พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 597 มื้ออาหารหรูหรา
บรรดาผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนเมื่อได้เห็นภาพนี้ต่างก็ล้มเลิกความคิดอกุศลของตัวเองและพากันหนีไปคนละทิศคนละทาง
ต้องรู้ไว้ว่าอสูรทั้งสามตนนั้นเป็นอสูรระดับสูงแถมยังมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์คุ้มกาย แต่ก็ยังถูกจัดการได้ง่าย ๆ
ดังนั้นมันจะมีประโยชน์อะไรที่พวกเขายังรั้งอยู่ต่อถึงแม้จะมีจำนวนมากก็ตาม
ด้านในของตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนในตอนนี้ เย่เจียงไห่มองไปที่หลิงตู้ฉิงด้วยสายตาริษยาและความเสียดายจนสุดแสนจะบรรยาย
เนื่องจากในตอนแรกกิ่งไม้นี้มันเป็นของเขา แต่เขากลับขว้างทิ้งมันไปเอง!
“มันจบง่าย ๆ แบบนี้เนี่ยนะ?” มู่หลงหยานอึ้งจนทำตัวไม่ถูก
เย่เจียงไห่พูดขึ้นด้วยด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ใบไม้ที่ติดอยู่บนกิ่งไม้นั่นมันคือโลกจำลองแถมยังมีอำนาจในการกักขังที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก! ไม่ต้องพูดถึงไอ้อสูร 3 ตัวนั้นที่อยู่แค่ขอบเขตมหาจักรพรรดิหรอก ต่อให้พวกมันอยู่เหนือกว่าขอบเขตมหาจักรพรรดิพวกมันก็ไม่อาจต้านทานอะไรได้ เนื่องจากกิ่งไม้นี้ไม่ใช่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่มันคือสิ่งที่เหนือกว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นไปอีก”
หลิงตู้ฉิงพูดเสริมขึ้น “ถึงแม้ว่ามันจะทรงพลัง แต่มันก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถใช้งานมันได้ เอาล่ะจงเตรียมตัวจับพวกมันทีละตัว ข้าอยากกินเนื้อของมันแล้วตอนนี้”
“นี่เราจะกินอสูรพวกนั้นจริง ๆ งั้นเหรอ?” เสี่ยหนานเทียนกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าประหม่า “นี่มันจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่เลยเชียวนะ!”
ตัวตนของอสูรระดับสูงพวกนี้มันไม่ธรรมดา หากพวกเขากินพวกมันเข้าไปอสูรที่แข็งแกร่งกว่านี้จะต้องไม่ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปแน่ ๆ
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หากเจ้ากลัวมากนักก็ไม่ต้องกิน แต่อันที่จริงข้าเองก็ไม่ได้คิดจะฆ่าพวกมันหรอก ข้าแค่จะแบ่งร่างของพวกมันออกมาบางส่วนเอาไว้กิน ส่วนจะฆ่ามันหรือไม่นั่นข้าแล้วแต่พวกเจ้าจะจัดการ”
ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ยังคงไม่อาจฆ่าอสูรระดับสูงเหล่านี้ได้ ไม่เช่นนั้นเขาเองก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่น่าปวดหัวตามมา
เย่เจียงไห่หัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องฆ่าพวกมันก็แล้วกัน แค่เอาบางส่วนของร่างพวกมันมากินเพื่อเป็นการลงโทษก็พอ จากนั้นก็ค่อยปล่อยพวกมันไป ด้วยวิธีการนี้พวกเราจะได้ไม่ต้องกลายเป็นศัตรูถาวรกับเผ่าอสูรพวกนี้ด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เสี่ยหนานเทียนก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “ถ้างั้นข้าจะปกปิดใบหน้าของตัวเองก็แล้วกัน แค่นี้พวกมันก็ไม่รู้แล้วว่าข้าเป็นใคร ว่าแต่พวกท่านจะไม่บอกกับคนอื่น ๆ ใช่ไหมว่าข้าได้กินพวกมันด้วย?”
“งั้นข้าเองก็จะปกปิดใบหน้าด้วยเหมือนกันป้องกันปัญหาที่จะตามมา!” เย่ชิงเฉิงหัวเราะ
จากนั้นทุก ๆ คน ยกเว้นหลิงตู้ฉิงและเย่เจียงไห่ก็พากันปกปิดใบหน้าของตัวเอง เนื่องจากทุกคนต่างก็อยากลิ้มลองรสชาติของอสูรระดับสูงสักครั้ง
เมื่อทุกคนเตรียมพร้อมกันหมดแล้ว หลิงตู้ฉิงก็เรียกกิ่งไม้ออกมาอีกรอบ จากนั้นเขาก็พูดกับเย่เจียงไห่ว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการฆ่าพวกมัน งั้นก็ทำตามที่ข้าบอกก็แล้วกัน ตัดบางส่วนของร่างพวกมันออกมา จากนั้นก็โยนพวกมันออกไปจากตำหนักของเจ้าทีละตัว จงเตรียมพร้อม ข้าปล่อยพวกมันทีละตัวล่ะนะ!”
