พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 548 พี่เขยทั้งสาม
บุคคลที่หายเข้าไปในเขตแดนหมอก ไม่ได้มีเพียงแค่เย่ชางคงเพียงคนเดียว
ในช่วงเวลาทั้งหมดตั้งแต่เขตแดนหมอกปรากฏขึ้น สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ได้สูญเสียทรัพยากรไปมากมายหลายอย่างกับความพยายามในการกำจัดเขตแดนหมอกนี้ออกไป ไม่ว่าจะเป็นทั้งเงิน สมบัติวิเศษหรือผู้เชี่ยวชาญระดับสูงจากทุกตระกูล ซึ่งทุก ๆ อย่างล้วนแล้วแต่สูญหายไปโดยไม่ได้อะไรกลับคืนมา
แต่แล้วในตอนนี้เมื่อพวกของเล้งเจี้ยนชิว มีเฉินจี้ซีเป็นไพ่สำคัญของพวกเขาในการพาเหล่าผู้เชี่ยวชาญและสมบัติที่สูญหายไปของตระกูลอื่น ๆ กลับมาได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่ตระกูลอื่น ๆ ย่อมไม่สนใจกับความสุขของเด็กสาวเพียงคนเดียว ต่อให้เย่ชิงเฉิงจะเป็นลูกสาวของเจ้าสำนัก นางก็จำเป็นที่จะต้องเสียสละตัวเองหากโดนทุกคนกดดันให้มาแต่งงานกับลูกชายของเขาเพื่อเอาใจ
เล้งหวงครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็พยักหน้าและพูดว่า “ท่านพ่อ ถ้าอย่างนั้นเราต้องคุยเรื่องนี้กับเฉินจี้ซีก่อน เราต้องให้เขาช่วยเราเรื่องนี้เมื่อถึงเวลา”
เล้งเจี้ยนชิวเบะปากและเอ่ยว่า “ตาแก่นั่นได้รับของจากเราไปมากมาย มีหรือที่เขาจะกล้าปฏิเสธเรา? แต่ก็เอาเถอะ เราก็คุยกับเขาเรื่องนี้เผื่อไว้สักหน่อยก็แล้วกัน เพื่อป้องกันการผิดพลาด”
“อืม! ถ้างั้นเดี๋ยวข้าจะเป็นคนไปคุยกับเขาถึงเรื่องนี้เองท่านพ่อ!” เล้งหวงพยักหน้า “ว่าแต่ท่านพ่อ เราจะเอายังไงดีกับไอ้ผู้ถูกชะตากำหนดผู้นั้น จากที่ข้าสอบถามมาจากหานซ่งหยวน ดูเหมือนว่ามันจะไม่ธรรมดาเช่นกัน มันน่าจะเป็นตัวตนระดับสูงที่กลับชาติมาเกิดใหม่”
เล้งเจี้ยนชิวตอบกลับ “ที่นี่คือสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์! ไม่ว่าชีวิตที่แล้วมันจะเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนมาก่อนเราก็ไม่จำเป็นต้องไปกลัว สำนักของเรานั้นเคยสังหารตัวตนที่ยิ่งใหญ่มาแล้วหลายต่อหลายคน หากมันกล้าสร้างปัญหาให้กับเรา เราก็จะฆ่ามัน แต่ถ้าหากมันทำตัวสงบเสงี่ยมเชื่อฟังคำสั่งของเรา พวกเราก็แบ่งประโยชน์ไปให้มันบ้างก็แค่นั้น ไว้เดี๋ยวรอมีโอกาสเหมาะ ๆ ก่อนเราค่อยลองไปคุยกับมันดู ไม่แน่มันอาจจะเป็นคนที่คุยด้วยง่ายก็ได้”
“ท่านพูดถูก!” เล้วงหวงหัวเราะ “ท่านพ่อ งั้นข้าขอตัวไปคุยกับผู้อาวุโสเฉินจี้ซีก่อนก็แล้วกัน”
“ไปเถอะ” เล้งเจี้ยนชิวพยักหน้า
หลังจากที่เล้งหวงจากไป เล้งเจี้ยนชิวก็พูดกับตัวเองด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “เมื่อไหร่ที่ลูกชายข้าสำเร็จร่างเทพสุริยะ เมื่อนั้นใครจะสามารถต่อกรกับลูกของข้าได้อีก?”
แน่นอนว่าเขาแน่ใจว่าเฉินจี้ซีน่าจะทำสำเร็จในการผ่านชายขอบของเขตแดนหมอกเข้าไปได้ แต่สิ่งที่เขาเป็นกังวลอยู่ก็คือในพื้นด้านในอีก 15 กิโลเมตร เฉินจี้ซีจะสามารถทำอะไรกับมันได้หรือไม่?
