พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 516 เรื่องเล่าเมื่อ 33,000 ปีก่อน
กู๋หยงฟานเป็นผู้เดินออกไปส่งหลิงตู้ฉิงออกจากตระกูลด้วยตนเอง จากนั้นเขาก็รีบวิ่งกลับไปหาโลงศพที่อยู่ใต้ดินและถามขึ้นทันที “ท่านบรรพบุรุษ นี่เราเป็นลูกหลานของตัวตนที่ยิ่งใหญ่กว่าเทพกระบี่อีกงั้นเหรอ?”
ตัวตนในโลงตอบกลับว่า “เจ้าจะไปยึดติดกับเรื่องเหล่านี้ทำไม? การเป็นลูกหลานของใครนั้นมันสำคัญยังไง? ในตอนนี้พวกเจ้ายังไม่มีใครที่อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิด้วยซ้ำ ดังนั้นเจ้ายังจะมีหน้ามาถามถึงเรื่องบรรพบุรุษของเราไปเพื่ออะไร?”
เมื่อได้ยินคำตำหนิเช่นนี้ กู๋หยงฟานก็ได้แต่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนและไม่กล้าถามอะไรเกี่ยวกับบรรพบุรุษของเขาต่ออีก เนื่องจากในตอนนี้เขาคือคนที่มีระดับการบ่มเพาะสูงที่สุดในตระกูล
ส่วนบรรพบุรุษเขาที่อยู่ในโลงนั้นถึงแม้ว่าจะมีความแข็งแกร่งที่น่ากลัวมากก็จริง แต่เมื่อไหร่ที่เขาออกมาจากโลงศพ เมื่อนั้นเขาก็จะหายไป ซึ่งมันนับได้ว่าผู้ที่อยู่ในโลงศพคือไพ่ใบสุดท้ายของตระกูลกู๋ หากตระกูลไม่ได้เผชิญกับหายนะที่ทั้งตระกูลกำลังจะถูกทำลายล้างเมื่อนั้นเขาจะไม่ออกมาจากโลงเด็ดขาด
“บรรพบุรุษ แล้วเรื่องแผนที่นี้เราจะเอายังไง?” กู๋หยงฟานถามขึ้น
ตัวตนในโลงถอนหายใจและตอบว่า “เจ้าจะไปตื่นเต้นทำไมกับอีแค่สุสานของตัวตนระดับสูงแค่นี้? ในอดีตตอนที่ตระกูลของเรา… เฮ้อช่างเถอะ เรื่องพวกนั้นมันผ่านมานานแล้ว เอาเป็นว่าแผนที่นี้พวกเราไม่ควรที่จะเก็บมันไว้เพียงคนเดียว พวกเราจะต้องนำมันออกไปเปิดเผยให้คนภายนอกได้รู้ จากนั้นเมื่อถึงเวลาพวกเราค่อยหาโอกาสเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากมันมาบางส่วนก็พอ พวกเราไม่ควรโลภเกินไปไม่เช่นนั้นมันอาจจะกลายเป็นหายนะต่อพวกเราได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กู๋หยงฟานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของบรรพบุรุษเขา และจากไปเปิดดูแผนที่นั้นอย่างเงียบ ๆ
ทางด้านของหลิงตู้ฉิง เมื่อเขาออกมาจากตระกูลกู๋ เขาก็ยังคงรู้สึกสงสัย
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมคนตระกูลนี้ถึงต้องแอบอ้างว่าเป็นลูกหลานของเขา ทั้ง ๆ ที่เขามีศัตรูเยอะแยะมากมาย
แต่ไม่ว่าตระกูลกู๋จะมีแผนการอย่างไร ในเมื่อเขาสัมผัสได้ว่ามันจะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ ดังนั้นเขาจึงมอบแผนที่สุสานศักดิ์สิทธิ์ให้ไป ซึ่งมันก็คือลาภที่ตระกูลกู๋ไม่อาจจะแบกรับได้ไหวและมันจะต้องทำให้ตระกูลกู๋พบกับหายนะในอนาคตแน่นอน
“สามี พวกเขาใช่ลูกหลานตัวจริงของเทพกระบี่รึเปล่า?” เย่ชิงเฉิงถามขึ้นก้วยสีหน้าสงสัย
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “พวกเขาไม่ใช่! ข้าล่ะอยากจะรู้จริง ๆ ว่าเทพกระบี่นั้นมีลูกหลานที่สืบสายเลือดของเขาจริง ๆ รึเปล่า เอาล่ะต่อไปพวกเราไปหาหอการค้าเชื่อมสวรรค์ที่อยู่ในเมืองกระบี่เมฆากันก่อนเพื่อหาข้อมูลต่อไป”
ในเมื่อทั้งสามตระกูลต่างไม่ใช่ลูกหลานตัวจริงของเทพกระบี่ ดังนั้นมันจะเป็นไปได้ไหมที่ลูกหลานตัวจริงยังคงซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด?
