พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 502 ตัวตนถูกเปิดเผย
หลังจากที่หนิงฉิงกรีดร้อง นางก็ลงไปนั่งคุกเข่าแทบเท้าของหลิงตู้ฉิงทันทีโดยไม่แม้แต่จะกล้าเอ่ยอะไรออกมา
นางย้อนนึกถึงตำนานมากมายและเมื่อรวมกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดที่นางได้เห็น ในตอนนี้นางจึงเดาตัวตนที่แท้จริงของหลิงตู้ฉิงออกทันที
นอกจากการแสดงออกของหนิงฉิงแล้ว เย่หยูหลันก็ดูเหมือนจะเริ่มเข้าใจอะไรบ้างแล้วเช่นกัน นางมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาหวาดกลัวพลางลดศีรษะลงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมีเหงื่อเย็นไหลออกมาบนหน้าผากของนาง โดยที่นางไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
นางกลัวว่าถ้าหากนางพูดอะไรขัดใจออกไป ชะตากรรมของนางอาจมีสภาพไม่ต่างจากสำนักวิญญาณโลหิต
นางไม่เคยคิดเลยว่าตัวตนที่เป็นตำนานในอดีตคนนั้นจะปรากฎตัวขึ้นในยุคนี้ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้น่าจะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในโลก
นอกจากนี้ตอนนี้บุคคลนี้ได้กลายเป็นเขยของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ นางไม่รู้ว่าควรจะยังรู้สึกกลัวหรือดีใจดี
ตลอดมานางรู้สึกว่า หลิงตู้ฉิงนั้นพิสดารเกินไป
ด้วยระดับการบ่มเพาะอันต่ำเตี้ยของเขา ถึงแม้เขาจะเผชิญปัญหาใด ๆ เขาก็มีวิธีการแก้ปัญหาทุกอย่างได้ตลอดแถมยังมักที่จะแสดงท่าทีเย้ยหยันทุกคนที่เขาเจอไม่ว่าจะเป็นตัวตนระดับใดก็ตาม
ดังนั้นถ้าเขาเป็นคน ๆ นั้นทุกอย่างก็สมเหตุสมผล
“ข้าควรจะสังเกตเห็น!” เย่หยูหลันพึมพำกับตัวเอง “เขาจะขุ่นเคืองรึเปล่าเมื่อตอนก่อนหน้าที่ข้าไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเขา? แต่เขาก็พึ่งช่วยข้าให้ผ่านทัณฑ์สวรรค์ไป เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่ติดใจเอาความกับข้าล่ะมั้ง?”
จากนั้นเมื่อยิ่งนางครุ่นคิด ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทำไมการกระทำของตงฟางจุนจึงดูแปลก ๆ
เทพกระบี่กลับชาติมาเกิดอะไรกัน? เด็กนั่นมันก็คงเป็นแค่เด็กน้อยที่โชคดี เอ๊ะไม่สิ ไม่แน่เด็กนั่นอาจจะเป็นเทพกระบี่กลับชาติมาเกิดจริง ๆ ก็ได้หรือเปล่า?
ส่วนเรื่องที่หลิงตู้ฉิงสามารถปลดผนึกของผู้อาวุโสผีเสื้อได้นั้นมันเป็นสิ่งที่เขาทำได้อย่างแน่นอน
เนื่องจากตามตำนาน ทาสปีศาจผีเสื้อ และ ทาสกระบี่ ล้วนเป็นทาสรับใช้ของบุคคลผู้นี้!
ดังนั้นในเมื่อบุคคลผู้นี้ที่เป็นเจ้านายของทั้งสองคนที่ผนึกสำนักวิญญาณโลหิตเอาไว้ มาที่นี่ด้วยตัวเอง สำนักวิญญาณโลหิตที่ถูกผนึกมาเป็นเวลาหลายหมื่นปีจะไม่ถูกปลดปล่อยได้อย่างไร?
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วและพูดเบา ๆ “จงลืมไปซะ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่พวกเจ้าจะรู้!”
เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ยังคงมีอำนาจของผนึกของเขาเองที่ทิ้งไว้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายมากที่เขาจะยืมพลังของผนึกมาลบความทรงจำของทุกคน
ด้วยคำพูดของเขาทุกคนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และลืมการกระทำของหลิงตู้ฉิงที่ด้านหลังของภูเขา พวกเขาจำได้เพียงเรื่อง ‘การกลับชาติมาเกิดของเทพกระบี่’ ‘การดูดซับกระบี่ทำลายล้างของตงฟางจุน’ และสุดท้ายก็คือเรื่องที่หลิงตู้ฉิงใช้ยันต์สั่งสวรรค์เพื่อคลายผนึกของผีเสื้อ ส่วนเขาคลายผนึกไปอย่างไรนั้นไม่มีใครรู้
ส่วนเรื่องของทะเลโลหิตที่ในตอนนี้ถูกเติมไปด้วยเลือดเรียบร้อยและมหาเต๋าโลหิตที่เริ่มฟื้นฟูแล้วนั้น หลิงตู้ฉิงได้เติมแต่งความทรงจำให้กับทุกคนว่ามันเกี่ยวข้องกับการที่หมิงยู่ได้รับวิชาโลหิตอมตะจากหอคัมภีร์
ซึ่งหลังจากนั้น เมื่อหมิงยู่ ฝึกฝนวิชาโลหิตอมตะสำเร็จ เรื่องมหัศจรรย์ก็ได้เกิดขึ้น ทั้งเรื่องทะเลโลหิตที่เคยแห้งเหือดจู่ ๆ ก็มีโลหิตพวยพุ่งออกจากก้นทะเลและเติมเต็มมันจนเป็นเหมือนเก่าก่อนและรวมไปถึงมหาเต๋าโลหิตที่ค้ำจุนสำนักก็เริ่มฟื้นฟูขึ้น ซึ่งรอยร้าวต่าง ๆ ก็เริ่มประสานกันตามลำดับ
นี่คือความทรงจำที่คลุมเครือที่ถูกทิ้งไว้ในห้วงความทรงจำของทุกคน
“เจ้าจงเข้าไปที่ทะเลโลหิต เพื่อฝึกฝนวิชาโลหิตอมตะของเจ้าซะ” หลิงตู้ฉิงสั่งหมิงยู่ “ถึงแม้ว่ามันจะดูน่ากลัวนิดหน่อย แต่มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
ในระหว่างที่เขาพูด หลิงตู้ฉิงก็เรียกยันต์สั่งสวรรค์ที่เขาโยนมันเข้าไปในทะเลโลหิตเพื่อดูดซับผนึกของเขาเองกลับมา
“เจ้าก็เหมือนกัน จงเข้าไปในทะเลโลหิตเพื่อใช้มันชำระล้างปัญหาในร่างกายของเจ้า และหลังจากนั้นเจ้าก็จงฝึกฝนวิชามหาโลหิตแปรเปลี่ยนฉบับสมบูรณ์ และจากนั้นปัญหาของเจ้าจะได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์” หลิงตู้ฉิงพูดกับหนิงฉิง
“ขอบคุณนายท่านสำหรับคำชี้แนะ!” หนิงฉิงหัวเราะ
หลังจากถูกลบความทรงจำ นางก็ไม่ได้กลัวหลิงตู้ฉิงอีกต่อไป แต่แน่นอนว่านางยังคงมีความเคารพในใจอย่างสุดจะพรรณนา
จากนั้นหนิงฉิงก็พูดกับหมิงยู่ว่า “เจ้าสำนัก พวกเรารีบเข้าไปในทะเลโลหิตเพื่อฝึกฝนเถอะ สำนักวิญญาณโลหิตของเรายังต้องการให้ท่านนำเราไปสู่ความรุ่งเรืองเหมือนในอดีต!”
ที่หนิงฉิงเอ่ยเช่นนี้ก็เพราะนางรู้อย่างชัดเจนว่า เว่ยกวน ไม่ได้ฝึกฝน วิชาโลหิตอมตะ แต่เป็น วิชาเงาโลหิตศักดิ์สิทธิ์!
