พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 594 ปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
เย่เจียงไห่ตระหนักดีว่ากุญแจตำหนักนั้นมีความสำคัญต่อเขามาก เนื่องจากหากไม่มีมัน เขาจะต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการเปิดคลังสมบัติของตัวเอง ซึ่งหนึ่งในนั้นอยู่ในมือของหลิงตู้ฉิงแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องทวงคืนอีก 2 ดอกด้วยตัวเอง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรพบุรุษของทั้งสำนักเบญจธาตุและสำนักสวรรค์สัประยุทธ์ต่างก็ลุกขึ้นพร้อมกับถือกุญแจไว้ในมือด้วยสีหน้าซับซ้อน
“บอกเงื่อนไขของพวกเจ้ามา!” เย่เจียงไห่ถามขึ้น
บรรพบุรุษของสำนักเบญจธาตุเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ข้าต้องการนำตัวคนของสำนักข้าทั้งหมดพร้อมกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์คืน”
เย่เจียงไห่มองไปที่บรรพบุรุษของสำนักเบญจธาตุ จากนั้นเขาโยนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเบญจธาตุที่อยู่ในมือให้ไปและพูดว่า “ข้าอนุญาตให้เจ้านำคนของเจ้ากลับไปได้และเจ้ายังสามารถนำสิ่งของที่พวกเจ้าหาได้ 1 ใน 10 ส่วนติดตัวกลับกลับไปได้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากข้าถือว่ามันเป็นวาสนาของพวกเจ้าที่สามารถพบตำหนักของข้าได้ ส่วนพวกเจ้าสำนักสวรรค์สัประยุทธ์ หากพวกเจ้าไม่มีเงื่อนไขอื่นในใจ พวกเจ้าสามารถยื่นเงื่อนไขแบบเดียวกับสำนักเบญจธาตุได้”
บรรพบุรุษของสำนักสวรรค์สัประยุทธ์ ตอบกลับทันที “พวกเราไม่มีเงื่อนไขอื่น”
การที่พวกเขาได้รับสิ่งของ 1 ใน 10 จากที่หาได้ในตำหนักแห่งนี้มันถือว่ามากโขแล้ว เนื่องจากเหล่าโอสถที่มีอายุนับล้านปีที่พวกเขาได้มานั้น ในยุคนี้มูลค่าของพวกมันแทบจะประเมินไม่ได้
เมื่อตกลงกันได้เสร็จ เหล่าผู้คนของทั้งสำนักเบญจธาตุและสำนักสวรรค์สัประยุทธ์ต่างก็คืนของ 9 ส่วนที่พวกเขาได้มาให้กับเย่เจียงไห่
เย่เจียงไห่เอ่ยขึ้นว่า “เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าไปได้แล้ว ส่วนเรื่องที่พวกเราจะเป็นมิตรหรือศัตรูนั้นในอนาคตค่อยว่ากันอีกที!”
เมื่อพูดจบ เขาก็โบกมือไล่ทั้งสองสำนักให้ออกไป
“นอกเหนือจากคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนจงเก็บสิ่งที่ของที่หามาได้ไว้กับตัวเอง 1 ใน 10 ส่วนและที่เหลือก็จงคืนให้ข้า จงอย่าลืมว่าถ้าใครกล้าเล่นตลกกับข้า บทลงโทษมีเพียงอย่างเดียวคือ ตาย!” เย่เจียงไห่พูดกับบรรดาคนที่ยังเหลืออยู่
จากนั้นบรรดาผู้คนทั้งหลายต่างก็พากันโยนเหล่าสิ่งของที่ตัวเองเก็บมาได้ไว้ข้างหน้าของตนเอง ซึ่งเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็ไล่เก็บและเคลื่อนย้ายพวกมันกลับไปไว้ที่เดิม
แต่แล้วเมื่อเห็นว่าไม่มีใครโยนสิ่งของใด ๆ ออกมาอีก เย่เจียงไห่ก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าอุตส่าห์ให้โอกาสพวกเจ้าแล้ว แต่พวกเจ้ากลับไม่รักษาเอาไว้ให้ดีถ้าอย่างนั้นก็จงตายไปซะ!”
