พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 525 เหล่าลูกหลานอันแข็งแกร่ง
ในขณะนี้หลิงตู้ฉิงมองไปยังมู่เทียนหยู และเห็นได้ชัดว่าชายชราผู้นี้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ เขายิ้มและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่าพวกเจ้าชื่นชมเทพกระบี่ เป็นอย่างมากเลยสินะ?”
ในที่สุดทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน คนที่คู่ควรที่จะให้เขาสอบถามในที่สุดก็ปรากฎตัวขึ้นจนได้!
มู่เทียนหยูยิ้ม “เต๋ากระบี่ของผู้อาวุโสเทพกระบี่นั้นถือได้ว่าไร้เทียมทานอย่างแท้จริง เขาคือตัวตนที่พวกเราเหล่านักกระบี่ถือเป็นแบบอย่าง ดังนั้นมีใครบ้างที่จะไม่นับถือและชื่นชมเขา?”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้านับถือเขามาก ดังนั้นเจ้าก็ควรรู้ว่าสิ่งนี้คืออะไรใช่ไหม?”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็โยนป้ายคำสั่งกระบี่ไปให้กับมู่เทียนหยู
หลังจากที่ได้รับป้ายคำสั่งกระบี่มาและตรวจสอบมัน มู่เทียนหยูก็สัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่ที่อยู่ด้านใน ซึ่งมันทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันทีและถามขึ้น “นี่ท่านหมายความว่ายังไงกับคำว่า ‘จงเคารพท่าน’ ?”
เมื่อพูดจบ มู่เทียนหยูไม่ได้ลดระดับการบ่มเพาะของตนเองอีกแล้ว เนื่องจากเขาไม่แน่ใจว่าคนผู้นี้เป็นใครถึงได้มีป้ายคำสั่งที่บรรจุเจตจำนงกระบี่เดียวกับของเทพกระบี่ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเขาแถมยังสลักอักษรไว้ด้านในอีกว่าให้เขาทำความเคารพ ซึ่งมันมีความเป็นไปได้สูงว่าคนผู้นี้จะต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับความลับของสำนักเขา เขาจำเป็นต้องระวังตัวเผื่อไว้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าของเขาเป็นศัตรู
เขาไม่สามารถยอมให้คนผู้นี้นำความลับของพวกเขาออกไปเผยแพร่ต่อโลกได้ ไม่เช่นนั้นสิ่งที่พวกเขาพยายามทุ่มเทซ่อนตัวมานานกว่า 30,000 ปีมันคงถูกพังทลายลง
หลิงตู้ฉิงหยิบยันต์สั่งสวรรค์ขึ้นมาถือไว้ให้มู่เทียนหยูเห็นอย่างเด่นชัด
ทางด้านของมู่เทียนหยู ซึ่งเห็นยันต์สั่งสวรรค์ในมือของหลิงตู้ฉิงเขาก็ระวังตัวมากขึ้นทันที ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าด้านในมันผนึกพลังอะไรไว้แต่เขาก็สัมผัสได้ว่ามันอันตรายมากสำหรับเขา
ในระหว่างที่มู่เทียนหยูกำลังตื่นตัวไม่รู้จะจัดการยังไงต่อ หลิงตู้ฉิงก็เอ่ยขึ้นว่า “เข้ามาข้างในค่ายกลก่อน ข้ามีบางสิ่งจะบอกเจ้าและมีบางสิ่งที่จะมอบให้เจ้าโดยที่ไม่สามารถให้คนอื่นเห็นได้”
มู่เทียนหยูที่ได้ยินคำพูดอย่างมีความหมายแอบแฝงของหลิงตู้ฉิงเช่นนั้น ถึงแม้เขาจะลังเลอยู่บ้างแต่เขาก็ยังเดินเข้าไปในค่ายกลกระบี่เหินเมฆา ซึ่งต่อมาหลิงตู้ฉิงก็ปิดผนึกค่ายกลกระบี่ไม่ให้ผู้คนภายนอกได้เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นด้านใน
หลังจากพ้นจากสายตาผู้คนแล้ว หลิงตู้ฉิงก็แสดงชุดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ต่อหน้ามู่เทียนหยูทันที เขาแสดงมันตั้งแต่กระบี่แรกกระบี่สวรรค์พิพากษา จากนั้นเขาก็แสดงไปจนถึงกระบี่ที่ห้า กระบี่แห่งการทำลายล้าง และยังไม่หยุดแค่นั้น หลิงตู้ฉิงแสดงไปจนถึงกระบี่ที่เก้า!
