พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 493 วิญญาณภูตพิทักษ์
ตงฟางไป๋รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมากที่มือสังหารเหล่านี้ปรากฎตัวขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อพยายามสังหารหลานชายของเขา ดังนั้นเมื่อเขาหมดความอดทน เขาจึงสลับกระบี่ที่ใช้โดยนำกระบี่ซึ่งเป็นอาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิขึ้นมาขับไล่มือสังหารสวมหน้ากากคนที่สองทันที
ชายสวมหน้ากากคนที่สองเมื่อเห็นว่าตงฟางไป๋นำอาวุธระดับจักรพรรดิออกมา เขาก็รีบถอยออกไปทันที แต่ก่อนจะจากไปเขาตะโกนอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “ฮึ่ม ก็แค่อาวุธระดับจักรพรรดิคราวนี้ถือว่าเจ้าโชคดีที่ข้าไม่ได้นำมันมาด้วย ครั้งต่อไปข้าจะเอามันมา แล้วมาดูกันว่าเจ้าจะปกป้องมันยังไง!”
ตงฟางจุนอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เขารู้สึกว่าตอนนี้มันมีสัญญาณแห่งความตายปรากฏขึ้นอยู่เหนือหัวของเขาอย่างชัดเจน
สีหน้าของตงฟางไป๋ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดมากขึ้นเช่นกัน เขาพูดกับตงฟางจุน “อาจุน เจ้าต้องเร่งดูดซับเจตจำนงกระบี่ให้เร็วมากกว่านี้!”
ตอนนี้เขายังสามารถป้องกันความพยายามลอบสังหารในระดับนี้ได้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฝั่งตรงข้ามมีอาวุธระดับจักรพรรดิหรือมือสังหารเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน?
ในอดีตเทพกระบี่ได้สังหารผู้คนไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงยากที่จะรับประกันได้ว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น
ตงฟางจุนถอนหายใจและพูดว่า “เฮ้อ…ข้าเข้าใจแล้วท่านปู่ ข้าจะรีบดูดซับพวกมันให้เร็วที่สุด!”
ในตอนนี้ถึงแม้ว่าเขาอยากจะอธิบายอะไรออกมาก็ตาม แต่หลังจากที่เขาถูกผู้เชี่ยวชาญระดับนภาครามสองคนพยายามลอบสังหารเช่นนี้ มันส่งผลทำให้ทุกคนพาลคิดว่าเขาคือเทพกระบี่กลับมาชาติมาเกิดตัวจริงทันทีแล้วยิ่งรวมไปถึงที่เขาสามารถใช้รูปแบบกระบี่พื้นฐานที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากหลิงตู้ฉิงได้อีกต่างหาก มันก็คงไม่มีใครเต็มใจที่จะเชื่อเขาอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ตงฟางจุนจึงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงและเดินต่อไปยังบริเวณที่มีเจตจำนงกระบี่เพื่อเริ่มดูดซับพวกมันให้หมด ส่วนต้นมะเดื่อโลหิตอะไรนั่นเขาไม่สนใจมันแม้แต่น้อย
สำหรับหลิงตู้ฉิง เขามองไปที่ตงฟางจุนพร้อมกับยิ้มในใจ จากนั้นเขาเองก็เดินมุ่งไปยังจุดหมายของเขา ซึ่งมันก็เป็นเส้นทางเดียวกับที่ตงฟางจุนเดินมุ่งหน้าไปเช่นกัน
“สามี เขาไม่น่าจะเป็นเทพกระบี่ใช่ไหม?” เย่ชิงเฉิงถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจ เราคงต้องรอดูว่าเขาสามารถดูดซับการโจมตีสุดท้ายนั่นได้สำเร็จรึเปล่า หากเขาสามารถทำได้สำเร็จ มันก็น่าจะมีโอกาสมากกว่า 9 ส่วนที่เขาน่าจะเป็นเทพกระบี่”
“การโจมตีสุดท้าย?” เย่ชิงเฉิงถามด้วยความงงงวย
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “เจตจำนงกระบี่ ที่อยู่บริเวณด้านนอกเป็นเพียงเจตจำนงกระบี่ที่เกิดจากการออกกระบวนท่าธรรมดาเท่านั้น แต่นับจากจุดนี้ที่เราอยู่ไปถึงจุดสิ้นสุดคือห้องโถงใหญ่ของสำนักวิญญาณโลหิต จะเป็นจุดที่มีแต่เจตจำนงกระบี่ที่เข้มข้นกว่าด้านนอก เนื่องจากมันเป็นเจตจำนงกระบี่ที่เกิดขึ้นจากเพลงกระบี่ที่แท้จริงของเทพกระบี่ ดังนั้นเรามาดูกันว่าเขาสามารถดูดซับการโจมตีของเพลงกระบี่ที่แท้จริงได้หรือไม่ ถ้าเขาทำได้เขาก็คือเทพกระบี่”
เย่ชิงเฉิงเหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิงและพูดด้วยรอยยิ้ม “สามี ท่านสามารถดูดซับเจตจำนงกระบี่เหล่านี้ได้หรือไม่?”