ตั้งแต่สมัยโบราณคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นเจ้าสำนักได้นั้นจะต้องฝึกฝน วิชาโลหิตอมตะ ซึ่งการถ่ายทอดวิชานี้จะเป็นการถูกถ่ายทอดส่งต่อมาจากเจ้าสำนักรุ่นก่อนส่งมาให้เจ้าสำนักรุ่นถัดไปเท่านั้น
ส่วนเหตุผลที่หมิงยู่พบกับวิชาโลหิตอมตะในหอคัมภีร์ได้นั้น ตามความเข้าใจของหนิงฉิงที่ถูกเติมแต่งความทรงจำจากหลิงตู้ฉิง นางจึงคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเจ้าสำนักคนก่อนคงจะบาดเจ็บสาหัสจนใกล้ตายและไม่มีเวลาถ่ายทอดวิชานี้ให้กับใคร เขาจึงได้ทิ้งมรดกของเขาไว้ในหอคัมภีร์!
หมิงยู่มองไปที่ทะเลโลหิตและพูดกับหลิงตู้ฉิงอย่างประหม่า “นายท่าน ข้าจะเข้าไปได้จริง ๆ งั้นเหรอ? มันจะไม่มีปัญหาอื่นจริง ๆ ใช่ไหม?”
นางรู้สึกกลัวเล็กน้อย
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “เจ้าไม่ตายหรอก แค่สภาพของมันอาจจะดูน่ากลัวนิดหน่อยก็เท่านั้น”
หมิงยู่พยักหน้าและเริ่มโคจรวิชาโลหิตอมตะ พร้อมกับค่อย ๆ เดินเข้าไปยังทะเลโลหิต
แต่แล้วในช่วงวินาทีที่นางก้าวลงไปในทะเลโลหิต คลื่นขนาดใหญ่ก็ซัดเข้ามาหาตัวนางและลากนางออกไปยังส่วนลึกของทะเลโลหิต
หมิงยู่ตกใจมากและเริ่มกรีดร้อง เนื่องจากนางค้นพบว่าทั้งผิวหนัง เลือดและเนื้อของนางได้ละลายไปหลอมรวมกับทะเลโลหิต
“นายท่านช่วยข้าด้วย! ข้ายังไม่อยากตาย!” หมิงยู่ตะโกนกรีดร้องอย่างสุดเสียง
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าจะตายได้ยังไง? เดี๋ยวผ่านไปสักพักเจ้าก็จะรู้เองว่าเจ้าจะตายได้ยังไง!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หมิงยู่ก็มองร่างของนางที่สึกกร่อนไปครึ่งหนึ่ง นางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวพลางคิดในใจ ‘ร่างกายของข้าจมอยู่ในทะเลโลหิต และแม้แต่กระดูกของก็ละลาย อย่างนี้ไม่เรียกว่าตายแล้วจะเรียกว่าอะไร?’
ทันใดนั้นนางก็พบว่าเมื่อร่างของนางละลายจนหมดตัว นางก็ได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับทะเลโลหิต
มันกลายเป็นว่าวิญญาณของนางยังคงอยู่ที่นั่น สติของนางยังอยู่ที่นั่น ร่างกายของนางกลายเป็นหนึ่งเดียวกับทะเลโลหิตแล้วมันไม่มีอะไรที่นางสามารถทำได้อีกต่อไป
“เอ๋? นี่มันเรื่องอะไรกัน?” นางพึมพำด้วยความสงสัย
ในตอนนี้นางรู้แล้วว่านางไม่ได้ตายจริง ๆ และถึงแม้ว่านางจะกลัว แต่นางก็ยังคงทดลองจมดิ่งลงไปในทะเลโลหิตพร้อมกับเริ่มฝึกฝนวิชาโลหิตอมตะ เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
จากนั้นเมื่อนางเริ่มฝึกฝนวิชาโลหิตอมตะ นางก็พบว่าในทะเลโลหิตนี้มีร่างจำนวนมากปรากฎขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างทั้งหมดนี้มันคือร่างของนางเองที่นางสามารถควบคุมมันได้ดั่งใจนึก! ดังนั้นนางจึงบังคับให้ทุกร่างโคจรฝึกวิชาโลหิตอมตะไปพร้อม ๆ กันทุกร่าง
ด้วยการฝึกของร่างจำนวนมากที่แยกกันฝึก มันจึงกลายเป็นว่าความเร็วในการฝึกฝนของหมิงยู่กลายเป็นเร็วแบบทวีคูณ ในช่วงเวลาสั้น ๆ นางได้ทะลวงผ่านขอบเขตประสานทะเลปราณเข้าสู่ขอบเขตรวมแสงดารา และจากนั้นไปยังขอบเขตนภาต่อด้วยระดับสวรรค์สามัญ จากนั้นการบ่มเพาะของนางก็ยังคงทะยานไปตามเส้นทางสวรรค์สามัญ!