ถึงแม้ว่าระดับการบ่มเพาะของหลิงตู้ฉิงจะไม่สามารถสำแดงอำนาจของกระบี่ทั้งเก้าออกมาได้ แต่ด้วยความคุ้นเคยของเขาที่มีต่อชุดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ เขาจึงสามารถสำแดงเจตจำนงของพวกมันออกมาได้อย่างชัดเจนและแค่นี้มันก็เพียงพอแล้วกับการยืนยันตัวตน
เมื่อเห็นกระบี่ที่เก้าที่หลิงตู้ฉิงเพิ่งแสดงเสร็จ มู่เทียนหยูก็คุกเข่าลงทันทีพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ผู้เยาว์ขอคารวะท่านปู่ทวด!”
ในโลกนี้ทั้งหมด มีเพียงแค่เทพกระบี่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ชุดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ได้ครบเช่นนี้
ถึงแม้ว่าในสุสานกระบี่จะมีชุดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่อยู่ก็จริง แต่มันก็ไม่มีใครที่จะผ่านด่านทดสอบกระบี่ที่ห้าไปได้
ดังนั้นหลังจากกระบี่ที่ห้า กระบี่ที่เหลือนั้นถือได้ว่าสาบสูญไปจากโลกภายนอกแล้วเรียบร้อย
แล้วตอนนี้กลับมีผู้ที่สามารถใช้ชุดวิชาดาราโลหิตประสานกระบี่ได้ครบทั้งหมด หากคนผู้นี้ไม่ใช่เทพกระบี่ มันก็คงไม่มีใครที่สามารถเป็นได้อีกแล้ว
และถึงแม้ว่ามู่เทียนหยูเองจะไม่เคยเห็นกระบี่ที่เหลือมาก่อน แต่จากการที่เขาสัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่ที่หลิงตู้ฉิงแสดงออกมาที่มันคล้ายคลึงกับที่บันทึกไว้ในตำนาน เขาจึงเข้าใจได้ว่าหลิงตู้ฉิงคือเทพกระบี่อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิงตู้ฉิงก็เอ่ยขึ้นอย่างจนใจ “เอ่อ ข้า… เฮ้อเจ้าลุกขึ้นก่อนเถอะ ข้ามีคำถามอยากจะถามเจ้าสักหน่อย”
มู่เทียนหยูรีบลุกขึ้นทันทีพร้อมกับยืนสงบนิ่งแสดงท่าทีเคารพ
“มีใครเหลืออยู่บ้าง?” หลิงตู้ฉิงถามขึ้น
“ท่านปู่ของข้ายังคงอยู่!” มู่เทียนหยูเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ท่านปู่ทวด ท่านต้องการให้ข้าไปตามท่านปู่มาให้ไหม? ในตอนนี้ท่านปู่กำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่ในเหวมรณะ ท่านเคยสั่งเอาไว้ว่าหากมีอะไรเร่งด่วนสามารถให้ข้าไปตามได้ทุกเมื่อ!”
