พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 54 คนธรรมดาที่กลายเป็นผู้บ่มเพาะ[รีไรท์]
บทที่ 54 คนธรรมดาที่กลายเป็นผู้บ่มเพาะ[รีไรท์]
บรรดาเด็ก ๆ ที่ฟังอยู่ไม่มีใครตระหนักรู้เลยว่าการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตประสานทะเลปราณนั้นยากแค่ไหน
แต่ทุกคนเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าพ่อของพวกเขาจะสามารถทำให้พวกเขาบรรลุไปถึงได้แน่นอน
ในขณะนี้เมื่อหลิงตู้ฉิงพูดกับหลิงไช่หยุนจบ พวกเด็ก ๆ ก็หันไปมองยังหลิวเฟ่ยเฟ่ยที่เพิ่งกลืนโอสถสร้างรากฐานและกำลังเปิดจุดตันเถียนของนาง
หลิวเฟ่ยเฟ่ยหลังจากกลืนโอสถกำเนิดรากฐานไปแล้ว นางเองก็ไม่มีความรู้สึกอะไรมากนัก นางเพียงแต่รู้สึกไม่สบายตัวเหมือนช่วงมีประจำเดือน
นางไม่แน่ใจว่าความรู้สึกไม่สบายตัวที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะประจำเดือนของนางกำลังมาพอดีหรือว่านางกำลังอยู่ในขั้นตอนการสร้างรากฐานจิตวิญญาณกันแน่
แต่ในสายตาของหลิงตู้ฉิง เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่ากระแสพลังวิญญาณกำลังเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของหลิวเฟ่ยเฟ่ยอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้นไม่นาน กระแสการไหลของพลังวิญญาณที่กำลังเข้าสู่ร่างกายของหลิวเฟ่ยเฟ่ยก็สิ้นสุดลงโดยที่นางไม่รู้ตัว
“ท่านพ่อ น้าเฟ่ยสร้างรากฐานสำเร็จหรือไม่?” หลิงไช่หยุนถาม แม้ว่าหลิงตู้ฉิงได้ผนึกพลังของหลิงไช่หยุนไว้ แต่นางก็ยังรู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของพลังวิญญาณที่อยู่รอบ ๆ
หลิวเฟ่ยเฟ่ยเองใตอนนี้ก็มองดูหลิงตู้ฉิงด้วยความคาดหวัง ความรู้สึกไม่สบายตัวเมื่อครู่นี้คือการสร้างรากฐานจิตวิญญาณใช่หรือไม่?
แล้วนางทำได้สำเร็จแล้วใช่หรือเปล่า? นางยังคงมองดูหลิงตู้ฉิงเพื่อรอคำตอบ
หลิงตู้ฉิงมองไปยังหลิงไช่หยุนด้วยรอยยิ้มแล้วพยักหน้าหนึ่งครั้ง
การยืนยันของหลิงตู้ฉิงทำให้หลิวเฟ่ยเฟ่ยไม่อาจกลั้นน้ำตาในดวงตาของนางได้ “ขอบคุณนายท่านที่เมตตาผู้น้อย พระคุณครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืมเลย”
ตามภูมิหลังของนาง หากนางไม่ได้พบกับหลิงตู้ฉิง ในกรณีที่โชคดีที่สุดบางทีนางอาจจะถูกไถ่ตัวไปโดยเศรษฐีบางคน เศรษฐีที่ไถ่ตัวนางไปอาจจะยกให้นางเป็นเมียน้อย หรือไม่แบบที่แย่ที่สุดคือตลอดทั้งชีวิตของนางอาจจะต้องอยู่ในหอมรกตแดงจนแก่ชราไร้ค่า และตายลงไม่ต่างจากนางคณิกาส่วนใหญ่
นางไม่เคยคาดคิดว่าในคืนแรกที่นางต้องให้บริการลูกค้า จะเป็นคืนที่เปลี่ยนโชคชะตาของนางไปทั้งชีวิต
ตอนนี้นางสามารถบ่มเพาะพลังได้แล้ว ชีวิตของนางกำลังดำเนินไปในอีกทางสายหนึ่ง
นางจะไม่รู้สึกตื้นตันใจได้อย่างไร?
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดจาสุภาพขนาดนี้ แม้ว่าเจ้าจะสร้างรากฐานจิตวิญญาณได้แล้ว แต่เส้นลมปราณของเจ้ายังไม่เปิด ไปที่ห้องของข้าแล้วข้าจะเปิดเส้นปราณให้เจ้าและสอนเคล็ดวิชาอีกชุดหนึ่งให้”
ใบหน้าของหลิวเฟ่ยเฟ่ยเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย ขณะที่นางพูดอย่างเร่งรีบ “นายท่าน ข้าขออาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน!”
หลิงตู้ฉิงรู้สึกแปลก ๆ มันเป็นเพียงการเปิดเส้นลมปราณทำไมนางต้องอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า?
