พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 501 มหาวิถีแห่งเลือดปรากฏ
เมื่อ ‘ผีเสื้อ’ ที่ด้านหลังภูเขาหายไป กฎของสวรรค์และโลกทุกประเภทที่ด้านหลังของภูเขาก็พวยพุ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เนื่องจากผนึกที่เคยปิดกั้นมันไว้ถูกคลายออก ส่งผลให้เหล่าคนนอกหลายคนที่ยังคงยุ่งอยู่กับการค้นหาสมบัติในอาณาเขตที่เคยถูกผนึกไว้ถูกสังหารทันทีก่อนที่พวกเขาจะสามารถตอบโต้ได้
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ บางคนที่โชคดีรอดตายเนื่องจากไม่ได้อยู่ในเขตที่ถูกผนึกก็ได้แต่วิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก
ในทางกลับกัน เหล่าผู้คนของสำนักวิญญาณโลหิตที่อยู่พื้นที่ส่วนภูเขาด้านหน้าต่างตกตะลึงปนดีใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เจ้าสำนักวิญญาณโลหิต เว่ยกวน พูดดอย่างตื่นเต้นว่า “หอคัมภีร์ของเราถูกเปิดออกแล้ว! ต่อไปนี้บรรดาศิษย์ของพวกเราไม่ต้องฝึกเคล็ดวิชาตามความเข้าใจที่สืบทอดมาแบบไม่สมบูรณ์อีกต่อไป นับจากนี้เราสามารถให้เหล่าศิษย์เข้าไปอ่านเคล็ดวิชาที่ถูกต้องตามที่บรรพบุรุษของเราบันทึกไว้ได้โดยตรง!”
เนื่องจากวิชาที่พวกเขาฝึกร่วมไปถึงเหล่าศิษย์ที่ฝึกฝนกันตอนนี้มันเป็นการผสมผสานระหว่างความเข้าใจของคนรุ่นก่อน ๆ บวกกับคัมภีร์บางเล่มที่ยังคงหลงเหลือแบบไม่สมบูรณ์ มันจึงส่งผลให้บ่อยครั้งผู้ฝึกฝนเกิดความใจที่ผิดพลาดกับเคล็ดวิชา ซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรง หากให้ยกตัวอย่างก็คือ หนิงฉิงที่ระดับการบ่มเพาะของนางลดลงเหลือระดับสวรรค์สามัญและร่างกายของนางก็กลายเป็นรูปลักษณ์เหมือนเด็ก
“พวกเราไปดูกันว่าผู้อาวุโสผู้นั้นเป็นใครกันถึงสามารถจัดการให้ผู้อาวุโสผีเสื้อ ปลดผนึกที่ด้านหลังภูเขาได้” เว่ยกวนพูดอย่างตื่นเต้น
ด้านหลังของภูเขาถูกผนึกโดยเจตจำนงของผีเสื้อเริงระบำ ซึ่งการคลายผนึกนั้นต้องให้ใครสักคนลบเจตจำนงหรือทำให้ผู้อาวุโสผีเสื้อยอมจำนน หรือดูดซับเจตจำนงเข้าไปเช่นเดียวกับที่เทพกระบี่เคยทำ
ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน พวกเขาก็จำเป็นต้องไปคารวะผู้อาวุโสที่ปลดผนึกด้านหลังภูเขา เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามาถึงด้านหลังของภูเขาสิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือซากศพเกลื่อนพื้น
ส่วนผู้อาวุโสปริศนาที่พวกเขาหวังว่าจะได้เจอกลับหายไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่หนิงฉิง พวกเขาก็ไม่เห็นนางเช่นกัน
เว่ยกวนขมวดคิ้ว เกิดอะไรขึ้น? แล้วผู้อาวุโสท่านนั้นไปไหนแล้ว?
เว่ยกวนหันกลับไปหาคนของเขาและพูดว่า “เก็บของของคนตายไปก่อน จากนั้นค่อยจัดการกับศพของพวกเขาภายหลัง ส่วนคนไหนที่ยังติดอยู่ในผนึกนั้น จงบอกให้พวกเขามอบทุกสิ่งทุกอย่างที่มีมา ไม่เช่นนั้นพวกเราจะฆ่าพวกเขาทั้งหมด”
เนื่องจากตอนนี้สำนักของพวกเขาได้รับการฟื้นฟูไปจนถึงด้านหลังของภูเขา พวกเขาจึงสามารถแสดงความน่าเกรงขามได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใด
เมื่อได้ยินคำสั่งของเว่ยกวน บรรดาผู้คนของสำนักวิญญาณโลหิตก็รีบแยกย้ายกันไปจัดการเหล่าศพที่นอนระเกะระกะ
ส่วนทางด้านของเว่ยกวน เขายังคงอยู่ในหอคัมภีร์เพื่อค้นหาวิชาโลหิตอมตะ และนำมาฝึกฝนในฐานะเจ้าสำนัก
อย่างไรก็ตาม หลังจากค้นหาไปได้สักพักเขากลับไม่พบร่องรอยของวิชาโลหิตอมตะในหอคัมภีร์ แต่เขากลับพบวิชาเงาโลหิตศักดิ์สิทธิ์ฉบับสมบูรณ์ที่เขากำลังฝึกฝนแทน
“แม้แต่หอคัมภีร์ก็ไม่มีวิชาโลหิตอมตะ ดูท่าทางสำนักวิญญาณโลหิตของข้าคงไม่มีทางกลับไปรุ่งโรจน์เหมือนเดิม!” เว่ยกวนถอนหายใจ
หากไม่มีวิชาโลหิตอมตะ การฟื้นตัวของสำนักวิญญาณโลหิตของเขาจะไม่สมบูรณ์ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เขาเสียใจมาก
“ภูเขาที่อยู่ด้านหลังได้รับการฟื้นฟูทั้งหมดแล้ว ตอนนี้มันก็คงเหลือแต่มหาเต๋าของสำนักที่ยังคงฟื้นคืนไม่สมบูรณ์” เว่ยกวนพูดด้วยความคาดหวัง
หนิงฉิงพาผู้อาวุโสท่านนั้นเข้าไปเข้าไปในเมืองใต้ดินรึเปล่า?