ความรู้สึกนี้ทำให้นางตกตะลึง ทะเลโลหิตมีพลังขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
หนิงฉิงโค้งคำนับให้หลิงตู้ฉิง และพูดว่า “นายท่าน เจ้าสำนักได้เริ่มบ่มเพาะแล้ว ข้าเองคงต้องขออนุญาตใช้ทะเลโลหิตพื่อล้างปัญหาในร่างกายของข้าด้วยเช่นกัน โปรดท่านรอสักครู่”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับนั่งลงอยู่ข้าง ๆ ทะเลโลหิตกับเย่ชิงเฉิงและคนอื่น ๆ เพื่อรอคอยอย่างเงียบ ๆ
ในความเป็นจริงเขาแอบโยนยันต์สั่งสวรรค์อีกแผ่นลงไปในทะเลโลหิตอย่างลับ ๆ เพื่อดูดกลืนผนึกอีกหนึ่งอันอย่างเงียบ ๆ
จากนั้นเมื่อผนึกถูกดูดกลืนเรียบร้อย สายธารโลหิตจำนวนมากที่แฝงอยู่ใต้พื้นพิภพของอาณาเขตวิญญาณโลหิตทั้งหมดก็เริ่มไหลเข้ามาทางใต้ดินเชื่อมเข้ากับทะเลโลหิตของสำนักวิญญาณโลหิตจากทุกทิศทาง ส่งผลให้มหาเต๋าโลหิตของสำนักที่ยังฟื้นฟูได้ไม่สมบูรณ์ก่อนหน้านี้ได้ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์
หลังจากการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ของมหาเต๋าแห่งโลหิต ทะเลโลหิตก็ยิ่งปั่นป่วนและเดือดพล่านมากขึ้น ส่งผลให้เมืองใต้ดินทั้งเมืองก็ค่อย ๆ เต็มไปด้วยหมอกเลือดสีแดงและกลิ่นคาวของเลือด
“มหาเต๋าแห่งโลหิต! มหากฎสูงสุดที่ค้ำจุนความลับแห่งพลังโลหิตและสำนักวิญญาณโลหิต!” เย่ชิงเฉิงอุทาน
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้มีผลกระทบแค่เพียงบริเวณของทะเลโลหิต เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้นกับภายนอกนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า
ในขณะนี้อาณาเขตวิญญาณโลหิตทั้งหมดนั้นมีโลหิตไหลออกมาทุกหนทุกแห่งและกลิ่นคาวของเลือดก็อบอวลไปทุกพื้นที่ ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นคาวเลือดนี้กลับลอยโชยรวบรวมไปยังสำนักวิญญาณโลหิตอย่างรวดเร็ว
หลังจากการฟื้นตัวของมหาเต๋าแห่งโลหิต ทั่วทั้งอาณาเขตวิญญาณโลหิตก็เต็มไปด้วยความผันผวนของพลังแห่งกฎ ซึ่งมันรุนแรงจนถึงขนาดทำให้ทั้งโลกสั่นสะเทือนอย่างไม่หยุดยั้ง
ทุกคนในอาณาเขตวิญญาณโลหิตต่างจ้องมองไปที่ทิศทางของสำนักวิญญาณโลหิตอย่างเหม่อลอย ขณะที่พวกเขาพึมพำกับตัวเอง “สำนักวิญญาณโลหิตที่หายไปหลายหมื่นปีได้กลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว…”