พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 496 เข้าสู่ห้องโถง
แม้แต่หนิงฉิงที่เคยเห็นกระบี่ที่ 5 นี้มาก่อนเมื่อหลายหมื่นปีแล้วสีหน้าของนางยังกลายเป็นซีดเซียวเหมือนศพ นับประสาอะไรกับคนอื่น ๆ ที่ยังไม่เคยเห็นมัน?
เพราะภายใต้รัศมีกระบี่ที่พาดผ่านเมื่อครู่ ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออยู่ที่ระดับการบ่มเพาะระดับไหน ตราบใดที่คนผู้นั้นบ่มเพาะวิชาของสำนักวิญญาณโลหิต คนผู้นั้นจะถูกลบออกจากโลกไปอย่างไร้ซุ่มเสียง
หรือถ้าจะให้พูดง่าย ๆ ก็คือรัศมีกระบี่นั้นมุ่งเป้าไปที่เหล่าคนที่มีความเกี่ยวข้องกับสำนักวิญญาณโลหิตโดยเฉพาะ
ตราบใดที่คนไหนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักวิญญาณโลหิต คนผู้นั้นก็จะไม่มีปัญหาเลย
“ข้าได้ยินมานานแล้วว่าท่านเทพกระบี่ได้ทิ้งอำนาจกระบี่ของเขาไว้เพื่อปราบปรามสำนักวิญญาณโลหิต แต่พอได้มาเห็นของจริงแล้วมันน่ากลัวกว่าที่ร่ำลือไว้มากนัก!” หลายคนพึมพำกับตัวเอง
แต่ก็มีหลายคนที่ไม่โชคดีนัก เนื่องจากบางคนที่อยู่ในกลุ่มที่ตายเป็นเพียงพวกกลุ่มคนที่บังเอิญพบกับเคล็ดวิชาของสำนักวิญญาณโลหิตมาก่อนหน้านี้และได้ฝึกฝนมันโดยที่พวกเขาไม่ใช่คนของสำนักวิญญาณโลหิต แต่แล้วเมื่อพวกเขาต้องมาเผชิญกับอำนาจกระบี่ที่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นใคร พวกเขาจึงถูกเหมารวมและถูกสังหารไปดื้อ ๆ
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าใครบางคนที่รอดชีวิตอยากจะประท้วงกับความตายของญาติหรือเพื่อนพ้องของพวกเขา แต่ด้วยฉากที่น่าสยดสยองเมื่อครู่ยังคงอยู่ตราตรึงอยู่ในจิตใจ มันจึงไม่มีใครในพวกเขาที่กล้าตะโกนสาปแช่งแม้ว่าหัวใจของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความขุ่นเคือง
สำหรับสำนักวิญญาณกระบี่ เนื่องจากในตอนนี้พวกเขาเข้าใจว่าตงฟางจุนคือเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กังวลเลยว่าเจตจำนงกระบี่ที่อยู่ในสำนักวิญญาณโลหิตจะย้อนกลับมาสังหารพวกเขา
ส่วนทางด้านของหนิงฉิง เนื่องจากนางรอดตายมาจากเจตจำนงกระบี่ได้อย่างปาฏิหาริย์ นางจึงคิดเข้าใจไปไกลว่าหลิงตู้ฉิงได้บอกกับตงฟางจุนผู้เป็นเทพกระบี่กลับชาติมาเกิดว่าให้ละเว้นนางเอาไว้ ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ตงฟางจุนอย่างซาบซึ้ง โดยที่อันที่จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างนั้นถูกกำหนดโดยหลิงตู้ฉิงทั้งหมด
ในขณะนี้หลิงตู้ฉิงไม่สนใจว่าใครจะมีความคิดอะไรทั้งนั้น เขาเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของสำนักวิญญาณโลหิตก่อนทันที
แต่แล้วเมื่อทุกคนตามหลิงตู้ฉิงเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของสำนักวิญญาณโลหิต พวกเขาก็ได้พบกับ ‘กระบี่’ เล่มหนึ่งลอยอยู่เหนือบัลลังก์ที่อยู่สุดอีกฟากของห้องโถง
ในเมื่อที่นี่คือห้องโถงใหญ่ของสำนักวิญญาณโลหิต ซึ่งเป็นเป็นสถานที่ที่สำนักวิญญาณโลหิตใช้พูดคุยเรื่องสำคัญต่าง ๆ ดังนั้นบัลลังก์ที่อยู่สุดอีกฟากของห้องโถงคงแน่นอนว่าต้องเป็นที่นั่งของเจ้าสำนักวิญญาณโลหิต