เย่เจียงไห่รีบพูดขึ้นแทรกทันที “น้องเขยเดี๋ยวก่อน! ข้าคิดว่าเรามาเริ่มจากช้างที่อยู่ในคุกก่อนจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นอำนาจของเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์คงไม่พอที่จะสยบอีก 3 ตัวที่อยู่ในใบไม้ของเจ้า”
“ช้างนั่นข้าต้องการสี่ข้าของมันและส่วนเนื้อสันใน” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น
เย่เจียงไห่พยักหน้า จากนั้นเขาก็โบกมือให้เตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์นำตัวช้างร่างยักษ์มา จากนั้นเขาก็เริ่มลงมือตัดขาทั้งสี่ข้างของมันออกพร้อมกับเนื้อส่วนสันในชิ้นยักษ์ ซึ่งช้างอสูรก็ถึงกับแสดงอาการน้ำตาซึมด้วยความเจ็บปวด แต่มันก็ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ เนื่องจากมันถูกอำนาจของเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์บวกกับอำนาจของทั้งตำหนักตรึงร่างมันเอาไว้
เย่เจียงไห่เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “เนื่องจากเจ้าโจมตีตำหนักของข้า ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยสี่ขาและเนื้อของเจ้า เอาล่ะตอนนี้ไสหัวไปได้แล้ว อย่าให้ข้าได้เจอหน้าเจ้าอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะถลกหนังเจ้าออกทั้งเป็น!”
เมื่อพูดจบ เย่เจียงไห่ก็โยนมันออกไปจากตำหนักพร้อมกับขวานศักดิ์สิทธิ์ทันที
อันที่จริงเขาเองก็อยากเก็บขวานศักดิ์สิทธิ์เอาไว้เช่นกัน ถึงแม้เขาจะไม่มีความคิดที่จะใช้มันเอง แต่เขาก็อยากเก็บเอาไว้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเอาไว้ใช้ แต่มันติดอยู่ตรงที่เขาเองก็เพิ่งจะได้รับความทรงจำกลับ เขาจึงยังไม่พร้อมที่จะมีปัญหากับเหล่าอสูรมากไปกว่าเดิมในเวลานี้
ทางด้านของช้างอสูรที่ถูกโยนออกไปจากตำหนักนั้น เมื่อร่างมันกระแทกถึงพื้น มันก็แสดงสีหน้าเจ็บปวดอย่างสุดแสน
แต่ไม่ว่าจะยังไงมันก็เป็นถึงอสูรระดับสูงที่อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิ ดังนั้นมันจึงรีบดูดพลังวิญญาณที่อยู่รอบ ๆ มาสร้างขาทั้งสี่ที่มันเสียไปให้งอกขึ้นมาใหม่ทันที
แต่ถึงแม้ว่าขาของมันจะงอกกลับมาใหม่ทั้งหมดแล้ว แต่ขาที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นมันจะไปแข็งแกร่งเท่ากับของเดิมได้ยังไง? การที่จะทำให้ขาที่งอกขึ้นมาใหม่แข็งแกร่งเท่ากับของเดิมมันคงต้องใช้เวลานับหมื่นปีในการฝึกฝน
เมื่อสร้างขาจนเสร็จมันก็มองไปที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนด้วยสายตาแค้นเคือง แต่ถึงแม้ว่ามันจะแค้นแต่มันก็ยังไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามทำอะไร
ขนาดตอนที่มันอยู่ในสภาพสมบูรณ์และมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือมันยังสู้ไม่ได้ นับประสาอะไรกับตอนนี้มันจะไปสู้ไหวได้ยังไง
แต่แน่นอนว่ามันยังมีเรื่องที่ทำให้มันโล่งใจได้ขึ้นบ้างนั่นก็คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ของมันยังคงอยู่
แต่มันจะจากไปง่าย ๆ แบบนี้ดีไหม?
ก่อนที่มันจะทันได้คิดว่าจะเอายังไงต่อ หมียักษ์ก็ถูกโยนตามออกมาเช่นกัน
ช้างอสูรจ้องไปยังหมีที่นอนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด และถามขึ้นด้วยสีหน้าตะลึงงัน “พี่ซ่ง ทำไมท่าน…”
เมื่อเห็นเท้าหน้าทั้งสองของหมียักษ์หายไป ช้างอสูรก็เดาได้ทันทีว่ามันไปไหน มันคงถูกตัดออกไปเหมือนกับขาทั้งสี่ของเขา!