แน่นอนว่าบุคคลที่มู่เทียนหยูเอ่ยขึ้นนั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกซะจาก ลูกชายของเทพกระบี่
หลิงตู้ฉิงเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าเวลาผ่านมากว่า 30,000 ปี ลูกชายของทาสกระบี่ยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ระดับการบ่มเพาะของเขาคงจะสูงมากแล้วอย่างแน่นอน
หลิงตู้ฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวข้าจะเข้าไปที่เหวมรณะเพื่อพบกับเขาเอง มันมีคำถามบางอย่างที่ข้าจำเป็นต้องถามเขาให้ชัดเจน”
“ท่านปู่ทวด ท่านต้องการให้ข้าลงไปส่งท่านข้างล่างไหม?” มู่เทียนหยูถามขึ้น
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ไม่จำเป็น ข้าสามารถลงไปได้ด้วยตัวเอง แต่เจ้าช่วยบอกปู่ของเจ้าด้วยก็แล้วกันว่าข้ากำลังจะลงไปหาเขา ส่วนตัวเจ้า หากเจ้าจะลงไปด้วยก็ได้ อันที่จริงข้าเองก็มีคำถามจะถามเจ้าด้วยเช่นกัน เอาล่ะเจ้าจงออกไปได้แล้ว ข้าจะลงไปที่เหวมรณะตอนนี้เลย”
“รับทราบ!” มู่เทียนหยูเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ท่านปู่ทวด ถ้างั้นเดี๋ยวข้าขอกลับไปบอกท่านพ่อของข้าก่อนก็แล้วกัน จากนั้นข้าจะนำเหล่าบุตรหลานลงไปด้วย หากพวกเขารู้ว่าท่านมาเยือน พวกเขาทุกคนคงจะดีใจมากแน่ ๆ”
หลังจากที่พูดจบ มู่เทียนหยูก็ให้ตำแหน่งที่ปู่ของเขาอยู่ในเหวมรณะกับหลิงตู้ฉิง ส่วนตัวเขาก็ออกไปจากค่ายกลกระบี่ทันที
ทางด้านของหลิงตู้ฉิงก็เก็บค่ายกลกระบี่ และจากนั้นเขาก็ออกคำสั่งกับหลงเฉินโดยไม่สนใจถึงข้อมูลตำแหน่งที่มู่เทียนหยูให้มา “มุ่งหน้าไปยังทางเข้าเหวมรณะที่เราใช้มันเข้ามาในอาณาเขตสุสานกระบี่”
ในตอนนี้ หลิงตู้ฉิงเข้าใจแล้วว่าทำไมมู่เฉียนซ่งถึงสามารถฝึกกระบี่ในเหวมรณะได้อย่างปลอดภัย
ด้วยการปกป้องของบรรพบุรุษของเขาที่อยู่ในส่วนลึกของเหวมรณะ ต่อให้ไอ้เจ้าหนูนี่มันจะโง่เขลาสักแค่ไหน เขาก็ไม่มีวันที่จะตายลงในเหวมรณะแน่นอน
แต่มันก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่เขายังคิดไม่ออก เขาไม่เข้าใจว่าคนเหล่านี้เป็นมาอย่างไรถึงได้กลายมาเป็นสำนักกระบี่เอกภพอย่างเช่นทุกวันนี้
เนื่องจากทางเข้าเหวมรณะนั้นอยู่ไม่ไกล หลงเฉินจึงใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็ลากรถม้ามาถึง
หลิงตู้ฉิงเปิดใช้งานค่ายกลกระบี่เหินเมฆาทันที และสั่งกับหลงเฉิน ว่า “เจ้าจงมุ่งหน้าลงไปยังส่วนลึกของเหวมรณะ”
เมื่อได้ยินคำสั่งนี้ หลงเฉินก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตกตะลึง “นายท่าน ยิ่งเราลงไปในเหวมรณะลึกเท่าไหร่ สัตว์ปีศาจที่เราจะต้องเจอมันก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นและยังไม่รวมไปถึงความผันผวนของกฎที่รุนแรง ซึ่งบางทีหากเราเผชิญกับมัน มันก็ไม่ต่างอะไรจากเราต้องเผชิญกับการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันเลย ท่านจะลงไปเช่นนี้จริง ๆ งั้นเหรอ?”