เมื่อทุกคนเห็น ‘กระบี่’ ที่ลอยอยู่เหนือบัลลังก์ทุกคนก็เริ่มแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความปรารถนา
อันที่จริงกระบี่ที่ลอยอยู่มันไม่ใช่กระบี่จริง แต่มันคือเจตจำนงกระบี่ที่ถูกควบแน่นจนกลายเป็นรูปร่างที่เกิดจากสุดยอดวิชาที่เทพกระบี่ทิ้งเอาไว้ในอดีต
ซึ่งมันคือสุดยอดวิชากระบี่เดียวกับที่ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาในห้องโถงหลักแม้จะผ่านไปหลายหมื่นปี ตราบใดที่เจตจำนงที่ไม่มีวันดับสูญภายในสุดยอดวิชากระบี่นี้สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบรรดาคนของสำนักวิญญาณโลหิต มันจะฆ่าพวกเขาทันทีเช่นเดียวกับฉากเมื่อสักครู่
“อาจุน ต่อไปนี้มันขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!” ตงฟางไป๋พูดอย่างตื่นเต้น
ตอนนี้เขาเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าตงฟางจุนคือเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิด เนื่องจากตลอดทางเขาสามารถดูดซับเจตจำนงกระบี่ได้จนหมดอย่างที่ไม่มีใครเคยทำได้มาก่อน
ดังนั้นในเมื่อตอนนี้เจ้านายที่แท้จริงได้กลับมาแล้ว ตงฟางจุนจะต้องสามารถดูดซับเจตจำนงกระบี่นี้ออกไปได้แน่นอน
และที่สำคัญเจตจำนงกระบี่ตรงหน้ามันไม่ได้เป็นเพียงเจตจำนงกระบี่ธรรมดาเหมือนที่ผ่านมาเท่านั้น แต่นี่มันคือเจตจำนงกระบี่ของกระบี่ที่ห้าของวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ ‘กระบี่แห่งการทำลายล้าง’!
ถึงแม้ว่าภายในสุสานกระบี่จะมีเต๋ากระบี่ของเทพกระบี่ถูกเก็บไว้ แต่บททดสอบของสุสานกระบี่ที่อยู่มานานนับหมื่นปีมันก็ยากจนเกินไปจนไม่มีผู้ใดเคยผ่านบททดสอบกระบี่ที่สี่จนสามารถเห็นกระบี่ที่ห้าได้จนถึงทุกวันนี้ แต่ในตอนนี้กระบี่ที่ห้ากลับมาปรากฎอยู่ต่อหน้าหลานชายของเขาแล้ว หากหลายชายของเขาสามารถดูดซับเจตจำนงกระบี่ที่ห้านี้ไปได้ ความแข็งแกร่งของสำนักวิญญาณกระบี่ของเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ในเวลาเดียวกัน ตงฟางจุนเหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิง แน่นอนว่าในเมื่อทุกอย่างมันดำเนินมาถึงจุดนี้ เขาเองก็ต้องการได้รับเจตจำนงกระบี่นี้เช่นกัน แต่ไม่ว่าเขาจะอยากได้มันมากแค่ไหน เขาก็จำเป็นที่จะต้องถามความเห็นของผู้อาวุโสท่านนี้ที่เขาสงสัยว่าน่าจะเป็นเทพกระบี่ว่าเห็นด้วยหรือไม่?
ซึ่งน่าเสียดายที่หลิงตู้ฉิงไม่เห็นด้วย เขาส่ายหัวและพูดว่า “หยุดแค่นี้ก่อน!”
“อะไรอีกล่ะ?” ตงฟางไป๋หันไปจ้องเขม็งและถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
“ข้ายังคงต้องยืมอำนาจของเจตจำนงกระบี่นี้เพื่อให้คนของข้าผ่านทัณฑ์สวรรค์” หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “พวกเจ้าทุกคนต้องรอให้คนของข้าผ่านทัณฑ์สวรรค์ให้ได้ก่อน แต่ข้าขอเตือนเอาไว้พวกเจ้าทุกคนควรทำตัวดี ๆ ในระหว่างที่คนของข้ากำลังอยู่ในระหว่างเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าจะต้องเสียใจกับผลที่พวกเจ้าต้องเผชิญ!”