หลังจากที่หมียักษ์สร้างเท้าหน้าของมันจนเสร็จ มันก็ยิ้มด้วยสีหน้าขมขื่นและพูดว่า “พวกข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเจ้าแต่…”
หลังจากนั้นไม่นาน แร้งทองที่ไร้ปีกทั้งสองแถมขาของมันยังหายไปอีกข้างหนึ่งก็ถูกโยนตามออกมา และตามมาด้วยงูที่โดนตัดหางไปก็ถูกโยนตามออกมาเช่นกัน
เสียงของเย่เจียงไห่ดังตามออกมาหลังจากที่ร่างงูกระทบถึงพื้น “รอบหน้าถ้าพวกเจ้ายังกล้าบุกมาที่ตำหนักของข้าอีก ข้าจะถลกหนังพวกเจ้าทั้งเป็น รอบนี้ข้าถือว่าข้าไว้หน้าบรรพบุรุษของพวกเจ้า ข้าจึงสั่งสอนพวกเจ้าแค่นี้พอ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อสูรทั้งสี่ต่างก็มองไปที่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียนด้วยสายตาหดหู่จากนั้นพวกมันก็รีบบินจากไปทันที
ชีวิตของพวกมันยังไม่ถูกพราก อาวุธของพวกมันก็ยังคงอยู่ มันก็แค่อวัยวะบางส่วนเท่านั้นที่เสียไป ซึ่งมันก็แค่ต้องเสียเวลาสักหน่อยในการฟื้นฟู ผลลัพธ์เช่นนี้ถือว่าดีแล้วสำหรับพวกมัน
หากพวกมันยังคงรั้งอยู่และพูดจาอะไรไร้สาระเถียงไปอีก พวกมันอาจจะไม่โชคดีแบบนี้อีกแล้ว
อันที่จริงพวกมันไม่ควรจะเจอหน้าไอ้แก่ล้านปีผู้นี้อีกเลย!
ด้านในตำหนักศักดิ์สิทธิ์หลีเทียน เย่เจียงไห่ส่ายหัวด้วยความเสียดายซ้ำแล้วซ้ำเล่า “อาวุธศักดิ์สิทธิ์ 4 ชิ้น น่าเสียดายจริง ๆ! ถ้าให้เวลาข้าอีกสัก 200 ปี ข้าจะไม่กลัวพวกมันเลยแม้แต่น้อย ว่าแต่น้องเขย เนื้อพวกนี้ที่เราได้มา เจ้าจะปรุงมันยังไงต่อ?”
ขาช้าง 4 ขาและเนื้อสันใน อุ้งตีนหมี 2 ข้าง ปีกแร้ง 2 ปีกกับขาอีก 1 และสุดท้ายหางงูอีกชิ้นโต รวมทั้งหมดแล้วน้ำหนักของมันรวมกันนับได้เป็นหลายแสนชั่ง
หลิงตู้ฉิงเก็บเนื้อพวกนี้ไว้ทั้งหมด จากนั้นเขาตอบกลับว่า “ในตอนนี้ข้าจะย่างแค่เนื้อสันในช้างก็พอ ด้วยจำนวนคนของพวกเราที่มีแค่นี้ แค่เนื้อสันในมันก็เพียงพอแล้ว เอาล่ะ จงเอาเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าออกมา ข้าจะใช้เพลิงของมันย่างเนื้อ”
เย่เจียงไห่กรอกตาและพูดขึ้นทันที “นี่มันเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์นะ ไม่ใช่เตาย่างเนื้อ!”
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะพูดแบบนั้น เย่เจียงไห่ก็ยังคงเรียกเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมาตั้งไว้อยู่ดี
จากนั้นหลิงตู้ฉิงก็ใช้เวลาย่างเนื้อกว่าครึ่งเดือน เนื้อสันในถึงจะสุกพร้อมรับประทาน
ซึ่งเมื่อทุกคนได้กินมัน ทุกคนต่างก็มองไปยังหลิงตู้ฉิง และชื่นชมในฝีมือการปรุงของเขากันยกใหญ่
ส่วนทางด้านของเย่เจียงไห่ ในระหว่างที่เขากิน เขาก็พูดว่า “น้องเขย แล้วหยูชี่หลงนั่นเจ้าจะเอายังไง?”
หลิงตู้ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าคิดว่าข้าคงปล่อยเขาให้อยู่ที่นี่เพื่อเป็นทาสรับใช้ของเจ้า แต่ถ้าหากเจ้าไม่ต้องการ ข้าจะนำเขากลับไปกับข้าก็ได้”
เย่เจียงไห่ยิ้มและตอบทันที “ถ้างั้นข้าจะเก็บเขาไว้ ข้าขอบคุณเจ้ามาก!”
หลิงตู้ฉิงมองไปที่เย่เจียงไห่ และพูดขึ้นต่อ “รีบกินเถอะ กินเสร็จเมื่อไหร่เจ้าก็จงไปเปิดคลังสมบัติของเจ้าซะที ข้าอยากได้ส่วนแบ่งของข้าเร็ว ๆ แล้ว!”