พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 498 หลอมรวมกระบี่แห่งการทำลายล้าง
หลายคนขมวดคิ้วขณะที่พวกเขามองไปที่หลิงตู้ฉิง
พวกเขาทุกคนต่างรู้สึกว่าหลิงตู้ฉิงแสดงท่าทีโอหังมากเกินไป
สถานที่แห่งนี้ไม่ใช่ของเขา แต่เป็นสำนักวิญญาณโลหิต เจตจำนงกระบี่นี้ก็ไม่ใช่ของเขาเช่นกัน มันเป็นเจตจำนงกระบี่ที่ถูกทิ้งไว้โดยเทพกระบี่ ซึ่งเจ้าที่กลับชาติมาเกิดก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรขึ้นมาด้วยซ้ำ
อันที่จริงไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ๆ แม้แต่ตงฟางไป๋ก็มองหลิงตู้ฉิงอย่างดูหมิ่น พลางสบถด่าในใจ
‘เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเองที่มาจากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์สามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการงั้นหรือ? ช่างไม่สำนึกบ้างเลยว่าในตอนนี้สำนักของเจ้าเองยังแทบเอาตัวไม่รอดจากปัญหาภายในสำนักของเจ้า!’
“อาจุน เจ้าจงดูดซับเจตจำนงกระบี่ได้เลย ข้าอยากจะเห็นนักว่าพวกเขาจะผ่านทัณฑ์สวรรค์กันยังไง!” ตงฟางไป๋โทรจิตเสียงของเขาไปหาตงฟางจุน
แม้ว่าเขาจะไม่พอใจ แต่มันก็ไม่เหมาะสมที่เขาจะเผชิญหน้ากับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์อย่างเปิดเผย
แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากับสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์จะไม่ดีนัก แต่มันก็ไม่มีความเกลียดชังระหว่างกันจนถึงขั้นแตกหัก
ถ้าเขาขัดขวางการผ่านทัณฑ์สวรรค์ของเย่หยูหลันอย่างเปิดเผย นั่นจะเป็นการสร้างความบาดหมางอย่างสิ้นเชิง
เมื่อได้รับโทรจิตเช่นนี้ ตงฟางจุนก็รู้สึกหมดหนทาง เขายิ้มอย่างอ่อนใจและตอบกลับว่า “ท่านปู่ ข้าคิดว่าเราควรดูไปก่อน”
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการดูดซับเจตจำนงกระบี่ ในเวลานี้เขารู้ตัวดีว่าเจตจำนงของกระบี่ไม่สนใจเขาอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเขาจะดูดซับมันได้อย่างไร?
ในขณะนี้คนที่ตะโกนว่าเขาจะผ่านทัณฑ์สวรรค์ จู่ ๆ ก็มีความกล้ามากขึ้นหลังจากได้รับการสนับสนุนจากเหล่าสหายที่อยู่ข้าง ๆ เขา จากนั้นเขาพูดกับหลิงตู้ฉิง “ข้าจะเริ่มผ่านทัณฑ์สวรรค์ในตอนนี้ หากเจ้ากล้าทำอะไรกับข้า ต่อไปคนทั้งโลกจะได้รู้ว่าธาตุแท้สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเจ้ามันเป็นยังไง!”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญ และยิ้มอย่างเย็นชาโดยไม่พูดอะไร
เขาเคยเจอมาเยอะแล้วกับพวกคนโง่เง่าเช่นนี้
ในเวลานั้นวิธีเดียวที่จะจัดการให้คนประเภทนี้หุบปากได้ก็คือการฆ่าพวกมันจนไม่มีใครกล้าแม้แต่จะหายใจแรงต่อหน้าเขา
แต่ตอนนี้ในเมื่อเขาไม่สามารถฆ่าคนได้อย่างใจนึก ดังนั้นเขาจึงต้องใช้วิธีอื่นในการสั่งสอนคนเหล่านี้โดยที่เขาไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ซึ่งคำตอบก็คือการยืมใช้เจตจำนงของทาสกระบี่ที่มีนิสัยคล้ายคลึงกับเขามากที่สุด
เย่ชิงเฉิงพูดอย่างประหม่า “สามีเราจะทำยังไงดี หากเป็นแบบนี้คนพวกนี้จะส่งผลกระทบต่อป้าหลันแน่นอนเลยใช่ไหม?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ไม่ต้องกังวล มันไม่ใช่ทุกคนที่สามารถยืมอำนาจของเจตจำนงกระบี่เพื่อผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้ หากมีใครคนอื่นลองผ่านทัณฑ์สวรรค์ตอนนี้ พวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน การสังหารนั้นมันง่ายกว่าการต้านสายฟ้าจากทัณฑ์สวรรค์เป็นไหน ๆ!”
หลังจากพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็มองไปที่คนที่กำลังเตรียมรับทัณฑ์สวรรค์
ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญยิ้มอย่างเย็นชาให้หลิงตู้ฉิง และเริ่มเร่งโคจรพลังวิญญาณของเขาออกมาอย่างยั่วเย้าหลิงตู้ฉิง เพื่อเตรียมพร้อมที่จะผ่านทัณฑ์สวรรค์ ซึ่งในขณะเดียวกันสหายของอีก 2-3 คนก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาระแวดระวังกลัวว่า หลิงตู้ฉิงจะลงมือ
ส่วนผู้คนอื่น ๆ ที่อยู่โดยรอบต่างก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาสนใจเช่นกัน
การปิดกั้นผู้อื่นไม่ให้ผ่านทัณฑ์สวรรค์นั้นเป็นการกระทำที่น่ารังเกียจอย่างสิ้นเชิง ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ มันคงจะก่อให้เกิดความเกลียดชังอย่างสุดซึ้ง คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์จะกล้าทำแบบนี้จริง ๆ งั้นเหรอ?
แต่แล้วในชั่ววินาทีถัดมาที่ผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญกำลังโคจรพลังวิญญาณของเขาจนเกือบจุดสูงสุดพร้อมที่จะรับทัณฑ์สวรรค์ จู่ ๆ เจตจำนงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากกระบี่ที่ลอยอยู่เหนือบัลลังก์เข้าไปหาผู้เชี่ยวชาญระดับนักบุญผู้นั้นทันที ส่งผลให้ร่างของเขาสลายหายไปไม่เหลือไว้แม้แต่ร่องรอยใด ๆ!
ชะตากรรมเช่นนี้มันไม่ต่างอะไรจากสิ่งที่กลุ่มคนที่ฝึกฝนวิชาของสำนักวิญญาณโลหิตต้องเผชิญเมื่อครู่แม้แต่น้อย
หลิงตู้ฉิงที่รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ก็มองไปที่เหล่ากลุ่มคนที่ตะโกนด่าเขาเมื่อครู่อย่างไม่ไยดีโดยที่ไม่พูดอะไร
เหล่าคนกลุ่มนั้นที่เห็นว่าสหายของตัวเองถูกสังหารลงไปอย่างโหดเหี้ยมต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ทุกคนต่างจ้องไปที่กระบี่ที่อยู่เหนือบัลลังก์ในห้องโถง และจากนั้นพวกเขาก็เบนสายตาไปที่ตงฟางจุน
“นี่เจ้า…” เหล่ากลุ่มคนที่สูญเสียสหายไปเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ
ทางด้านของตงฟางจุนก็โกรธมากเช่นกันพร้อมสบถในใจ แม่งเอ๊ย! ข้าไม่ได้ฆ่าเขาสักหน่อยทำไมพวกเจ้าถึงมองข้าแบบนี้!?
ตอนนี้เขารู้สึกหมดหนทางมาก เนื่องมันเป็นเพราะทุกคนเขาว่าเขาคือเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิด มันจึงพาลให้ทุกคนคิดเข้าใจว่าเขาคือผู้ลงมือ
ตงฟางไป๋ที่ได้เห็นเช่นนี้ก็ตกตะลึงเช่นกันและพูดว่า “อาจุน…”
ตงฟางจุนที่อับจนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไร จู่ ๆ เขาก็ตัดสินใจพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีแต่ผู้ที่ข้าอนุญาตแล้วเท่านั้นถึงจะสามารถผ่านทัณฑ์สวรรค์ที่นี่ได้!”