หลังจากเตือนทุกคนแล้ว หลิงตู้ฉิงก็พูดกับเย่หยูหลัน ว่า “เอาล่ะ เจ้าเริ่มทัณฑ์สวรรค์ของเจ้าได้แล้ว!”
“ตอนนี้?” เย่หยูหลันถามอย่างไม่แน่ใจพลางคิดในใจ
ในตอนนี้มีคนมากมายกำลังเฝ้ามองนางอยู่ นางไม่ควรเตรียมตัวก่อนงั้นเหรอ? หรือถ้ามีคนซุ่มโจมตีนางในขณะที่นางกำลังเผชิญกับทัณฑ์สวรรค์ นางจะทำยังไง?
“ตอนนี้นี่แหละ!” หลิงตู้ฉิงพูดอย่างจริงจัง “จงมุ่งมั่นกับการจัดการทัณฑ์สวรรค์ของเจ้า อย่าไปกังวลกับเรื่องอื่น!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่หยูหลันสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นนางก็เข้าสู่สภาวะเตรียมรับทัณฑ์สวรรค์
ตงฟางไป๋เหลือบมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยความขยะแขยง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคน ๆ นี้ถึงเอาแต่ใจตัวเองขนาดนี้?
ตงฟางไป๋ไม่สนใจสิ่งที่หลิงตู้ฉิงพูดเช่นกัน เขาส่งโทรจิตไปยังตงฟางจุนว่า “อาจุน เจ้าไม่จำเป็นต้องไปสนใจเขา ตราบใดที่เจ้าดูดซับเจตจำนงกระบี่ได้สำเร็จ แม้ว่าพวกเขาจะมีอาวุธระดับจักรพรรดิพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเขา”
“ท่านลุง การก้าวข้ามทัณฑ์สวรรค์มันใช้เวลาไม่นานนักหรอก เรารอพวกเขาสักหน่อยก็ได้!” ตงฟางจุนแนะนำ
ในความเป็นจริงเขาเองก็กระอักกระอ่วน เนื่องจากเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเจตจำนงกระบี่ที่ห้านั้นมันกลับเพิกเฉยต่อเขาอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเมื่อดูจากตรงนี้เขาจึงมั่นใจได้อย่างสมบูรณ์ว่าเขาไม่ใช่เทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิดตัวจริงอย่างแน่นอน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเขามันก็แค่ ‘แพะรับบาป’ คนหนึ่งที่ในตอนนี้มีคนจำนวนมากต้องการฆ่าเขาให้ตาย!
“ท่านผู้อาวุโส ท่านมีอะไรจะเอ่ยกับข้าสักหน่อยบ้างไหม?” ตงฟางจุนโทรจิตไปหาหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าเศร้าโศก “ท่านทำให้ข้าต้องรับเคราะห์แทนท่าน ท่านรู้ใช่ไหมว่าหลังจากนี้มันจะต้องมีผู้คนมากมายตามเอาชีวิตของข้าแต่ท่านกลับสามารถใช้ชีวิตบ่มเพาะได้อย่างสบายใจเฉิบ ดังนั้นในเมื่อข้าต้องมารับเคราะห์แทนท่านแบบนี้ ท่านคิดว่าแค่ให้เจตจำนงกระบี่กับข้าแค่นิดหน่อยก็เพียงพอแล้วงั้นหรือ?”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ตงฟางจุนด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ตงฟาง เข้ามาหาข้า ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
“อาจุน อย่าเข้าไปมันอาจจะเป็นกลลวง!” ตงฟางไป๋เตือนเขา
ตงฟางจุนไม่ใส่ใจกับคำเตือนของปู่เขา เขาเดินไปหาหลิงตู้ฉิง แล้วถามว่า “พี่หลิง มีอะไรอยากพูดกับข้างั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและเปิดใช้ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาอีกครั้ง ปิดกั้นไม่ให้ทุกคนมองเห็นและได้ยินสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้กับตงฟางจุน “ไอ้หนู ข้าจะย้ำอีกครั้งว่าข้าไม่ใช่เทพกระบี่! หากข้าเป็นจริง ๆ ข้าจะไม่มีวันเกรงกลัวการเปิดเผยตัวเองเป็นอันขาด แต่แน่นอนว่าต่อให้ข้าพูดแบบนี้ออกไปมันก็คงไม่สำคัญอีกแล้วในตอนนี้ เพราะในสายตาผู้อื่นเจ้าได้กลายเป็นเทพกระบี่ไปเรียบร้อย เอาล่ะในเมื่อทุกอย่างเป็นเช่นนี้เจ้าคิดว่าควรจะทำยังไงต่อไป?”
