พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 591 กิ่งไม้โง่ ๆ
ในขณะนี้หลิงตู้ฉิงได้มายืนมองไปที่ด้านหน้าภูเขาจำลอง ซึ่งมีช่องปริศนาอยู่ 3 รูปรากฏให้เห็นและมองไปที่กุญแจตำหนักที่อยู่ในมือของตัวเอง
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “หมดสถานที่ให้พวกเราสำรวจแล้วตอนนี้ พวกเรากลับไปที่ห้องโถงใหญ่เพื่อสะสางเรื่องต่าง ๆ ก่อนก็แล้วกัน”
เนื่องจากเขาไม่มีกุญแจอีก 2 ดอกที่จะสามารถทำให้เขาเปิดคลังสมบัติของตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปสะสางเรื่องอื่น ๆ ก่อน
เมื่อทุกคนได้เดินกลับเข้าไปในห้องโถงใหญ่ของตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน ทุกคนก็ได้เห็นว่าในขณะนี้เย่เจียงไห่ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าหดหู่
ถึงแม้ว่าเย่เจียงไห่จะสามารถบ่มเพาะเพลิงหนานหมิงได้สำเร็จและเข้ามาในห้องโถงใหญ่ได้ แต่ทุกอย่างมันก็สายเกินไปเสียแล้ว
ในตอนนี้ทั้งเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์และตำหนักของเขาต่างก็ตกไปอยู่ในมือคนอื่นเรียบร้อย
เขาคือผู้ที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงจะไปมีความสุขอยู่ได้ยังไงกัน?
แต่แล้วเมื่อเขาเห็นว่าตัวการที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ได้โผล่หน้ามาให้เห็น เย่เจียงไห่ก็ลุกขึ้นและมองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าเย็นชาทันที
“เอ๋? พี่สามนี่ท่านเข้ามาในนี้ได้ยังไงกัน?” เย่ชิงเฉิงถามขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
มู่หลงหยานก็มองไปที่เย่เจียงไห่ด้วยสีหน้าสงสัยและถามขึ้นว่า “เจียงไห่ ทำไมแม่ถึงไม่สามารถมองเห็นระดับการบ่มเพาะของเจ้าได้ชัดเจนแบบนี้กัน? เจ้าไปได้รับอะไรมางั้นเหรอ? ทำไมแม่สัมผัสได้ราง ๆ ว่าตอนนี้เจ้าอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิแล้ว?”
เย่เจียงไห่ยังคงไม่ตอบกลับใด ๆ เหมือนเดิม เนื่องจากในตอนนี้เขายังคงรู้สึกหดหู่ใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ไอ้หนู ข้าเคยบอกเจ้าแล้วใช่ไหมว่าการติดค้างข้ามันไม่ใช่เรื่องที่สมควรนัก”
เย่เจียงไห่เชิดคอขึ้นและพูดว่า “ข้าแค่ติดค้างพริกหยกเพลิงเจ็ดสีเท่านั้น แต่เจ้ากลับยึดครองตำหนักของข้าแถมยังขโมยเตาของข้าไปอีกต่างหาก เจ้าไม่คิดว่าการกระทำของเจ้ามันเกินไปหน่อยหรือยังไง?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้คนอื่น ๆ ก็อึ้งไปตาม ๆ กัน
มู่หลงหยานรีบถามขึ้นทันที “นี่เจ้าเป็นเจ้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนงั้นเหรอ?”
เย่ชิงเฉิงก็ถามขึ้นเช่นกัน “พี่สาม นี่ท่านเป็นเจ้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน?”
เย่เจียงไห่เอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์หงุดหงิดว่า “อย่าเพิ่งมาเรียกข้าว่าพี่สาม! หากเจ้าต้องการให้ข้านับว่าเจ้าเป็นน้องจริง ๆ เจ้าก็จงบอกให้สามีของเจ้าคืนของของข้ามาซะ!”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ไอ้หนู เรามาคุยกันดี ๆ ก่อนดีกว่า”
“ข้าไม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับเจ้า! จงคืนตำหนักและเตาของข้ามาซะ!” เย่เจียงไห่พูดด้วยอารมณ์เดือดดาล
“เจ้าจะไม่คุยจริง ๆ งั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงมองไปที่เย่เจียงไห่ และถามขึ้นอีกรอบ
เย่เจียงไห่มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าบึ้งตึงอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็ตอบว่า “คุยก็คุย!”
