนักวิญญาณโลหิตจะไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อีกต่อไป
แต่ตอนนี้ผนึกป้องกันเหล่านี้กลับถูกลดทอนลงทีละนิด ๆ ซึ่งการทำเช่นนี้มันก็หมายความว่าผู้กระทำนั้นจะต้องเป็นคนของสำนักวิญญาณโลหิตที่ต้องการฟื้นฟูสำนักขึ้นมาใหม่แน่นอน!
“คราวนี้น่าจะมีคนตายอย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งล่ะนะ” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น “และด้วยราคาที่ใช้คนมากขนาดนี้จ่ายไป พวกเขาคงจะเปิดผนึกป้องกันบางอย่างของตำหนักโอสถได้บ้าง ซึ่งมันคงจะมีผู้โชคดีได้รับสมบัติอย่างแน่นอน”
“ถ้างั้นเราไปที่นั่นกันเถอะ!” เย่ชิงเฉิงหัวเราะ
หลิงตู้ฉิงมองไปที่หมิงยู่ และพูดว่า “พวกเราไม่จำเป็นต้องรีบ!”
หลิงตู้ฉิงมีแผนสำหรับการได้รับสมบัติด้านในไว้อยู่แล้ว ซึ่งแผนนั้นมันก็เกี่ยวข้องกับหมิงยู่ที่เขาให้นางฝึกฝนวิชาโลหิตอมตะโดยตรง หากนางสำเร็จเมื่อไหร่เขาจะได้รับส่วนหนึ่งของสมบัติในสำนักวิญญาณโลหิตมาแน่นอน
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ตงฟางจุนที่ยืนจ้องรอยคมกระบี่ที่ทางเข้าสำนักวิญญาณโลหิตอยู่สักพักแล้ว จู่ ๆ เขาก็หันกลับมาและตะโกนไปยังหลิงตู้ฉิง “พี่หลิง! กระบี่ของท่านเทพกระบี่นั้นทรงพลังจริง ๆ แม้เวลาจะผ่านมาเป็นหมื่น ๆ ปีแล้วแต่เจตจำนงแห่งกระบี่ก็ยังคงเด่นชัดอยู่เลย หากข้าลองทำความเข้าใจมันดูท่านคิดว่าข้าพอจะมีโอกาสบ้างไหม?”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ตงฟางจุนด้วยแววตาสนใจและตอบกลับทันที “แน่นอน!”
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ เด็กคนนี้ยืนอยู่ตรงจุดเดียวกับที่ทาสกระบี่ออกกระบวนท่าโจมตีในตอนนั้นอย่างไม่มีผิดเพี้ยน นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าทาสกระบี่กลับชาติมาเกิดเป็นเด็กคนนี้?
ในขณะนี้ ตงฟางจุนจ้องไปที่รอยคมกระบี่ยาว 300 ฟุตตรงหน้าเขาราวกับว่าเขาเห็นเทพกระบี่ยืนอยู่ที่สถานที่แห่งนี้เมื่อหลายหมื่นปีก่อนในช่วงเวลาที่เทพกระบี่กำลังจะออกกระบวนท่าของเขา
จากนั้นยิ่งตงฟางจุนพยายามจินตนาการภาพเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งไม่สามารถต้านทานความปรารถนาในใจของเขาได้ ซึ่งในเวลาต่อมาเขาก็อดไม่ได้ที่จะเหวี่ยงกระบี่ออกไปเช่นกัน
แต่แล้วเมื่อกระบี่ของตงฟางจุนถูกปลดปล่อย พื้นที่บริเวณรอบ ๆ ก็ถึงกับสั่นสะเทือน!
เจตจำนงกระบี่ที่ไม่ได้ดับสูญมาเป็นเวลาหลายหมื่นปีเมื่อเผชิญกับกระบี่ของตงฟางจุนที่เหวี่ยงออกมา จู่ ๆ มันก็ลิงโลดราวกับว่ามันถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ส่งผลให้เจตจำนงกระบี่เหล่านั้นพุ่งออกมาจากรอยคมกระบี่ที่ถูกทิ้งไว้ไปบรรจบกันที่ร่างของตงฟางจุน
จากนั้นเมื่อเจตจำนงกระบี่สลายไป ประตูสำนักวิญญาณโลหิตที่ถูกทำลายก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างช้า ๆ
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ทุกคนต่างมองไปที่ตงฟางจุนด้วยอาการตกตะลึงพร้อมกับอุทานขึ้นกับตัวเองว่า “เทพกระบี่กลับชาติมาเกิดแล้ว!”