เมื่อพูดจบในบรรดากลุ่มคนที่ยังเหลืออยู่กว่าแสนคนก็มีผู้คนราว 7,000-8,000 คนที่จู่ ๆ ก็ถูกเปลวเพลิงลุกท่วมร่างจนกลายเป็นเถ้าถ่าน และจากนั้นเย่เจียงไห่ก็ส่งคนเหล่านั้นให้ออกไปจากตำหนักของเขาทันทีเหลือไว้แค่เพียงคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์
ในตอนนี้บรรดาผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ที่เห็นว่า เย่เจียงไห่ยังไม่ไล่ให้พวกเขากลับออกไป พวกเขาจึงดีใจและเข้าใจกันไปว่าเย่เจียงไห่จะต้องเห็นแก่ความสัมพันธ์ของพวกเขาและปฏิบัติต่อพวกเขาดีกว่าคนอื่น ๆ ที่ผ่านมาแน่นอน
ซึ่งในความเป็นจริงความฝันของพวกเขากลับพังทลายลงทันทีด้วยคำพูดต่อไปนี้ของเย่เจียงไห่ที่เอ่ยว่า “นอกจากพ่อแม่ของข้า เย่หลิงหลิง เย่เสี่ยวหัว หานจุนและหานเมิ่ง พวกเจ้าทุกคนต้องคืนสิ่งของที่พวกเจ้าเก็บไปมาให้ข้า 9 ส่วน ซึ่งส่วนที่เหลือข้าอนุญาตให้พวกเจ้าเก็บเอาไว้ได้!”
เมื่อผู้คนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ได้ยินเช่นนี้ พวกเขาก็ตกตะลึงพลางคิดในใจ การปฏิบัติเช่นนี้มันไม่ต่างอะไรกับคนอื่น ๆ เลยนี่นา?
ชายชราผู้หนึ่งรีบพูดขึ้นทันทีโดยหวังว่าความใกล้ชิดที่ผ่านมาจะช่วยได้ “เจียงไห่ ข้าคือลุงสามของเจ้า…”
“เจียงไห่ ข้าเห็นเจ้ามาตั้งแต่เล็กจนโต แถมข้ายังเคยให้โอสถประสานดารากับเจ้า เพื่อช่วยเจ้าให้ทะลวงขอบเขตไปยังรวมแสงดาราอีกต่างหาก!”
ในตอนนี้เหล่าคำพูดหยิบยกเรื่องราวเก่าก่อนต่างดังขึ้นเรื่อย ๆ
“หุบปากให้หมด!” เย่เจียงไห่ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ที่ข้าให้พวกเจ้า 1 ส่วนนั้นก็ถือว่าข้าไว้หน้าพวกเจ้ามากแล้ว หากพวกเจ้ายังดึงดันกันอีกล่ะก็อย่าหาว่าข้าโหดร้าย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่กำลังส่งเสียงต่างรีบหยุดและรีบหยิบสิ่งของอีก 9 ส่วนที่พวกเขาได้ไปออกมาทันที
จากนั้นพวกเขาก็ถูกโยนออกไปจากตำหนักโดยเย่เจียงไห่
ส่วนบรรดาผู้คนที่ถูกขานชื่อ เย่เจียงไห่ยิ้มให้กับพวกเขาและพูดว่า “เนื่องจากข้ากับพวกเจ้ารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กและมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกันมาโดยตลอด ดังนั้นในเมื่อตอนนี้ข้าขอตอบแทนน้ำใจของพวกเจ้าโดยการมอบสิ่งที่พวกเจ้าได้มาทั้งหมดให้กับพวกเจ้าเป็นของขวัญ! หากในอนาคตมีโอกาส พวกเจ้าก็สามารถมาหาข้าที่นี่เพื่อเยี่ยมเยียนข้าได้”
“ขอบคุณมาก พี่เจียงไห่!” เหล่าคนสนิทของเย่เจียงไห่ต่างเอ่ยขอบคุณกันเป็นพัลวัน เนื่องจากพวกเขาดีใจกันมาก แตกต่างจากหลิงตู้ฉิงที่ดูอยู่ข้าง ๆ พลางส่ายหัว
เนื่องจากเวรกรรมที่มีต่อกันได้ถูกชดเชยไปจนหมด มันคงเป็นการยากที่พวกเขาจะได้พบกันอีกหรือหากพวกเขาเจอกันอีกครั้ง พวกเขาก็คงไม่มีอะไรเกี่ยวดองกันอีกแล้ว
ซึ่งต่อให้คนเหล่านี้จะได้รับสมบัติไปมากมายจนไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะใช้หมดรึเปล่ามันก็คงไม่คุ้มอยู่ดี สมบัติอะไรจะคุ้มไปกว่าการได้มีความสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นเจ้าของตำหนักศักดิ์สิทธิ์?