หลังจากนั้นเมื่อพวกเขาได้มาถึงเมืองกระบี่เมฆา หลิงตู้ฉิงก็มุ่งหน้าไปที่หอการค้าเชื่อมสวรรค์ทันที
ซึ่งเมื่อเข้าไปด้านในหอการค้าเชื่อมสวรรค์ หลิงตู้ฉิงก็ใช้วิธีเดียวกับที่เขาใช้มาก่อนหน้านี้ก็คือสวมรอยว่าตัวเองเป็นคนของตำหนักเทพโชคลาภ ซึ่งมันก็ทำให้เขาได้พบกับ อันหยวนตู่ ที่เป็นผู้ดูแลหอการค้าเชื่อมสวรรค์ที่อาณาเขตสุสานกระบี่
จากข้อมูลที่ได้รับมาจากหงเยว่ อันหยวนตู่ก็คือชายที่ชอบสุราเป็นชีวิตจิตใจ
“พวกท่านล้วนสนใจแต่เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เหตุใดวันนี้พวกท่านถึงได้มาหาคนขี้เมาอย่างข้าได้?” อันหยวนตู่ถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “เป็นเพราะข้าต้องการข้อมูลของอาณาเขตสุสานกระบี่และเจ้าอยู่ที่อาณาเขตสุสานกระบี่มาเป็นเวลานานแล้ว เจ้าก็ควรที่จะมีข้อมูลเหล่านั้นให้กับข้า”
อันหยวนตู่ยกจอกสุราขึ้นจิบ จากนั้นเขาก็พูดกับหลิงตู้ฉิง “ไม่ใช่ว่าท่านเองก็สืบหาข้อมูลด้วยตัวเองแล้วไม่ใช่รึไง?”
อันหยวนตู่ นั้นอยู่ในอาณาเขตสุสานกระบี่มานานแล้ว ซึ่งเขาก็ได้วางคนของเขาเอาไว้ทั่วทุกพื้นที่ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เล็กใหญ่อะไรแน่นอนว่าเขาต้องรู้หมด แล้วยิ่งโดยเฉพาะที่มีเหตุการณ์ที่จู่ ๆ หลินเย่ แห่งตระกูลหลินทะลวงขอบเขตไปเป็นขอบเขตราชันได้ ซึ่งมันส่งผลกระทบกระเทือนต่อขั้วอำนาจต่าง ๆ ที่อยู่ในอาณาเขตสุสานกระบี่เป็นอย่างมาก มันจึงยิ่งทำให้เขาสนใจและสืบหาข้อมูลด้วยตนเอง และในท้ายที่สุดเขาก็ได้พบกับรายงานของหลิงตู้ฉิง
จากนั้นเขาก็ให้ความสนใจกับหลิงตู้ฉิงเป็นพิเศษ
แต่มันก็มีบางอย่างที่เขาคาดไม่ถึงเช่นกัน ซึ่งมันก็คือเขาไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วหลิงตู้ฉิงกลับเป็นคนของตำหนักโชคลาภ
“ในเมื่อท่านได้เจอกับทั้งสามตระกูลหมดแล้ว ดังนั้นท่านรู้แล้วรึยังว่าตระกูลไหนจริงตระกูลไหนปลอม?” อันหยวนตู่ถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบว่า “คำถามแบบนี้ข้าคงจะไม่สะดวกตอบเจ้าสักเท่าไหร่ ว่าแต่ทางเจ้าเองรู้อะไรมาบ้าง?”
