พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 500 สรวงสวรรค์แห่งความตาย
สำนักวิญญาณโลหิตกลับมาแล้ว
เนื่องจากเทพกระบี่ได้ถอนเจตจำนงกระบี่ที่ผนึกสำนักวิญญาณโลหิตออก ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันของสำนักวิญญาณโลหิตจึงปรากฏตัวขึ้นและประกาศเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้
ข่าวนี้แพร่กระจายไปทุกทิศทางโดยผู้คนที่ถูกไล่ออกมาจากสำนักวิญญาณโลหิต
ทุกคนที่ได้รับข่าวสารต่างรู้อย่างชัดเจนว่านับตั้งแต่วันนี้อาณาเขตวิญญาณโลหิตกำลังจะเปลี่ยนไป
ในขณะนี่ ผู้คนของสำนักวิญญาณโลหิตกำลังมองไปที่ห้องโถงใหญ่ของสำนักพลางถอนหายใจด้วยอารมณ์อันตื้นตัน
ในที่สุดพวกเขาก็ได้กลับมาแล้ว!
ทุกคนเดินไปเข้าด้านในห้องโถงใหญ่ของสำนักวิญญาณโลหิต และมองไปที่บัลลังก์เจ้าสำนักที่ว่างเปล่าโดยไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรออกมาดี
“หนิงฉิงอยู่ที่ไหน?” เจ้าสำนักสำนักวิญญาณโลหิตถามขึ้น
“นางตามกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งไปที่ด้านหลังของภูเขา!” มีคนออกมารายงานทันที
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของเจ้าสำนักก็เปลี่ยนไปในทันทีพลางถามขึ้นกลับอีกครั้ง “นี่นางไปที่ด้านหลังของภูเขางั้นเหรอ?”
คนของสำนักวิญญาณโลหิตของเขากล้าไปที่ภูเขาด้านหลังได้ยังไง? เกิดอะไรขึ้น?
ในอดีตเมื่อเทียบกับห้องโถงใหญ่ของสำนักแล้ว คนของสำนักวิญญาณโลหิตมักจะไปที่ภูเขาด้านหลังบ่อยกว่ามากเพราะพื้นที่บริเวณนั้นคือที่ตั้งของ หอคัมภีร์ ตำหนักโอสถ ตำหนักยุทธภัณฑ์
อย่างไรก็ตามต่อมาเมื่อสำนักพวกเขาถูกทำลาย ภูเขาด้านหลังก็ถูกผนึกเช่นกันและตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไปที่นั่นอีก
แต่แล้วตอนนี้หนิงฉิงกลับไปที่ด้านหลังของภูเขาทั้งที่นางรู้ว่ามันถูกปิดผนึกอยู่?
หรือว่ามันจะเป็นไปได้ไหมที่ผนึกของสำนักจะไม่ได้คลายลงแต่เพียงพื้นที่ภูเขาด้านหน้าสำนัก?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ทุกคนจึงมองไปที่ด้านหลังของภูเขาอย่างตั้งใจและรอคอย
ในขณะนี้ หลิงตู้ฉิงและกลุ่มคนของเขาที่อยู่พื้นที่ด้านหลังภูเขาได้มาถึงตำหนักโอสถแล้วโดยไม่มีสิ่งใดมาขัดขวาง
ตำหนักโอสถ และ ตำหนักยุทธภัณฑ์ นั้นคือสถานที่ที่มีคนเข้ามาสำรวจมากที่สุดหลังจากที่สำนักวิญญาณโลหิตถูกทำลาย เนื่องจากสำนักวิญญาณโลหิตนั้นคือสำนักมหาอำนาจ ดังนั้นทั้งโอสถหรือยุทธภัณฑ์วิเศษต่าง ๆ ที่ถูกเก็บไว้ด้านในมันจะต้องเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากแน่นอน