ตอนนี้เขารู้ตัวว่าเขาคงทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว เขาได้เรียนรู้วิชาดาราโลหิตประสานกระบี่แล้ว แถมทุกคนก็เข้าใจว่าเขานั้นเป็นเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิดที่แท้จริงอีกต่างหาก ดังนั้นเขาก็เหลือแค่เพียงทางเลือกเดียวคือต้องเล่นไปตามน้ำ
ตงฟางไป๋มองไปที่ตงฟางจุนอย่างจนใจ ถ้าหลานชายของเขาคนนี้คือเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิดจริง ๆ มันก็ไม่มีอะไรที่เขาจะทำได้
สำหรับกลุ่มคนที่สหายถูกสังหาร พวกเขาจ้องมองไปที่ตงฟางจุนอย่างเศร้าโศกก่อนจะหันหลังจากไปด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
เมื่อมองเห็นสีหน้าที่ไม่เป็นมิตรของพวกคนเหล่านั้น ตงฟางจุนก็รู้สึกกังวลขึ้นมาจับใจ เขาโทรจิตไปหาหลิงตู้ฉิงทันที “ผู้อาวุโส ข้าขอร้องอย่าฆ่าใครอีก! ขืนท่านฆ่าคนเพิ่มต่อไปอีกข้าเกรงว่าข้าคงไม่สามารถรอดไปถึงอาณาเขตสุสานกระบี่ได้แน่นอน!”
ตงฟางจุนรู้ดีว่าเรื่องนี้มันต้องเกี่ยวกับหลิงตู้ฉิงเต็ม ๆ แต่ปัญหาก็คือเขาไม่สามารถเอ่ยความจริงนี้กับใครคนอื่นได้ ซึ่งมันทำให้เขาหดหู่จนถึงจุดที่เขาไม่รู้จะทำอย่างไร
หลิงตู้ฉิงมองไปที่ตงฟางจุน แต่ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไปเนื่องจากเขาเองไม่ได้เป็นคนออกคำสั่งใด ๆ เช่นกัน สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเป็นเพราะเจตจำนงของทาสกระบี่ที่สัมผัสได้ถึงความตั้งใจของเขาและตัดสินใจที่จะฆ่าคนเหล่านี้ให้กับเขา
ต่อมาเมื่อทุกคนได้รับบทเรียนแล้วมันจึงไม่มีใครกล้ายืมอำนาจของจตจำนงกระบี่ในสถานที่แห่งนี้เพื่อผ่านทัณฑ์สวรรค์อีก
ซึ่งในเวลาเดียวกัน มันก็ไม่มีใครกล้ารบกวนการผ่านทัณฑ์สวรรค์ของเย่หยูหลันเช่นกัน มันจึงทำให้นางสามารถผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างปลอดภัยและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับนภาครามอย่างสมบูรณ์ได้หลังจากนั้นไม่นาน
เมื่อเห็นว่าเย่หยูหลันผ่านทัณฑ์สวรรค์ได้แล้ว ตงฟางจุนจึงส่งโทรจิตของเขาไปหาหลิงตู้ฉิงเพื่อถามว่า “ผู้อาวุโส ข้าสามารถดูดซับกระบี่ได้แล้วรึยัง?”
แต่ก่อนที่หลิงตู้ฉิงจะทันได้ตอบกลับ ‘กระบี่’ ที่ลอยอยู่เหนือยบัลลังก์ก็พุ่งเข้าหาตงฟางจุนและค่อย ๆ หลอมรวมเข้ากับร่างของตงฟางจุน
“เขาคือเทพกระบี่กลับชาติมาเกิดจริง ๆ!” เหล่าผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างร้องอุทาน
ณ จุดนี้ไม่มีอะไรให้สงสัยอีกต่อไป ตัวตนของตงฟางจุนได้รับการ ‘ยืนยัน’ ในที่สุด
ทุกคนต่างรู้ว่า ‘กระบี่แห่งการทำลายล้าง’ นี้แตกต่างจากเจตจำนงกระบี่ก่อนหน้าที่อยู่ในจุดอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง มันคือเจตจำนงที่สำคัญที่สุด ซึ่งถ้าหากไม่ใช่เทพกระบี่ที่แท้จริงมันก็ไม่ควรจะมีใครที่สามารถดูดซับมันได้
แต่เมื่อ ‘กระบี่แห่งการทำลายล้าง’ หลอมรวมเข้ากับร่างของตงฟางจุน สิ่งที่น่าฉงนแก่คนอื่น ๆ มากที่สุดก็คือกลิ่นอายและระดับการบ่มเพาะของตงฟางจุนนั้นกลับไม่เปลี่ยนแปลงเลย