ในอีกด้านหนึ่ง หลิงตู้ฉิงและเย่ชิงเฉิงในตอนนี้กำลังปรึกษากัน
หลิงตู้ฉิงพูดกับเย่ชิงเฉิงว่า “ข้าจำได้ว่า ตระกูลหาน กับ ตระกูลหยู สัญญากับเราไว้ว่าพวกเขาจะมอบหินแก่นแท้ปฐพี และ หินจันทราศักดิ์สิทธิ์ให้กับเรา ยังไงซะเมื่อเจอหน้าพวกเขาเจ้าก็อย่าลืมทวงพวกเขาด้วยล่ะ”
ถึงแม้ว่าเย่ชิงเฉิงและเหลียงเฟ่ยเอ๋อจะสร้างสมบัติแห่งโชคชะตาของตัวเองสำเร็จแล้ว หลิงตู้ฉิงก็ยังคงต้องการสมบัติที่ล้ำค่า เช่น หินแก่นแท้ปฐพี และ หินจันทราศักดิ์สิทธิ์ มาเก็บเอาไว้อยู่ดี ดังนั้นในเมื่อตอนนี้พวกเขามีโอกาสที่จะทวงมันแล้ว มันก็ถึงเวลาที่จะต้องรับมันมาสักที
เย่ชิงเฉิงหัวเราะ “เรื่องนี้เดี๋ยวเราค่อยทวงพวกเขาหลังจากนี้ก็ได้ ยังไงซะของพวกนั้นก็อยู่ในคลังสมบัติอยู่แล้วมันไม่หายไปไหนแน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดในวันนี้ก็คือข้าจะพาท่านไปดูเขตแดนหมอกที่อยู่หลังสำนักของเรา และในเวลาเดียวกันข้าจะพาท่านไปทำความรู้จักกับคนอื่น ๆ ด้วย”
“เมื่อถึงเวลาท่านน่าจะเจอกับคนของทั้งสองตระกูลนั้นด้วยตัวเอง ท่านอย่าลืมว่าท่านเป็นถึงผู้ที่ถูกชะตากำหนดและถูกเชิญตัวมาโดยข้า”
“ในหมอกนั่นมีญาติพี่น้องของทั้งสองตระกูลติดอยู่ข้างในด้วยไม่น้อยเลย ดังนั้นท่านมีสิทธิ์ที่จะต่อรองกับพวกเขาได้ตามสบาย”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “อันที่จริงข้าไม่ได้ต้องการสมบัติอะไรของสำนักเจ้าสักเท่าไหร่หรอก ข้าขอแค่สิ่งที่อยู่ด้านในหมอกนั่นก็พอ”
“ท่านเป็นคนใจกว้างขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” เย่ชิงเฉิงแสดงสีหน้าประหลาดใจ
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ไม่ใช่ว่าข้าใจกว้างอะไรหรอก มันก็แค่สิ่งที่อยู่ในหมอกนั่นมันล้ำค่ามากกว่าสำนักของเจ้าทั้งสำนักรวมกันซะอีกต่างหาก ดังนั้นหากข้าได้รับมันมามันก็คุ้มค่าพอสำหรับข้าที่มาเยือนที่สำนักของเจ้าแล้ว”
เขาเป็นคนเดียวที่รู้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่อยู่ในหมอกนั่นคืออะไร ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นมันจริง ๆ ก็ตาม
เย่ชิงเฉิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อน “เอาเถอะ ไม่ว่าจะยังไง พวกเราก็ไปดูมันก่อนก็แล้วกัน!”
จากนั้นเย่ชิงเฉิงก็พาหลิงตู้ฉิงออกมาที่ห้องโถงรับแรงของตระกูลเย่ ซึ่งมู่หลงหยานได้คอยอยู่เป็นเวลานานแล้ว
นอกจากมู่หลงหยาน แล้วยังมีผู้เชี่ยวชาญตระกูลเย่อีกจำนวนหนึ่งที่ยืนคอยอยู่เช่นกัน แต่เมื่อบรรดาผู้คนที่ได้เห็นตัวจริงของหลิงตู้ฉิง พวกเขาแต่ละคนก็มองด้วยสายตาที่แตกต่างกัน บางคนก็มองด้วยสายตาสงสัย บางคนก็มีสายตาที่แปลกประหลาด หรือไม่บางคนก็แสดงสีหน้าดูถูก….
ในที่สุดก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งอดไม่ไหว เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าลังเลว่า “นี่เจ้าตัดสินใจแต่งงานด้วยตัวเองเลยงั้นเหรอ?”