“ไม่ใช่ว่าพวกท่านนั้นยึดถือกฎแห่งการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันนักไม่ใช่เหรอไง? งั้นเอาแบบนี้เรามาทำตามกฎของพวกท่านก็แล้วกัน” อันหยวนตู่ยิ้มย่างเจ้าเล่ห์พร้อมกับพูดขึ้น “หากท่านสามารถดื่มได้มากกว่าข้าและทำให้ข้าเมา ข้าจะบอกข้อมูลของข้าให้กับท่านโดยที่ท่านไม่ต้องจ่ายให้ข้าแม้แต่เหรียญเดียว”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่อันหยวนตู่ และเอ่ยถามขึ้น “เจ้าเคยได้ยินสุราที่ชื่อว่า ‘น้ำค้างหยกแห่งสรวงสวรรค์’ รึเปล่า?”
เมื่ออันหยวนตู่ได้ยินชื่อ น้ำค้างหยกแห่งสรวงสวรรค์ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายทันที
“นี่ท่านมี น้ำค้างหยกแห่งสรวงสวรรค์ งั้นเหรอ?” อันหยวนตู่พูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ตราบใดที่ท่านให้ข้าได้ลิ้มรสของมัน ข้าจะบอกข้อมูลท่านทุกอย่างที่ท่านอยากรู้!”
หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าไม่มีมันในตอนนี้ แต่ถ้าเจ้ายอมบอกข้อมูลกับข้า ข้าจะมอบสูตรของมันให้กับเจ้าแทน”
“ตกลง!” อันหยวนตู่รีบตอบกลับทันที
หากเป็นกับผู้อื่น น้ำค้างหยกแห่งสรวงสวรรค์ นั้นคือโอสถที่ช่วยให้พวกเขาเข้าใจวิถีเต๋าของตนเองได้มากยิ่งขึ้น แต่สำหรับอันหยวนตู่ที่เป็นคนของหมู่บ้านลูกท้อนั้น น้ำค้างหยกแห่งสรวงสวรรค์ ยิ่งมีประโยชน์ต่อเขามากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากพวกเขานั้นมีวิธีการที่จะทำให้สรรพคุณของมันวิเศษยิ่งขึ้น
ดังนั้นเขาจึงตกลงทันทีโดยไม่สงสัยว่าหลิงตู้ฉิงจะโกหกแม้แต่น้อย เพราะเขาเข้าใจว่า หลิงตู้ฉิงคือคนของตำหนักเทพโชคลาภ ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
“ท่านอยากรู้อะไร?” อันหยวนตู่ถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงเอ่ยตอบว่า “ทำไมเทพกระบี่ถึงมีลูกหลานเยอะนัก?”
“อ่า คำตอบนี้คงจะค่อนข้างยาว เอาเป็นว่าข้าขอเท้าความย้อนหลังไปเมื่อ 33,000 ปีที่แล้วก่อนก็แล้วกัน” ?” อันหยวนตู่เกาหัวพลางเล่าเรื่องราว “เมื่อ 33,000 ปีก่อนเทพกระบี่ได้ล้มเหลวในการต้านทัณฑ์เทวะของเขา แต่ก่อนที่เขาจะสิ้นใจ เขาได้เดินทางมาที่อาณาเขตสุสานกระบี่…”
เมื่อฟังถึงจุดนี้ หลิงตู้ฉิงถามขึ้นแทรก “ทำไมเขาถึงล้มเหลวในการต้านทัณฑ์เทวะ?”