เย่เจียงไห่พยักหน้าและพูดว่า “พวกเจ้าเองก็ควรกลับไปได้แล้ว!”
เมื่อพูดจบ เย่เจียงไห่ก็โบกมือส่งตัวพวกเขาออกไปจากตำหนัก จากนั้นเขาก็เดินมายืนตรงหน้าเย่ชางคงและมู่หลงหยาน และพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าขอขอบคุณพวกท่านทั้งคู่มากที่เลี้ยงดูข้ามาเป็นอย่างดี แต่ในเมื่อตอนนี้ข้าได้รับความทรงจำของข้ากลับคืนมาแล้ว ข้าคงไม่สามารถกลับไปกับพวกท่านได้ ข้าจำเป็นที่จะต้องอยู่ดูแลที่นี่”
“ท่านพ่อ ท่านคงยังไม่มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองเอาไว้ใช้ใช่ไหม? ข้ามีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่งที่เหมาะกับท่านมาก ๆ ข้าขอมอบมันให้กับท่านในตอนนี้เลยก็แล้วกัน และนี่คือโอสถกำเนิดเต๋า ในอนาคตมันจะทำให้ท่านสร้างวิถีแห่งเต๋าของตัวเองได้ง่ายขึ้น”
“อ๋อ ในชีวิตที่แล้วข้าได้บังเอิญเจอกับคัมภีร์เกี่ยวกับอักขระเล่มหนึ่งชื่อว่า คัมภีร์อักขระสวรรค์ ข้าขอมอบให้ท่านด้วยเช่นกันและสุดท้ายข้าขอมอบผลึกศักดิ์สิทธิ์ให้กับท่านเพื่อให้ท่านศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับมัน”
เย่เจียงไห่มอบสมบัติให้กับเย่ชางคงอย่างบ้าคลั่ง อันที่จริงสิ่งที่เขากลัวมากที่สุดก็คือ เย่ชางคงจะไม่ยอมรับสิ่งของเหล่านี้ที่เขามอบให้
แต่ก็เป็นไปตามคาด เย่ชางคงรับสมบัติเหล่านี้ไว้ทั้งหมดด้วยสีหน้าเบิกบานสุดขีด
อันที่จริงสิ่งที่เย่เจียงไห่กลัวอีกอย่างก็คือ เขากลัวว่าหลิงตู้ฉิงจะพูดบางสิ่งขึ้นเพื่อขัดขวางแผนการของเขา แต่ในท้ายที่สุดเขาก็วางใจได้ไปเปราะหนึ่งเพราะว่า หลิงตู้ฉิงเองก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เย่ชางคงยิ้มและพูดว่า “อันที่จริง พ่อเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าและพี่น้องของเจ้าสักเท่าไหร่ที่ผ่านมา ซึ่งมันทำให้พ่อรู้สึกละอายใจจริง ๆ แถมในทางกลับกัน กลับเป็นพวกเจ้าที่ช่วยพ่อออกมาจากเขตแดนหมอกนั่น แต่ในเมื่อตอนนี้ความทรงจำของชีวิตที่แล้วของเจ้าได้กลับมาแล้ว เจ้าก็จงเดินตามเส้นทางของตัวเองต่อไปเถอะ ไม่แน่ในอนาคตพ่ออาจจะต้องมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าก็ได้”
เย่เจียงไห่ยิ้มและตอบกลับว่า “ท่านพ่ออย่าได้คิดเช่นนั้นเลย ในฐานะที่ข้าเป็นลูกของท่าน มันจึงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ข้าต้องตอบแทนพระคุณท่านเช่นนี้ เอาเป็นว่าในอนาคตหากข้าจัดการเรื่องต่าง ๆ ในตำหนักของเสร็จเมื่อไหร่ ข้าจะไปเยี่ยมท่านที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็แล้วกัน”
เย่ชางคงพยักหน้า “เอาแบบนั้นก็ได้!”
เขารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่มีลูกชายที่โดดเด่นเช่นนี้
เมื่อเห็นว่าเย่ชางคงรับสมบัติของตัวเองไปแล้ว เย่เจียงไห่ก็หันหน้ามาที่มู่หลงหยานและพูดว่า “ท่านแม่ ข้าเองก็มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ให้กับท่าน…”
มู่หลงหยาน รีบโบกมือขึ้นปฏิเสธทันที “ไห่เอ๋อ เจ้าไม่จำเป็นต้องมอบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ให้แม่ แม่เองก็มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองแล้วเช่นกัน ดูสิ!”
เมื่อพูดจบ มู่หลงหยานก็หยิบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่นางได้มาจากต้นเทวะศาสตราให้กับเย่เจียงไห่ดู
เมื่อเห็นว่าอาวุธชิ้นนี้ไม่ใช่หนึ่งในอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นของตำหนักเขา เย่เจียงไห่ก็เริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี แต่เขายังคงปั้นหน้ายิ้มและพูดว่า “ท่านแม่ ถ้าอย่างนั้นท่านเลือกโอสถของข้าไปสักหน่อยไหม? หรือว่าท่านจะเอาสมุนไพรไปดี?”
มู่หลงหยานยิ้มและตอบกลับว่า “ในตอนที่แม่ติดตามน้องเขยของเจ้า แม่เองก็ได้โอสถมาบ้างแล้ว ซึ่งมันเพียงพอให้แม่ใช้ไปได้อีกนานเลยล่ะ”
เย่เจียงไห่จ้องเขม็งไปที่หลิงตู้ฉิงทันที ในตอนนี้ไม่เพียงแต่เขาจะยังไม่สามารถชดใช้หนี้ติดค้างให้หลิงตู้ฉิงได้ แต่เขายิ่งกลับเป็นหนี้บุญคุณมากขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก
“ถ้าอย่างนั้นท่านแม่ยังขาดเหลืออะไรอีกรึเปล่า? ข้ามีของมากมายอยู่ที่นี่เลยเชียวล่ะ ท่านสามารถหยิบพวกมันไปได้ทุกอย่างตามท่านที่ต้องการเลย!” เย่เจียงไห่เสนอขึ้นอีกครั้ง
มู่หลงหยานถอนหายใจ “เฮ้อ ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีสมบัติมากมาย แต่เจ้าจงอย่าลืมสิว่าเจ้าเองก็มีคนมากมายให้ต้องดูแล หากแม่ยังเอาของของเจ้ามาอีก แม่คงรู้สึกไม่ดีแน่นอน”
โธ่เอ้ย หยุดสักที!
ในตอนนี้เย่เจียงไห่กำลังจะร้องอยู่รอมร่อ!