เย่ชิงเฉิงขมวดคิ้วตอบกลับ “ท่านพี่ ท่านหมายความว่ายังไงที่ข้าตัดสินใจแต่งงานด้วยตัวเอง? เป็นท่านแม่ต่างหากที่อนุญาตให้ข้าแต่งงานกับสามีของข้า สามีนี่คือพี่ใหญ่ของข้า เย่ฉิงเฟิง และนั่นพี่สอง เย่เฟิงหลิว และนั่นพี่สาม เย่เจียงไห่”
หลิงตู้ฉิงมองไปยังทั้งสามคนและพยักหน้าเล็กน้อย ในบรรดาทั้งสามคนผู้ที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในระดับนักบุญ
ส่วนพี่ชายคนโตของเย่ชิงเฉิงนั้นอยู่ในระดับสวรรค์สมบูรณ์ขั้นสูงสุด
เมื่อเห็นว่าหลิงตู้ฉิงไม่ได้เอ่ยทักทายพวกเขา สีหน้าของพี่ชายทั้งสามของเย่ชิงเฉิงก็เริ่มเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ พลางคิดในใจว่า
‘ถึงแม้ว่าเจ้าจะสามารถบ่มเพาะมาได้ถึงขอบเขตประสานทะเลปราณระดับ 14 ซึ่งอนาคตของเจ้าคงจะสดใสอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อย ๆ เจ้าก็ควรจะให้เกียรติพวกข้าบ้างที่เป็นพี่เขย อย่างน้อย ๆ ก็เอ่ยทักทายพวกข้าสักหน่อยก็ยังดี’
ในขณะที่พวกเขากำลังจะอดใจไม่อยู่พูดอะไรออกไป พวกเขาก็ถูกแทรกขึ้นโดยมู่หลงหยาน
“ตู้ฉิง อันดับแรกข้าคิดว่าข้าจะพาเจ้าไปที่ดูเขตแดนหมอกที่หลังสำนักก่อน จากนั้นข้าจะพาเจ้าไปที่ห้องโถงใหญ่ของสำนักเพื่อเจอกับทุกคน เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร?” มู่หลงหยานถามขึ้น
นางได้ยินเรื่องราวต่าง ๆ มากมายเกี่ยวกับหลิงตู้ฉิงจากเย่หยูหลันแล้วเมื่อคืนที่ผ่านมา บวกกับที่นางได้ประสบด้วยตัวเองเมื่อวาน นางจึงพอจะรู้แล้วถึงแนวทางการจัดการสิ่งต่าง ๆ ของหลิงตู้ฉิง ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะบอกแผนการของวันนี้และถามความเห็นเขาตรง ๆ
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “งั้นก็ไปกันที่หลังสำนักของเจ้าก่อน เพื่อดูว่ามันจะต้องใช้วิธีไหนในการคลี่คลายปัญหาให้เจ้า”
“ดูงั้นเหรอ? ดูแล้วเจ้าจะแก้ปัญหาให้เราได้จริง ๆ งั้นเหรอ?” เย่เฟิงหลิวมองไปที่หลิงตู้ฉิง
หลิงตู้ฉิงมองกลับไปยังเย่เฟิงหลิว และตอบกลับว่า “หากข้าไม่สามารถแก้ได้ บนโลกนี้ก็ไม่มีใครที่สามารถแก้ได้อีกแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาผู้คนของตระกูลเย่ก็เลิกคิ้วขึ้น
จากความหมายของหลิงตู้ฉิง มันหมายความว่าพวกเขาพึ่งพาได้แค่หลิงตู้ฉิงเท่านั้นงั้นเหรอ?
“เจ้านี่โอ้อวดได้เก่งจริง ๆ” เย่เจียงไห่หัวเราะ
เย่ชิงเฉิงยิ้มพร้อมกับมองไปยังพี่ชายของนางทั้งสามคน และจากนั้นนางก็คว้าแขนของหลิงตู้ฉิง และพูดว่า “สามี ที่ข้าเคยขอท่านเอาไว้ว่าให้ท่านช่วยมอบโอสถรัศมีธาตุศักดิ์สิทธิ์ให้กับพี่ชายของข้าทั้งสามก่อนหน้านี้ ในเมื่อพวกเขาพูดจาแบบนี้กับท่าน ถ้างั้นท่านก็ไม่ต้องไปให้พวกเขาหรอก ปะ ไปกัน ท่านแม่ พวกเรารีบไปกันที่เขตแดนหมอกหลังสำนักกันเถอะ!”
เมื่อพูดจบ เย่ชิงเฉิงก็พาหลิงตู้ฉิงไปที่ด้านหลังสำนักทันที
มู่หลงหยานที่เห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ส่ายหัวพลางถอนหายใจ และเดินตามคนทั้งคู่ไป
ส่วนทางด้านของพี่ชายทั้งสามของเย่ชิงเฉิง พวกเขาได้แต่มองหน้ากันด้วยสีหน้างุนงง จากนั้นพวกเขาก็รีบพูดกับเย่ชิงเฉิงทางโทรจิตว่า “น้องเล็ก เมื่อครู่นี้ที่เจ้าพูด เจ้าหมายความว่ายังไงกัน?”
ทางด้านของเย่ชิงเฉิงที่ได้ยินที่บรรดาพี่ชายของนางถามมาด้วยน้ำเสียงสงสัย นางก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ตอบอะไรกลับไป เนื่องจากเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงแค่การแสดงเพื่อให้พี่ชายทั้งสามคนของนางหุบปากเอาไว้
ถ้าหากพวกเขายังคงพูดจาไม่ดีกับหลิงตู้ฉิงต่อไป ในอนาคตพวกเขาจะไม่ได้รับอะไรสักอย่างเลยจากสามีของนางแน่นอน!