ตงฟางจุนพูดอย่างหดหู่ “ผู้อาวุโส นี่ท่านไม่ได้จัดฉากข้าจริง ๆ งั้นเหรอ?”
“ไอ้หนู เหตุการณ์เดียวที่ข้าจัดฉากเจ้าก็คือตอนที่ข้าทำให้เจ้าสำเร็จร่างกระบี่ นอกจากนั้นข้าก็ไม่ได้ทำอะไรกับเจ้าอีก!” หลิงตู้ฉิงพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย “แต่ถ้าเจ้าไม่พอใจที่ข้าจัดฉากเจ้าในตอนนั้น ข้าก็สามารถถอนร่างกระบี่ของเจ้าออกมาได้เช่นกัน แต่ส่วนวิชากระบี่อื่น ๆ นั้นเจ้าเป็นคนที่ขอร้องข้าให้ถ่ายทอดเองไม่ใช่เหรอไง?”
ตงฟางจุนพูดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “แต่ข้ารู้สึกจริง ๆ นี่นาว่าทุกอย่างมันแปลกเกินไป ทำไมข้าถึงสามารถดูดซับเจตจำนงกระบี่ของเทพกระบี่ได้แบบนี้? ท่านผู้อาวุโส เอาแบบนี้ได้ไหมท่านก็เห็นว่าในตอนนี้ข้ากำลังเดือดร้อนหนัก ท่านพอจะช่วยข้าได้ไหม? ข้าจำได้ว่าท่านเคยบอกว่าท่านรู้จักวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่และเต็มใจที่จะถ่ายทอดมันให้ข้า ถ้าข้าอยากเรียนรู้มันในตอนนี้ ท่านพอจะถ่ายทอดมันให้ข้าได้ไหม?”
ก่อนหน้านี้เขาไม่กล้าที่จะเรียนรู้วิชาดาราโลหิตประสานกระบี่เพราะเขากลัวว่าผู้คนมากมายจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นเทพกระบี่ และมันจะต้องให้เขาเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้
แต่สำหรับตอนนี้ในเมื่อทุกอย่างมันดำเนินมาถึงจุดที่เขาได้กลายเป็นเทพกระบี่ไปเรียบร้อยในสายตาผู้อื่นไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีอะไรจะเสีย
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ตงฟางจุนและยิ้ม “เจ้าควรจะคิดอย่างรอบคอบนะ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าหลังจากที่ข้าถ่ายทอดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ให้กับเจ้าแล้ว เจ้าจะต้องเป็นคนของข้าและต้องทำงานให้ข้า”
“ข้ามีทางเลือกด้วยงั้นเหรอ?” ตงฟางจุนกลอกตาและพูดว่า “แต่อย่างน้อย ๆ ท่านก็ต้องให้ความสามารถในการป้องกันตัวไว้กับข้าบ้าง มิฉะนั้นถ้าข้าถูกฆ่า ท่านก็จะเสียคนที่ยอมทำตามคำสั่งท่านไปคนหนึ่ง!”
“เอางั้นก็ได้ ข้าจะมอบเจตจำนงกระบี่ที่อยู่ข้างนอกให้กับเจ้าเอาไว้ป้องกันตัว แต่เมื่อไหร่ที่เจตจำนงกระบี่นั้นเข้าสู่ร่างกายของเจ้า มันจะสร้างผนึกขึ้นในจิตวิญญาณของเจ้าด้วย หากวันหนึ่งเจ้าถูกล้วงความลับโดยวิธีค้นวิญญาณเมื่อไหร่ วิญญาณของเจ้าจะถูกทำลายโดยทันที ดังนั้นหากเจ้าต้องการที่จะอยู่รอดไปจนตลอดรอดฝั่ง เจ้าจะต้องฝึกฝนให้หนักที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อปกป้องตัวเอง นอกจากนี้วิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ที่ข้ากำลังจะถ่ายทอดให้เจ้า เจ้าจงจำไว้ว่าเจ้าไม่สามารถถ่ายทอดไปให้กับผู้อื่นได้!”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็ถ่ายทอดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ให้กับตงฟางจุน