ในตอนนี้ตงฟางจุนรู้สึกมากขึ้นมาหน่อยที่อย่างน้อย ๆ เขาก็ได้เจตจำนงกระบี่นี้มา เขาสัมผัสได้ถึงตัวตนของเทพกระบี่ในจิตสำนึกของเขาตลอดเวลาและรู้สึกถึงเจตจำนงกระบี่ของเทพกระบี่ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา
“อาจุน…” ตงฟางไป๋ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
ตงฟางจุนเป็นหลานชายของเขา ซึ่งเป็นเทพกระบี่กลับชาติมาเกิดถ้าหากนับกันตามลำดับอาวุโสแล้วมันก็เท่ากับว่าตงฟางจุนอยู่ในรุ่นเดียวกับบรรพบุรุษของเขาเลยด้วยซ้ำ
ตงฟางจุนหัวเราะ “ท่านปู่ สิ่งที่ข้าเคยเป็นมันไม่สำคัญอะไร ที่สำคัญคือสิ่งที่ข้าเป็นตอนนี้ เอาล่ะในเมื่อตอนนี้ข้าได้รวบรวมเจตจำนงกระบี่ครบแล้ว เราควรออกจากสำนักวิญญาณโลหิตได้แล้ว”
ใบหน้าของตงฟางไป๋เผยให้เห็นรอยยิ้มที่พอใจและพูดว่า “สำนักวิญญาณโลหิตนี้ยังคงมีสมบัติมากมายที่เรายังไม่ได้เก็บเกี่ยว แล้วยิ่งกระบี่แห่งการทำลายล้างถูกเจ้าดูดซับไปแล้ว ผนึกต่าง ๆ ภายในสำนักวิญญาณโลหิตจะต้องคลายลงอย่างแน่นอน และในตอนนั้นปู่ว่าเราควรจะไปหาโอสถวิเศษต่าง ๆ ที่ยังเหลืออยู่ที่นี่มาให้เจ้าใช้ในการบ่มเพาะในอนาคตต่อก่อนสักหน่อยจะดีกว่า”
เมื่อนึกถึงคำพูดของหลิงตู้ฉิง ตงฟางจุนก็ส่ายหัวและพูดว่า “เทียบกับโอสถของสำนักวิญญาณโลหิตแล้วการไปที่สุสานกระบี่นั้นสำคัญมากยิ่งกว่า ยิ่งไปกว่านั้นหากข้าแข็งแกร่งขึ้นเมื่อไหร่พวกโอสถต่าง ๆ นั้นข้าจะหาใช้มันเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้นเราไม่ควรเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไป”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ตงฟางไป๋ก็ได้แต่แสดงสีหน้าจนใจและพูดได้แค่ว่า “งั้นก็เอาตามที่เจ้าว่าก็ได้!”
เมื่อเทพกระบี่พูด มันก็แน่นอนว่าเขาต้องจะฟัง แต่ก่อนที่เขาจะจากไปเขาก็มองไปที่หนิงฉิงอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็บินออกไปจากสำนักวิญญาณโลหิตพร้อมกับคนของเขา
แต่แล้วหลังจากที่พวกเขาออกจากสำนักวิญญาณโลหิตได้ไม่นาน พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณที่รุนแรงเป็นอย่างมากที่เกิดขึ้นในสำนักวิญญาณโลหิต
พวกเขารีบหันกลับไปมองทันทีและพบว่าบรรดาตึกและศาลาต่าง ๆ ของสำนักวิญญาณโลหิตที่พังทลายในตอนนี้กำลังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ พร้อมกับเหล่าสมุนไพรวิญญาณและพืชพรรณต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในที่ตั้งของสำนักวิญญาณโลหิต
“สำนักวิญญาณโลหิตฟื้นขึ้นมาแล้ว” ตงฟางจุนพึมพำ
“อาจุนเราจะไม่เข้าไปเก็บสมบัติอะไรสักหน่อยเหรอ?” ตงฟางไป๋พูดอย่างไม่เต็มใจ
“ไม่จำเป็น สิ่งที่เราควรทำตอนนี้ก็คือต้องรีบไปที่อาณาจักรสุสานกระบี่ให้เร็วที่สุด!” ตงฟางจุนส่ายหัว
ในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นไปตามที่หลิงตู้ฉิงพูดอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แล้วแบบนี้เขายังจะกล้ากลับไปได้อย่างไร?
ในเวลานั้นแม้ว่าหลิงตู้ฉิงจะช่วยปกป้องเขา แต่ปู่ของเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็มีแค่เพียงอยู่ห่างจากสำนักวิญญาณโลหิตให้ได้ไกลมากที่สุดก็เท่านั้น