เย่ชิงเฉิงกล่าวเสริมขึ้นเช่นกัน “สามี หากเราจะลงไปจริง ๆ ข้าคิดว่าเราคงต้องเตรียมตัวกันมากกว่านี้สักหน่อย ข้าเกรงว่าแค่เฉพาะความแข็งแกร่งของค่ายกลกระบี่เหินเมฆามันคงยังไม่เพียงพอที่จะปกป้องเราได้”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ต้องกังวล แค่ลงไปตามที่ข้าบอก เดี๋ยวก็มีคนมารับพวกเราเอง”
เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อนของเจ้านายตนเอง หลงเฉินก็ทำได้แต่มุ่งหน้าลงไปในส่วนลึกของเหวมรณะด้วยด้วยใจหวั่น ๆ
หลังจากที่พวกเขาดิ่งลึกลงไปในเหวมรณะได้ 2 กิโลเมตร บรรยากาศรอบกายของพวกเขาก็เริ่มมืดลง ๆ และความผันผวนของกฎก็เริ่มรุนแรงขึ้น
จากนั้นจู่ ๆ ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของค่ายกลกระบี่ และเมื่อทุกคนจ้องมองไปถึงสาเหตุดี ๆ พวกเขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าต้นเหตุก็คือแมลงปีศาจยักษ์ที่มีความยาวกว่าร้อยเมตรพุ่งเข้าชนค่ายกลกระบี่ของพวกเขา ซึ่งค่ายกลกระบี่เองก็ส่งกระบี่บินออกไปตอบโต้เฉือนไปที่เปลือกของแมลงปีศาจตนนั้นจนเกิดเป็นประกายไฟ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าค่ายกลกระบี่ไม่สามารถฆ่าแมลงปีศาจตนนี้ลงได้
“นายท่าน พวกเราจะทำยังไงต่อดี?” หลงเฉินถามขึ้นด้วยสีหน้ากังวล
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งของแมลงปีศาจตัวนี้อยู่ในระดับไหน แต่ถ้าดูจากความแข็งแกร่งของเปลือกมันแล้ว มันคงไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถต่อกรได้แน่นอน
หลิงตู้ฉิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ไม่ต้องไปสนใจมัน มันก็แค่แมลงปีศาจที่อยู่ในระดับสวรรค์สมบูรณ์ มันไม่สามารถผ่านการป้องกันของค่ายกลกระบี่เข้ามาได้หรอก จงดำดิ่งลงไปอีก”
หลงเฉินได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อได้ยินคำสั่งเช่นนี้
มีแมลงปีศาจระดับสวรรค์สมบูรณ์ตามหลังพวกเขาอยู่แบบนี้ เจ้านายของเขายังจะสั่งให้ดิ่งลึกลงไปอีกงั้นเหรอ?
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากลงไปลึกสักแค่ไหน แต่ด้วยคำสั่งของหลิงตู้ฉิง เขาก็จำเป็นต้องทำตามพลางตัวสั่นในขณะที่ลากรถม้า
จากไม่นานจู่ ๆ ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาก็สั่นอย่างรุนแรงอีกรอบ ซึ่งเกิดจากที่จู่ ๆ รอยแยกของมิติขนาดยักษ์ดันมาปรากฎขึ้นเหนือค่ายกลกระบี่แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนเกือบจะแยกค่ายกลกระบี่ออกเป็นสองส่วน!
ทุกคนที่เห็นภาพเช่นนี้ต่างก็ตกใจกันยกใหญ่ พวกเขาต่างรีบหันไปมองหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาเป็นกังวลและคิดในใจ ‘นี่ท่านยังจะลงไปอีกงั้นเหรอ?’
ทางด้านของหลิงตู้ฉิง ในเวลานี้ก็ส่ายหัวและพูดขึ้นด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ “ยังไม่เคลื่อนไหวอีกงั้นเหรอ?”