โดยเฉพาะบรรดาโอสถที่ถูกเก็บไว้นานหลายหมื่นปีตั้งแต่ยุคที่เต๋าโอสถยังรุ่งเรือง ซึ่งบางทีสำหรับสำนักวิญญาณโลหิตในเวลานั้นมันคงจะเป็นเพียงเม็ดโอสถธรรมดา
อย่างไรก็ตามในอีกหลายหมื่นปีต่อมามูลค่าของโอสถเม็ดธรรมดาเหล่านี้อาจพูดได้ว่าหาที่เปรียบมิได้เนื่องจากการล่มสลายของสำนักนิรันดร์ ตัวอย่างเช่น โอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ที่ในสมัยก่อนมันจัดได้ว่าเป็นโอสถที่ไม่ได้หายากอะไรมากมาย แต่ในยุคนี้นั้นมันถือว่าเป็นของล้ำค่าและหายากมาก ดังนั้นมันจึงมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่าเก้าส่วนที่โอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิจะสามารถพบได้ในตำหนักโอสถ
ในทำนองเดียวกัน ตำหนักยุทธภัณฑ์ก็เป็นสถานที่ที่หลายคนใฝ่ฝัน
ในทางตรงกันข้ามมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไปที่หอคัมภีร์ ที่เก็บเคล็ดวิชาต่าง ๆ ของสำนักวิญญาณโลหิต เนื่องจากถึงแม้ว่าพวกเขาจะโชคดีได้รับเคล็ดวิชาของสำนักวิญญาณโลหิต มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจและฝึกฝนมันหรือบางทีหากฝึกไปแล้วมันอาจจะก่อให้เกิดปัญหากับร่างกายของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นการไปตามหาโอสถหรืออาวุธจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจกว่าเป็นไหน ๆ เพราะมันสามารถนำมาใช้ได้เลย
แต่น่าเสียดายที่ผนึกของตำหนักโอสถและตำหนักยุทธภัณฑ์นั้นทรงพลังเกินไป ดังนั้นคนธรรมดาจึงไม่มีใครที่สามารถเข้าไปด้านในได้ หรือถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะผ่านประตูหน้าเข้าไปได้ ที่ด้านในมันก็ยังมีผนึกต่าง ๆ อีกมากมาย ซึ่งถ้าหากพวกเขาโชคดีพวกเขาก็อาจจะหาเจอโอสถไม่กี่เม็ดที่อยู่ในห้องที่มีผนึกอ่อนแอลงมาหน่อย
“นายท่านที่นี่คือ ตำหนักโอสถ ของสำนักวิญญาณโลหิตของเรา!” หนิงฉิงแนะนำด้วยความคาดหวัง
แม้ว่ามันนานมากแล้วที่ไม่มีศิษย์คนไหนของสำนักวิญญาณโลหิตเข้ามาถึงตรงจุดนี้ได้ แต่หนิงฉิงก็ยังรู้จักสถานที่นี้เป็นอย่างดีเพราะมันคือสถานที่ที่สำคัญที่อยู่ในบันทึกของสำนักที่นางเคยอ่านบ่อย ๆ
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “เราจะยังไม่เข้าไปในตำหนักโอสถ เราจะไปที่หอคัมภีร์กันก่อน!”
หนิงฉิงพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ และไม่พูดอะไรอีก แม้ว่านางต้องการไปที่ตำหนักโอสถ แต่นางก็ไม่รีบร้อน
อันที่จริงในบริเวณด้านหลังภูเขานี้ไม่ได้มีเพียงแค่กลุ่มของหลิงตู้ฉิงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ แต่มันยังมีกลุ่มอื่นที่ลอบเข้ามาสำรวจเมื่อตอนที่ผนึกที่ภูเขาด้านหน้าถูกคลายลง ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก กลุ่มของหลิงตู้ฉิงก็ถูกพบเห็นจากคนนอกหลายกลุ่ม ซึ่งพวกเขาต่างเห็นว่ากลุ่มของหลิงตู้ฉิงนั้นสามารถเดินไปมาในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างสบาย ๆ โดยที่ไม่ถูกขัดขวางโดยอุปสรรคอะไรเลย
เมื่อเห็นเช่นนี้หลายคนจึงมีความคิดคล้ายกันว่า กลุ่มของหลิงตู้ฉิงจะต้องคุ้นเคยกับพื้นที่ด้านหลังภูเขาของสำนักวิญญาณโลหิตแน่นอน ถ้าหากพวกเขาได้หลิงตู้ฉิงมานำทางให้มันคงจะง่ายขึ้นหากพวกเขาจะเข้าไปในตำหนักโอสถและตำหนักยุทธภัณฑ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามองไปที่ระดับการบ่มเพาะของเย่หยูหลัน แม้ว่าหลายคนจะมีความคิดที่จะเข้ามาทาบทาม แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะลงมือทำ เพราะพวกเขาไม่แข็งแกร่งจนมีอำนาจต่อรองพอ
แต่แล้วในที่สุดมันก็มีคนที่แข็งแกร่งพอโผล่มาจนได้
ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับนภาครามปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อีกสองคนโผล่เข้ามาขวางเส้นทางของหลิงตู้ฉิง และพูดขึ้นว่า “ดูเหมือนว่าท่านจะคุ้นเคยกับผนึกของที่นี่เป็นอย่างดี ดังนั้นโปรดช่วยนำทางเราไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นอะไรที่เราหาเจอ เราจะแบ่งปันมันคนละครึ่ง!”
“ข้าไม่สนใจ!” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว
ไม่ช้าก็เร็วยังไงเขาก็ได้รับส่วนแบ่งจากสิ่งของทั้งหมดอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจที่จะร่วมมือกับบุคคลอื่น ๆ
“อาจารย์ลุงของข้าชักชวนเจ้าเพราะเขาเห็นแก่ความสามารถของเจ้า” ผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อีกคนพูดขึ้น “แต่เจ้ากลับปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยแบบนี้มันเท่ากับว่าไม่ไว้หน้าอาจารย์ลุงของข้าเลยชัด ๆ เจ้าอยากจะลองดีกับพวกเรางั้นเหรอไง?”
เมื่อพูดจบผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เผยเจตจำนงฆ่าของเขาที่มีต่อหลิงตู้ฉิงทันที ซึ่งการกระทำของเขาเช่นนี้มันเห็นได้ชัดว่าเป็นการคุกคาม
“รนหาที่ตายจริง ๆ” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว
การคุกคามเขาในสถานที่แห่งนี้ หากไม่เรียกว่ารนหาที่ตายก็ไม่รู้ว่าจะต้องเรียกว่าอย่างไร
ในเวลาเดียวกับที่หลิงตู้ฉิงพูดจบ ผีเสื้อทั้งสามตัวก็บินเข้าไปเกาะคนทั้งสาม จากนั้นทั้งสามคนก็ค่อย ๆ หลับตาลงและร่างกายของพวดเขาก็ค่อย ๆ ร่วงลงไปนอนราวกับว่าพวกเขาหลับใหล แต่อันที่จริงในตอนนี้ดวงวิญญาณของพวกเขาได้หายไปแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญระดับนภาครามและระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์อีกสองคนไม่มีโอกาสได้ตอบโต้ใด ๆ ทั้งสิ้นพวกเขาถูกสังหารลงอย่างเงียบเชียบและง่ายดาย