ในทางกลับกัน เด็ก ๆ ที่ต่างก็เคยเข้าเรียนวิชาสรีรวิทยาแล้ว พวกเขาก็มองหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาแปลก ๆ นี่ทำให้หลิงตู้ฉิงยิ่งเริ่มรู้สึกสับสนเข้าไปใหญ่
แม้ว่าเขาจะบรรลุความรู้สึกอารมณ์แบบชายหญิง แต่เขาก็ยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางกายระหว่างชายและหญิง ในตอนนี้ลูก ๆ ของเขายังมีความรู้ในเรื่องพวกนี้มากกว่าเขาเสียอีก
ไม่นานหลังจากหลิวเฟ่ยเฟ่ยอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า นางก็พูดอย่างเขินอายว่า “นายท่าน ข้าพร้อมแล้ว…”
ภายใต้สายตาที่จ้องมองของเด็ก ๆ หลิงตู้ฉิงค่อย ๆ เดินนำหลิวเฟ่ยเฟ่ยไปที่ห้องของเขา
หลิงว่านถิงกล่าวด้วยสีหน้าคาดเดา “พ่อกับน้าเฟ่ยกำลังจะมีลูกกันแล้ว แล้วนี่พวกเราจะได้น้องชายหรือว่าน้องสาวมาเพิ่มอีกกันนะ?”
หลิงไช่หยุนเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ข้าหวังว่าจะเป็นน้องชาย เมื่อข้าโตขึ้นข้าจะคอยปกป้องเขาเอง! เอ๊ะ แต่เขาจะเรียกข้าว่าอย่างไร พี่สาว? พี่รอง? หรือพี่สาวคนเล็ก? สับสนจัง…แต่ต่อไปหากข้าไม่ใช่คนที่อายุน้อยที่สุดแล้ว ท่านพ่อจะไม่รักข้าอีกต่อไปแล้วแน่เลย ข้า…ข้ารู้สึกกลัวจังเลยพี่ว่านถิง…”
หลิงยี่เทียนถามขึ้นมาทันทีว่า “ถ้าท่านพ่อมีลูกของเขาเอง เขาจะยังคงปฏิบัติต่อเราอย่างดีอยู่ไหม?”
“มันควรจะเป็นอย่างนั้นไหม?” หลิงฟ่างหัวพูดอย่างไม่แน่ใจ
หลิงยู่ชานกล่าวอย่างจริงจังว่า “พวกเจ้ากำลังพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน! ท่านพ่อจะเป็นคนแบบนั้นได้อย่างไร? ตอนที่ท่านพ่อรับพวกเจ้ามาเลี้ยง ท่านพ่อเคยละเลยข้าไหม? และที่สำคัญ แค่ท่านพ่อรับพวกเรามาอุปการะ แค่นี้ก็ถือว่าเป็นโชคดีอันใหญ่หลวงที่สุดของพวกเราแล้ว พวกเจ้ายังต้องการอะไรไปมากกว่านี้อีก? หรือต่อให้ในอนาคตไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จงจำไว้ ข้าจะคอยปกป้องพวกเจ้าเอง!”
อย่างไรก็ตามในห้องของหลิงตู้ฉิง ภาพที่เกิดขึ้นในห้องนั้นช่างต่างกับที่บรรดาเด็ก ๆ จินตนาการไว้ไปไกลโข
หลิงตู้ฉิงกำลังช่วยหลิวเฟ่ยเฟ่ยเปิดเส้นลมปราณทั้งหมดในร่างกาย
เมื่อหลิงตู้ฉิงเปิดเส้นลมปราณทั้งหมดในร่างกายของหลิวเฟ่ยเฟ่ยเสร็จ ร่างของหลิวเฟ่ยเฟ่ยก็เริ่มร้อนผ่าว สาเหตุที่ร่างกายของนางร้อนนั่นก็เพราะวิธีการที่หลิงตู้ฉิงใช้เปิดเส้นลมปรานของนางคือ ให้นางเปลือยท่อนบนจากนั้นเขาก็ใช้มือคลำไปมาทั่วร่างนางเพื่อคลำหาเส้นปราน หลิงตู้ฉิงจึงพูดกับนางว่า “ทำใจให้สงบ ข้ากำลังจะถ่ายทอด วิชาดรุณีมายา ให้”
เมื่อหลิวเฟ่ยเฟ่ยเห็นหลิงตู้ฉิงเป็นแบบนี้ นางก็เริ่มหงุดหงิดเล็ก ๆ
นางมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์และพูดว่า “นายท่าน สำหรับวิชาท่านค่อยสอนข้าในวันพรุ่งนี้ วันนี้เรามาทำอย่างอื่นกันดีกว่า”
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่รู้อะไรเลย นางจึงทำได้แต่เพียงเป็นฝ่ายเริ่ม อย่างไรก็ตามสิ่งที่นางได้รับคือปฏิกิริยาแปลก ๆ จากหลิงตู้ฉิง