เขาจะกล้าตอบได้ยังไงว่าไม่คุย? ถ้าเขาไม่คุยเขาก็คงไม่ได้ของของเขาคืนแน่นอน แต่ถ้าหากเขาคุยมันก็ยังคงพอมีโอกาสบ้าง
หลิงตู้ฉิงโบกมือและพูดกับคนอื่น ๆ ว่า “รอข้าตรงนี้ ข้าขอไปคุยกับเขาก่อน”
มู่หลงหยานและเย่ชิงเฉิงยิ้มอย่างมีเลศนัย ในที่สุดตอนนี้พวกนางก็เข้าใจในคำพูดที่หลิงตู้ฉิงเคยเอ่ยว่า ‘อย่าได้แปลกใจหากได้พบกับเจ้าของตำหนักตัวจริง’ เพราะที่แท้เจ้าตำหนักผู้นั้นมันก็คือ เย่เจียงไห่ ของพวกนางนี่เอง
แต่พวกนางก็ยังคงแปลกใจว่าทำไมเย่เจียงไห่ถึงกลายเป็นเจ้าตำหนักไปได้กัน?
พวกนางทั้งสองคนต่างก็มองไปที่หลิงตู้ฉิง และเย่เจียงไห่ที่กำลังคุยกันอยู่ด้านในกำแพงยับยั้งเสียง ซึ่งต่อให้พวกนางไม่ได้ยินอะไรพวกนางก็ยังคงเห็นภาพว่าทั้งสองกำลังทำอะไรกัน
พวกนางเห็นว่าในตอนนี้หลิงตู้ฉิงกำลังยื่นกิ่งไม้ให้กับเย่เจียงไห่ ซึ่งเย่เจียงไห่ก็เขวี้ยงมันกลับคืนไปให้หลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้าไม่พอใจ
มู่หลงหยานยิ้มอย่างขมขื่น นางอยากที่จะบอกกับลูกชายของนางว่ากิ่งไม้นั้นมันคือของดีและควรจะรีบรับมันเอาไว้!
แต่น่าเสียดายที่นางไม่อาจติดต่อกับเย่เจียงไห่ได้เลย
ถึงแม้ว่าในสายตาของทุกคน เย่เจียงไห่จะเป็นเจ้าตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน แต่ในสายตาของนาง เย่เจียงไห่ก็ยังคงเป็นลูกชายของนางอยู่
ส่วนคนอื่น ๆ ที่เห็นว่าเย่เจียงไห่เขวี้ยงกิ่งไม้คืนให้กับหลิงตู้ฉิง ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างพร้อมกับคิดในใจ ไอ้เจ้าโง่นี่…
ด้านในกำแพงยับยั้ง เย่เจียงไห่ตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “ข้าไม่ต้องการกิ่งไม้โง่ ๆ นี่ของเจ้า! จงรีบคืนตำหนักและเตาของข้ามาซะเดี๋ยวนี้!”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดว่า “เดี๋ยวเราค่อยพูดถึงตำหนักและเตาของเจ้าทีหลังก็ได้ กิ่งไม้นี้เป็นของผู้อื่นที่ต้องการมอบมันให้กับเจ้า”
“ข้าไม่สนใจ ข้าต้องการแค่ตำหนักและเตาของข้าคืน รีบคืนพวกมันมาให้ข้า!” เย่เจียงไห่ไม่สนใจประเด็นอื่นใด ๆ ทั้งสิ้น
เขาเพียงแค่คิดว่ากิ่งไม้บ้า ๆ นี่จะมาเทียบได้อะไรกับตำหนักและเตาของเขาได้กัน?
หลิงตู้ฉิงเลิกคิ้วขึ้นและถามย้ำว่า “ถ้างั้นเจ้าไม่ต้องการมันใช่ไหม?”
“นี่เจ้าฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องรึไง? ข้าต้องการตำหนักและเตาของข้าคืน!” เย่เจียงไห่ย้ำอีกครั้ง
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและเก็บกิ่งไม้ลงไปทันที โดยที่เสียดายแทนเย่เจียงไห่อยู่ในใจ ‘ไอ้เด็กคนนี้ช่างไม่มีโชคเอาซะเลย แต่มันก็ต้องขอบคุณในความงี่เง่าของเขาล่ะนะ’
เมื่อเก็บกิ่งไม้ลงไปแล้ว หลิงตู้ฉิงก็พูดกับเย่เจียงไห่ว่า “ถ้างั้นก็ได้ เอาล่ะต่อไปเรามาคุยเรื่องของตำหนักและเตาของเจ้ากัน อันดับแรกเจ้าติดค้างพริกหยกเพลิงเจ็ดสีกับข้าอยู่ เจ้ายังจำได้ใช่ไหม?”