เมื่อเสร็จสิ้นการสังหาร ผีเสื้อทั้งสามตัวก็กระพือปีกบินไปรอบ ๆ หลิงตู้ฉิง 2-3 รอบแล้วบินจากไปรวมกลุ่มกับผีเสื้อที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วด้านหลังของภูเขา
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ความกลัวในดวงตาของหนิงฉิงก็เพิ่มมากขึ้นพร้อมกับที่นางยิ่งลดศีรษะลงต่ำลง
นี่คือเหตุผลที่เหล่าคนของสำนักวิญญาณโลหิตไม่กล้ามาที่ด้านหลังของภูเขา เพราะที่นี่นั้นมีอันตรายที่แอบแผงอยู่นั่นก็คือพวกเหล่าผีเสื้อ! หากเหล่าผีเสื้อพุ่งเป้าไปที่ใครแล้วมันไม่มีทางที่คนผู้นั้นจะรอดไปได้ ปลายทางเดียวที่คนผู้นั้นจะต้องเผชิญก็คือนอนตายกลายเป็นปุ๋ยให้กับดินที่อยู่ในบริเวณนี้
โดยไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชัน หากต้องเผชิญหน้ากับผีเสื้อชะตาของเขาก็ไม่ต่างกัน
จากนั้นด้านหลังของภูเขาก็กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามแม้ว่ามันจะดูเหมือนสวรรค์บนดินก็ตาม
ตลอดการเดินทาง ตราบใดที่ใครก็ตามกล้าที่จะหยุดพวกเขาหรือจะให้หลิงตู้ฉิงเป็นผู้นำทาง ผลลัพธ์คนผู้คนที่กล้ามาขวางก็จะเหมือนกัน
ดังนั้นระหว่างทางจึงมีซากศพมากกว่าหนึ่งโหลปรากฏขึ้นอย่างเงียบ ๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดหลิงตู้ฉิงก็พาคนของเขามาถึงที่หอคัมภีร์
บรรยากศของบริเวณหอคัมภีร์นั้นเงียบยิ่งกว่าบริเวณอื่น ๆ เป็นอย่างมากหรือมันอาจเรียกได้ว่าเงียบอย่างน่ากลัว
และที่น่าแปลกอีกอย่างก็คือบริเวณรอบ ๆ หอคัมภีร์นั้นมีผีเสื้อน้อยกว่าบริเวณอื่นมาก ๆ ราวกับว่าที่นี่มีบางอย่างที่พวกมันไม่เต็มใจจะอยู่ใกล้
ความจริงก็คือ เมื่อหลิงตู้ฉิงผลักประตูหอคัมภีร์ให้เปิดออก ทุกคนก็ได้เห็นผีเสื้อตัวใหญ่ที่มีความสูงถึงครึ่งหนึ่งของมนุษย์อยู่ด้านใน ซึ่งมันทำให้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าทำไมที่นี่ถึงไม่ค่อยมีผีเสื้อเหมือนบริเวณอื่น
เมื่อผีเสื้อตัวยักษ์ที่สูงเท่ากับครึ่งหนึ่งของมนุษย์มองไปที่หลิงตู้ฉิง มันก็กระพือปีกบินขึ้นอย่างตื่นเต้นและบินไปหาหลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงยื่นแขนออกไปและปล่อยให้ผีเสื้อตัวยักษ์เกาะอยู่บนนั้น เขามองไปที่ผีเสื้อด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่ผีเสื้อกระพือปีกและมองกลับไปที่หลิงตู้ฉิงเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นาน หลิงตู้ฉิงก็หยิบยันต์สั่งสวรรค์ออกมาและชี้ไปที่ผีเสื้อตัวใหญ่
จากนั้นผีเสื้อตัวใหญ่บินเข้าไปในยันต์สั่งสวรรค์ตามด้วยผีเสื้อทั้งหมดที่อยู่ด้านหลังของภูเขาต่างก็บินเข้าไปในยันต์สั่งสวรรค์
และจากนั้นบนยันต์สั่งสวรรค์ก็มีภาพร่างของภูตตนหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้น
เมื่อผีเสื้อทั้งหมดบินเข้าไปในยันต์สั่งสวรรค์จนเสร็จ ภูตที่อยู่ด้านในของยันต์สั่งสวรรค์ก็ดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาขึ้นมา จากนั้นมันก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนพอใจเป็นอย่างมาก