สถานที่ตั้งเมืองใต้ดินนั้นอยู่ลึกลงไปด้านล่างของสำนักวิญญาณโลหิตพอดี มันเป็นสถานที่ที่ในอดีตเหล่าบรรพบุรุษของสำนักวิญญาณโลหิตรุ่นก่อนได้แยกตัวออกไปอยู่อย่างสันโดษในช่วงบั้นปลายของชีวิต ดังนั้นมันจึงกลายเป็นสถานที่ที่เหล่าบรรพบุรุษทิ้งสมบัติของพวกเขาไว้มากมายเช่นกัน
แต่ความพิเศษของเมืองใต้ดินก็ไม่ได้มีเพียงแค่เท่านั้น เนื่องจากตามบันทึกของสำนักวิญญาณโลหิตได้บันทึกไว้ว่ามันคือสถานที่ที่สำคัญที่สุดในสำนัก
แต่มันสำคัญยังไงนั้นเหล่าคนรุ่นหลังก็ไม่ทราบเช่นกัน เนื่องจากหลังจากที่สำนักวิญญาณโลหิตของพวกเขาถูกผนึกแล้วมันก็ไม่มีใครในพวกเขาที่สามารถเข้าไปในเมืองใต้ดินได้เหมือนเดิม
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้เลยว่ามีอะไรอยู่ในเมืองใต้ดินที่เป็นรากฐานของสำนัก แต่แล้วต่อมาพวกเขาก็หาวิธีที่จะเข้าไปสำรวจยังเมืองใต้ดินเจอ
วิธีการก็คือพวกเขาพยายามรับศิษย์สำนักหน้าใหม่เข้ามาโดยที่ไม่ได้สอนวิชาของสำนักวิญญาณโลหิตให้กับคนรุ่นใหม่ได้ฝึกฝน และปล่อยให้ศิษย์รุ่นใหม่เหล่านั้นที่ไม่มีกลิ่นอายของวิชาสำนักวิญญาณโลหิตเข้าไปสำรวจสถานที่ที่สำคัญของสำนัก และนำบรรดาสมบัติที่หลงเหลืออยู่กลับมา ซึ่งศิษย์บางคนนั้นถึงขนาดอาจหาญกล้าเข้าไปนำข้าวของของบรรพบุรุษออกมาด้วยซ้ำ
หลังจากหลายปีที่ผ่านไป เมื่อพวกเขามีความกล้ามากขึ้นและบรรดาศิษย์สำนักรุ่นใหม่ก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจึงได้สั่งให้ศิษย์สำนักรุ่นใหม่เข้าไปสำรวจในเมืองใต้ดินเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับมันมากขึ้น
แต่แล้วสิ่งที่พวกเขาพบก็คือทะเลโลหิตที่เหือดแห้งและมหาเต๋าที่ค้ำจุนสำนักถูกผนึกเอาไว้จนไม่สามารถสำแดงอำนาจของมันได้
“นายท่าน เมืองใต้ดินของเราไม่มีอะไรให้สำรวจอีกต่อไปแล้ว” หนิงฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเคารพต่อหลิงตู้ฉิง “ทะเลโลหิตของเราเหือดแห้งไปแล้ว ส่วนสมับติต่าง ๆ ของเหล่าบรรพบุรุษได้ถูกเราคิดวิธีนำพวกมันออกไปหมดแล้ว”
เนื่องจากบุคคลที่อยู่ตรงหน้านางสามารถปลดผนึกองภูเขาด้านหลังได้ นางจึงไม่กล้าที่จะปกปิดอะไรต่อหลิงตู้ฉิง ยิ่งไปกว่านั้นนางยังได้รับวิชามหาโลหิตแปรเปลี่ยนอย่างที่นางต้องการ ตราบเท่าที่นางมีเวลา นางจะสามารถฟื้นฟูรูปลักษณ์ดั้งเดิมของตัวเองและระดับการบ่มเพาะได้อย่างแน่นอน แน่นอนว่าตามสัญญานางต้องเชื่อฟังคำสั่งของหมิงยู่
ในตอนนี้ หลิงตู้ฉิงเหลือบมองไปที่หนิงฉิง และพูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ที่นี่มันคือสถานที่ที่มหาเต๋าที่ค้ำจุนสำนักเจ้าดำรงอยู่ ทำไมเจ้าถึงพูดว่าที่นี่ไม่มีอะไรอีกแล้ว?”