“ทำอย่างอื่น? อะไรคืออย่างอื่น? ไม่ว่าเจ้าจะอยากทำอะไรอย่างอื่น อันดับแรกที่เจ้าต้องทำคือการจำเคล็ดวิชาดรุณีมายาให้ได้ก่อน เพราะหลังจากข้าสอนเจ้าเสร็จ ข้ายังต้องรีบไปสร้างเสื้อผ้าให้ไช่หยุนอีก” หลิงตู้ฉิงพูดอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
เมื่อเห็นท่าทีเย็นชาปนไม่รู้ความของหลิงตู้ฉิง หลิวเฟ่ยเฟ่ยก็รู้สึกว่าหัวใจของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกกลับตาลปัตรจนบอกไม่ถูก
เมื่ออารมณ์นางเริ่มสงบลง นางจึงเริ่มรวบรวมสมาธิและสวมเสื้อขึ้น จากนั้นส่งสัญญาณให้หลิงตู้ฉิงเริ่มถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้นาง แต่ระหว่างที่นางฟังหลิงตู้ฉิงถ่ายทอดวิชาให้นั้น นางยังคงรำพึงในใจว่าทำไมชายคนนี้ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวได้ขนาดนี้
หลิงตู้ฉิงต้องสอนเคล็ดวิชาให้หลิวเฟ่ยเฟ่ยมากกว่า 10 ครั้งนางถึงจะเข้าใจ เมื่อสอนเสร็จเขาก็เดินออกจากห้องพร้อมกับหน้านิ่วคิ้วขมวด
วิชาดรุณีมายา ไม่ใช่เคล็ดที่ยากนี่นา ทำไมนางถึงต้องให้เขาสอนมากกว่า 10 ครั้งถึงจะเข้าใจ?
โชคดีที่หลิวเฟ่ยเฟ่ยมีส่วนช่วยให้เขาพัฒนาเต๋าตู้ฉิงได้สำเร็จ เขาจึงไม่โทษโกรธนางสักเท่าไหร่
เขาไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงแล้วที่หลิวเฟ่ยเฟ่ยเรียนรู้ช้าเป็นเพราะการขาดสมาธิของนางนั้นเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้นางต้องให้เขาสอนมากกว่า 10 รอบ เขาได้แต่คิดว่าสาเหตุที่นางเรียนรู้ช้าเพราะว่านางมีสติปัญญาต่ำ
“ดูเหมือนว่าข้าเองก็ต้องเตรียมวัตถุดิบเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้จิตวิญญาณของตัวเอง” หลิงตู้ฉิงพึมพำ
หลิงตู้ฉิงซึ่งกำลังคิดวิธีปรับปรุงจิตวิญญาณของเขาเองได้เดินเข้ามาที่ลานกลางเรือน
เมื่อเหล่าเด็ก ๆ เห็นพ่อของพวกเขากำลังเดินเข้ามา พวกเขาจึงรีบวิ่งไปลากเก้าอี้มาให้หลิงตู้ฉิงด้วยความกังวล “ท่านพ่อ ท่านควรจะไปพักผ่อนก่อนนะ”
หลิงตู้ฉิงนั่งลงบนเก้าอี้ที่พวกเด็ก ๆ ลากมาและถามด้วยความงุนงงว่า “พักผ่อน? พักผ่อนเพื่ออะไร? พ่อยังไม่เหนื่อยสักหน่อย เอาล่ะพวกเจ้าแยกย้ายกันไปฝึกต่อได้ พ่อยังมีเรื่องที่ต้องจัดการต่อ”
หลิงยู่ชานและคนอื่น ๆ มองหน้ากันและพึมพำกับตัวเอง
ไม่ใช่ว่าครูถังบอกว่าหลังจากที่ทำกิจกรรมผลิตทายาทเสร็จแล้วจะต้องเหนื่อยอย่างมากเลยไม่ใช่หรือไง? แต่ครูถังก็ได้กล่าวเตือนกับพวกเขาไว้เช่นกันว่าการผลิตทายาทจำเป็นต้องรอให้โตขึ้นเสียก่อนจึงจะสามารถทำได้
อย่างไรก็ตาม ครูถังยังบอกพวกเขาว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว พวกเขาไม่ควรเอ่ยถามเรื่องเหล่านี้กับคนอื่น ดังนั้นแม้ว่าพวกเด็ก ๆ จะกังวล แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถามหลิงตู้ฉิงถึงเรื่องนี้ต่อ
เมื่อเด็ก ๆ แยกย้ายกันไปทำกิจกรรมของแต่ละคน หลิงตู้ฉิงก็นั่งอยู่ที่นั่น และระดับการบ่มเพาะของเขาจู่ ๆ ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วไปจนถึงขอบเขตควบแน่นลมปราณระดับ 3