“ข้าตั้งใจว่าจะดูดซับมันเข้าไปในยันต์สั่งสวรรค์สักหนึ่งกระบี่ที่รุนแรงที่สุด” หลิงตู้ฉิงอธิบาย
“ถ้างั้นท่านคือเทพกระบี่งั้นหรือ?” เย่ชิงเฉิงถามอย่างสงสัย
“ไม่หรอก ข้าไม่ใช่” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว
เย่ชิงเฉิงมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาสงสัยพลางคิดในใจ หากเขาไม่ใช่เทพกระบี่แล้วเขาจะสามารถดูดเจตจำนงที่เกิดจากเพลงกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดได้ยังไง?
ทางด้านของตงฟางจุนที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขา เขากำลังดูดซับเจตจำนงกระบี่ไปทีละอัน ๆ พลางคร่ำครวญอยู่ในใจ
ทุกเจตจำนงที่ตงฟางจุนดูดซับจนมันหายไปเข้าไปในร่าง ทั่วทั้งบริเวณนั้น ๆ ที่เจตจำนงกระบี่เคยผนึกอยู่ก็หลุดจากการถูกผนึกและค่อย ๆ ฟื้นตัว ส่งผลให้ทุกคนได้เห็นภาพของสำนักวิญญาณโลหิตอันรุ่งเรืองเมื่อหลายหมื่นปีก่อน
ภาพเช่นนี้มันทำให้ทุกคนต่างประหลาดใจและสงสัยในเวลาเดียวกัน หากเรื่องนี้ยังคงดำเนินต่อไป นี่มันจะไม่เท่ากับว่าสำนักวิญญาณโลหิตจะฟื้นฟูเป็นเหมือนเก่าก่อนอย่างนั้นเหรอ?
ที่ด้านหลังกลุ่มของหลิงตู้ฉิงและตงฟางจุน ขณะนี้มีผู้คนมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งหลายคนในกลุ่มคนที่กำลังมุงดูอยู่ก็เป็นศิษย์ของสำนักวิญญาณโลหิตรวมอยู่ด้วยเช่นกัน
ทางด้านของตงฟางจุน ในระหว่างที่เขาดูดซับเจตจำนงกระบี่ เขาก็เหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิงอยู่เรื่อย ๆ เขารู้สึกอยู่เสมอว่าเขาถูกจัดฉากให้กลายเป็นแพะรับโทษแทนใครบางคน
จากรูปการณ์ ถ้าทุกอย่างยังดำเนินไปเช่นนี้โดยที่ไม่มีใครสามารถออกมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาได้ เขาจะต้องถูกตามล่าโดยผู้คนนับไม่ถ้วนในอนาคต
หลิงตู้ฉิงไม่สนใจสายตาของตงฟางจุน เขาพูดกับเย่หยูหลันว่า “เจ้าพร้อมแล้วรึยัง? ถ้าเจ้าพร้อมแล้ว เมื่อไหร่ที่เราไปถึงห้องโถงใหญ่ของสำนักวิญญาณโลหิต เมื่อนั้นมันจะเป็นเวลาที่เจ้าทะลวงระดับได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่หยูหลันตอบกลับด้วยสีหน้าประหม่า “นายท่าน ผนึกป้องกันของที่นี่อันตรายขนาดนี้ มันจะเหมาะงั้นเหรอที่ข้าจะทะลวงระดับที่นี่?”
“ถ้าข้าบอกว่าเจ้าทำได้ มันก็หมายความว่าเจ้าทำได้!” หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ผนึกป้องกันของที่นี่มันสามารถลดทอนความแข็งแกร่งทัณฑ์สวรรค์ของเจ้าลงได้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเจ้าจะต้องต้านมันด้วยตัวเองเพื่อเข้าใจกฎของมัน! ถ้าเจ้าไม่สามารถเอาชนะทัณฑ์สวรรค์ด้วยตัวเองได้บ้าง มันจะมีผลเสียต่ออนาคตการบ่มเพาะของเจ้า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่หยูหลันเริ่มกังวลมากขึ้น
สำหรับหลิงตู้ฉิง หลังจากให้คำแนะนำแก่เย่หยูหลันแล้วเขาก็สั่งหมิงยู่ “เมื่อฝึกฝนวิชาโลหิตอมตะสำเร็จเมื่อไหร่ เจ้าจะมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นเจ้าสำนักวิญญาณโลหิตทันที เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะแบ่งทรัพยากรของสำนักเจ้าไปบางส่วน”
หมิงยู่ตอบว่า “นายท่าน ข้าเป็นสาวใช้ของท่าน ถ้าท่านต้องการจะเอาอะไรของข้าไปข้าย่อมไม่ขัดข้องแน่นอน แต่ว่านายท่าน ต่อให้ข้าฝึกฝนวิชาโลหิตอมตะได้สำเร็จ เจ้าสำนักคนก่อนจะยอมมอบตำแหน่งเจ้าสำนักของเขาให้ข้าง่าย ๆ ขนาดนั้นเลยงั้นหรือ? มันไม่ใช่ว่าเขาจะต้องการฆ่าข้าที่จะมาแย่งตำแหน่งของเขามากกว่างั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงยิ้ม”ตราบใดที่เจ้าฝึกฝนวิชาโลหิตอมตะได้สำเร็จ พวกเขาจะไม่สามารถฆ่าเจ้าได้แน่นอน นอกจากนี้เมื่อถึงเวลานั้นตัวตนของเจ้าจะมีผลเป็นอย่างมากกับมหาวิถีเต๋าที่ค้ำจุนสำนักโดยตรง หากพวกเขาต้องการที่จะฟื้นฟูสำนักให้สมบูรณ์ดังเดิม พวกเขาจำเป็นต้องมีเจ้าเป็นเจ้าสำนัก ดังนั้นพวกเขาจะฆ่าเจ้าได้อย่างไร?”