“มหาเต๋าของพวกเราแตกสลายไปเมื่อหลายหมื่นปีแล้ว ถึงแม้ว่าผนึกของมันจะถูกคลายออกไป แต่มันก็คงไม่มีวันประสานกลับมาเป็นดังเดิม” หนิงฉิงหัวเราะอย่างขมขื่น
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าเหตุผลที่มหาเต๋าของสำนักเจ้าในตอนนี้ยังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์มันเป็นเพราะผนึกของมันยังถูกคลายไม่หมด จะบอกอะไรให้ก็แล้วกัน ตราบใดที่ผนึกของมันถูกคลายออกทั้งหมด มหาเต๋าของสำนักเจ้าจะฟื้นฟูได้เองตามธรรมชาติ”
“แต่พวกเราไม่เห็นจะสัมผัสได้เลยว่าจุดที่ผนึกมันอยู่ที่ไหน!” หนิงฉิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงงุนงง “ที่ภูเขาด้านหน้าและด้านหลังเราสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงผนึกที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพกระบี่ และผู้อาวุโสผีเสื้อ แต่เราสัมผัสอะไรไม่ได้เลยกับผนึกที่ท่านพูดถึงในเมืองใต้ดินนี้”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและไม่พูดอะไรต่อ เขาเริ่มเดินนำทุกคนไปยังส่วนลึกของเมืองใต้ดินต่อไป
อันที่จริงเหตุผลที่คนของสำนักวิญญาณโลหิตไม่สามารถสัมผัสถึงผนึกที่ปิดกั้นมหาวิถีเต๋าของสำนักตนเองได้นั่นก็เพราะ มันคือผนึกที่ในตอนนั้นเขาเป็นคนผนึกมันด้วยตนเอง ตราบใดที่เขาไม่ได้เป็นผู้มาคลายผนึกนี้ด้วยตนเอง มันก็ไม่มีทางที่ใครจะสามารถเห็นมันได้ ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือการปลดผนึกนี้ออกด้วยตนเอง
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่ได้อธิบายใด ๆ เพิ่มเติม หนิงฉิงจึงไม่กล้าถามเกี่ยวกับผนึกต่อ นางเปลี่ยนไปเป็นการแนะนำสถานที่แทน “สถานที่ที่อยู่ตรงหน้าเราคือทะเลโลหิต เมื่อใดที่เหล่าศิษย์สำนักวิญญาณโลหิตบ่มเพาะในทะเลโลหิต พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์มหาศาล”
น่าเสียดายที่ความพยายามแนะนำสถานที่ของหนิงฉิงนั้นไร้ประโยชน์
หลิงตู้ฉิงจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? เหตุผลที่เขามาที่นี่ก็เพราะว่าเขารู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร ซึ่งเขาต้องการพาหมิงยู่มาที่นี่เพื่อใช้ทะเลโลหิตในการฝึกฝน วิชาโลหิตอมตะ
แต่แน่นอนว่าก่อนที่หมิงยู่จะสามารถฝึกฝนได้ เขาต้องคืนสภาพทะเลโลหิตให้กลับมาเป็นดังเดิมเสียก่อน
เมื่อมาถึงข้างทะเลโลหิต หลิงตู้ฉิงก็โยนยันต์สั่งสวรรค์ลงในทะเลโลหิตที่แห้งแล้ว
จากนั้น หลิงตู้ฉิงพึมพำคาถาขึ้นมาเบา ๆ ซึ่งมันส่งผลให้ผนึกที่ปิดผนึกทะเลโลหิตเริ่มคลายออกและพุ่งเข้าไปอยู่ด้านในของยันต์สั่งสวรรค์ ส่วนทะเลโลหิตที่เหือดแห้งอยู่นั้น เมื่อผนึกของมันถูกคลายออก เลือดสด ๆ ก็เริ่มโผล่ผุดออกมาจากก้นทะเลที่เหือดแห้ง
มันใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น ทะเลโลหิตก็ถูกเติมเต็มไปด้วยเลือดอย่างสมบูรณ์
ทางด้านของหนิงฉิง เมื่อนางเห็นภาพเช่นนี้และสัมผัสได้ถึงมหาวิถีเต๋าแห่งโลหิต นางก็มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาตกตะลึงทันที
“วะ วะ วิถีโลหิต… ข้ารู้ว่าแล้วว่าท่านเป็นใคร!” หนิงฉิงกรีดร้อง ในเวลาเดียวกันนางดูเหมือนจะเข้าใจบางสิ่งบางอย่างและคุกเข่าลงตรงหน้าหลิงตู้ฉิง พร้อมกับตัวสั่นและไม่กล้าพูดอะไรอีก