“ข้าจำได้!” เย่เจียงไห่พยักหน้า “ในทุ่งสมุนไพรของข้ามีสมุนไพรอยู่มากมาย ข้าอนุญาตให้เจ้าไปหยิบเอาสมุนไพรอะไรออกไปก็ได้ส่วนหนึ่งรวมไปถึงบรรดาสิ่งของที่เจ้าได้ไปจากตำหนักของข้า ข้าจะไม่เอาพวกมันคืนจากเจ้าสักชิ้นเพื่อเป็นการชดเชย แต่เจ้าต้องคืนตำหนักและเตาของข้ามาด้วย!”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “ไอ้หนู ข้าไม่เคยมีความคิดที่จะชิงตำหนักและเตาของเจ้ามาก่อน เหตุผลที่ข้ายึดพวกมันเอาไว้ในตอนนี้เพราะข้ากังวลว่าเจ้าจะไม่ยอมตกลงกับข้าแต่โดยดีต่างหาก ตั้งแต่แรกที่ข้าเข้ามาในตำหนักของเจ้า ข้าก็ไม่ได้หยิบอะไรไปสักอย่าง และที่สำคัญบรรดาสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในทุ่งสมุนไพรมันก็ใช่ว่าจะเป็นของเจ้าซะที่ไหน รวมไปถึงดอกบัวนั่นก็อาศัยอยู่ที่ตำหนักของเจ้าเป็นการชั่วคราว แต่จะว่าไปแล้วเจ้ารู้เรื่องดอกบัวใช่ไหม?”
เย่เจียงไห่แสดงสีหน้าอึ้งอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็รีบถามขึ้นทันที “ดอกบัว? ดอกบัวอะไรอยู่ในตำหนักของข้า?”
“อ่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถอะ ดอกบัวนั่นไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า” หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ต่อไป ให้ข้าบอกเจ้าก่อนว่าเจ้าติดค้างอะไรข้าอยู่บ้าง”
“ไม่ใช่ว่าข้าติดค้างเจ้าเพียงอย่างเดียวไม่ใช่รึไง?” เย่เจียงไห่ถามขึ้น
“เจ้าคิดว่าเจ้าติดค้างข้าแค่พริกหยกเพลิงเจ็ดสีงั้นเหรอ? งั้นให้ข้าทวนตั้งแต่แรกเริ่มเลยก็แล้วกัน!” หลิงตู้ฉิงเย้ยหยัน “เหตุผลที่ข้าต้องการพริกหยกเพลิงเจ็ดสีก็เพราะข้าจะใช้มันล่อสิ่งที่อยู่ในเขตแดนหมอก ซึ่งตอนนี้ความทรงจำของเจ้าก็น่าจะกลับมาแล้วเจ้าน่าจะรู้ใช่ไหมว่ามันคืออะไร?”
เย่เจียงไห่แสดงสีหน้างุนงง “ไม่ใช่ว่ามันคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์งั้นเหรอ? ไม่ใช่สิมันจะต้องไม่ใช่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์แน่แล้ว มันจะต้องเป็นอาวุธเต๋า! ใช่แล้วเขตแดนหมอกนั่นคือเขตแดนที่ถูกสร้างขึ้นโดยอาวุธเต๋า!”
ในระหว่างที่เย่เจียงไห่ทบทวนความทรงจำ สีหน้าของเขาก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ
“ที่แท้มันก็เป็นอาวุธเต๋านี่เองที่อยู่ด้านหลังสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ นี่มันไม่น่าเชื่อจริง ๆ! คอยดูเถอะหากข้าพร้อมเมื่อไหร่ ข้าจะไปเอามันมาเป็นของข้าให้ได้!” เย่เจียงไห่พูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น
หลิงตู้ฉิงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “ต่อให้เจ้าจะกลับไปมีความแข็งแกร่งเหมือนตอนชีวิตก่อนหน้านี้ของเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถเอามันไปได้หรอก! อาวุธเต๋างั้นเหรอ? มันไม่ใช่อาวุธเต๋าปกติทั่วไปมาตั้งนานแล้ว ให้ข้าเตือนเจ้าไว้สักอย่าง เจ้าอย่าได้ไปแตะต้องมันเป็นอันขาด หากเจ้าแตะต้องมันเมื่อไหร่เจ้าได้ตายแน่นอน!”
“ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก!” เย่เจียงไห่ตะคอกกลับ
“งั้นก็ตามใจเจ้าว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อข้า ข้าแค่เตือนเจ้าด้วยความหวังดี แต่ถ้าเจ้าตาย เจ้าก็จงโทษความโง่เง่าของตัวเจ้าเองแล้วกัน” หลิงตู้ฉิงตอบกลับ “ส่วนเรื่องพริกหยกเพลิงเจ็ดสี มันเป็นเพราะเจ้าที่ไม่ยอมเอาพริกหยกเจ็ดสีมาให้กับข้า ข้าจึงไม่สามารถล่อมันออกมากับข้าได้ ดังนั้นตอนนี้เจ้ารู้แล้วรึยังว่าที่เจ้าติดค้างข้ามันไม่ได้มีแค่เรื่องพริกหยกเพลิงเจ็ดสี เพียงอย่างเดียวเท่านั้น!”