อันหยวนตู่มองไปยังหลิงตู้ฉิงด้วยสายตารำคาญเล็กน้อย “ข้าจะไปรู้ได้ยังไง? นี่ท่านรู้ไหมเนี่ยว่าคำถามของท่านมันอันตรายแค่ไหน ถึงต่อให้ข้ารู้ ข้าก็ไม่บอกท่านหรอก เอาล่ะตอนนี้หยุดขัดข้าได้แล้ว ข้าจะเล่าต่อ หลังจากที่เทพกระบี่มาที่อาณาเขตสุสานกระบี่ ตามบันทึกของเรานั้นได้บันทึกไว้ว่า ก่อนที่เขาจะสิ้นใจ เขาก็ท่องไปทั่วอาณาเขตสุสานกระบี่อยู่เป็นเวลานาน ด้วยความแข็งแกร่งของเขาที่ยังคงอยู่ ถึงแม้ว่าเขาจะล้มเหลวจากทัณฑ์เทวะ แต่ถ้าหากเขาไม่ยินยอมที่จะตาย เขาก็ยังคงสามารถอดทนมีชีวิตต่อไปได้อีกเป็นเวลานาน ดังนั้นเขาจึงท่องไปทั่วในอาณาเขตสุสานกระบี่นานกว่า 500 ปี ซึ่งในเวลานั้นมันก็มีหลายคนที่อยากจะให้เขาตายแต่มันก็ไม่มีกล้าลงมือกับเขาจริง ๆ สักคน เนื่องจากถึงแม้เขาจะล้มเหลวจากทัณฑ์เทวะแต่เขาก็ยังคงสามารถใช้พลังของเขาได้อยู่ดี ดั้งนั้นใครมันจะไปกล้ายั่วยุตัวตนที่แข็งแกร่งระดับเขากัน?”
เมื่อเล่าถึงตรงนี้ อันหยวนตู่ก็หยุดลงพักเพื่อจิบสุรา
จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าต่อ “หลังจากท่องไปทั่วเป็นเวลา 500 ปี ในที่สุดเทพกระบี่ก็สิ้นใจ ซึ่งจุดที่เขาตายก็คือจุดที่ตั้งสุสานกระบี่ในปัจจุบัน และแน่นอนว่าเมื่อเขาตายลงบรรดาศัตรูของเขาที่ก่อนหน้านี้ไม่กล้าที่จะลงมือก็เคลื่อนไหวทันที”
“บรรดาศัตรูเหล่านั้นที่เคลื่อนไหวต่างก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเผาทำลายกระดูกของเทพกระบี่ให้กลายเป็นเถ้าถ่านให้ไม่หลงเหลือไว้ แต่ใครจะคิดว่าในตอนที่พวกเขากำลังจะลงมือ จู่ ๆ ร่างของเทพกระบี่ที่ทุกคนเห็นว่าสิ้นใจไปแล้วกลับลุกขึ้นและด้วยการฟันกระบี่เพียงครั้งเดียว ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิ 7 คน หัวหลุดออกจากบ่าทันที ส่วนพวกที่มีระดับการบ่มเพาะต่ำกว่านั้นก็ถูกกวาดไปด้วยปราณกระบี่จนร่างกายสูญสลายกลายเป็นฝุ่นผง”
“ในบรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิทั้ง 7 คน หนึ่งในนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิซะด้วยซ้ำและเขาก็ตายด้วยกระบี่เพียงกระบี่เดียวเท่านั้นที่ถูกฟันโดยเทพกระบี่ที่สิ้นใจไปแล้ว และจากนั้นบรรดาเหล่าศัตรูที่ยังคงเหลือรอดต่างก็พากันหนีกระเจิงไปคนละทิศทาง ไม่มีใครกล้ากลับมาเหยียบที่สุสานกระบี่อีกเลย!”