“เช่นนั้นข้าจะฟังคำสั่งของนายท่าน!” หมิงยู่พยักหน้า
ในระหว่างที่คุยกัน ขณะนี้ตงฟางจุนได้ดูดซับเจตจำนงกระบี่มาเรื่อย ๆ จนถึงครึ่งทางของสำนักวิญญาณโลหิตแล้ว ซึ่งหลังจากที่เขาดูดซับเจตจำนงกระบี่มาทั้งหมดตั้งแต่อันแรกจนถึงตอนนี้ ระดับการบ่มเพาะของเขาก็ทะลวงขึ้นไปถึงขอบเขตนภาระดับ 2 เรียบร้อยแล้ว
แต่เมื่อเขาดูดซับเจตจำนงกระบี่อันล่าสุดเสร็จ ซากของตึกที่ถูกผนึกอยู่ก็คลายลง ส่งผลให้ซากตึกค่อย ๆ ฟื้นฟูขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นตึกที่สวยงามเช่นเดิม
“ไอ้หยา! ใครเป็นคนผลักข้าออกมา!” จู่ ๆ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็ลอยกระเด็นออกมาจากตึกที่พึ่งฟื้นฟูเสร็จพร้อมกับเสียงตะโกนใสแจ๋ว
หลิงตู้ฉิงมองไปทีเด็กหญิง แต่ไม่ได้พูดอะไร
แต่ในทางกลับกัน ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ กลับตะโกนขึ้นถามนางราวกับว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ “นี่เจ้าเป็นใครกัน!?”
ทุกคนต่างงุนงง ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นจุดไหนที่ฟื้นฟู หากพวกเขาไม่พบกับสมบัติต่าง ๆ หรือวัสดุที่ถูกทิ้งไว้ด้านในมันก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตโผล่ออกมาแบบนี้ แล้วทำไมตอนนี้กลับมีคนโผล่ออกมาซะอย่างนั้น?
เด็กหญิงสะอื้น “ข้าเป็นคนของสำนักวิญญาณโลหิต! ว่าแต่พวกเจ้าเถอะพวกเจ้าเป็นใครกัน? ไม่มีใครสามารถเข้ามาในสำนักวิญญาณโลหิตได้เป็นเวลานานนับหมื่นปีแล้วพวกเจ้าเข้ามาได้ยังไงกัน!?”
“คนของสำนักวิญญาณโลหิต?” ตงฟางไป๋ตะคอก “ไร้สาระ! สำนักวิญญาณโลหิตถูกทำลายไปนานหลายหมื่นปีแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะมีชีวิตรอดมาได้นานขนาดนั้น แล้วยิ่งไปกว่านั้นเจ้านั้นเป็นเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญ เจ้าจะไปมีชีวิตอยู่ได้หลายหมื่นปีได้ยังไง? ถ้าเจ้ายังขืนไม่ยอมพูดความจริง ข้าจะลงมือ!”
เด็กสาวตะคอกกลับอย่างเดือดดาล “ข้าผู้นี้เป็นคนของสำนักวิญญาณโลหิตแน่นอนแต่ร่างนี้ของข้านั้นไม่ใช่ร่างจริง ร่างของข้าที่ปรากฏตอนนี้เป็นเพียงร่างวิญญาณภูตพิทักษ์ที่คอยปกป้องมิติลับของสำนักเท่านั้น! พวกเจ้าทุกคนนี่มันช่างชั่วช้าจริง ๆ ในตอนนั้นพวกเจ้าทำลายสำนักวิญญาณโลหิตของข้าจนย่อยยับแล้วมาตอนนี้พวกเจ้ายังกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อจะช่วงชิงมันอีกหรือไง!?”
“วิญญาณภูตพิทักษ์?” ดวงตาของตงฟางไป๋สว่างขึ้น “ถ้างั้นร่างจริงของเจ้าอยู่ที่ไหน แล้วมิติลับที่เจ้าพูดถึงมันคือที่ไหนกัน?”
ทุกคนตาสว่างขึ้น ร่างวิญญาณผู้ปกป้องมิติลับได้ปรากฏขึ้น?
แต่ก่อนที่หญิงสาวจะพูดอะไร หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นว่า “วิญญาณภูตพิทักษ์ เจ้าจงมากับข้า ข้ามีอะไรจะถามเจ้า!”