พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 60 หลานเขย[รีไรท์]
บทที่ 60 หลานเขย[รีไรท์]
การมาเยือนของเสี่ยวเย่วเฟิงแทบไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรกับคนในเรือนหลิงเลย
ยกเว้นก็แต่ซ่งเหวินเถาที่เคยเป็นอดีตสมาชิกของกลุ่มเสื้อคลุมโลหิต แม้เสี่ยวเย่วเฟิงจะกลับไปแล้ว แต่ซ่งเหวินเถายังมีอาการหวาดผวาอยู่
หลังจากซ่งเหวินเถาเห็นเสี่ยวเย่วเฟิงบินจากไป เขาพูดกับตัวเองอย่างงุนงง “นี่นางจากไปง่าย ๆ แบบนี้เนี่ยนะ ไม่สิ ไม่ได้เรียกว่าจากไป แต่ดูจากท่าทางแล้วเหมือนหนีไปมากกว่า”
“เอ๊ะ หรือว่าที่นางหนีไป อาจเป็นกลลวงของนางที่วางไว้ให้หลิงตู้ฉิงติดกับก็ได้”
“มันจะต้องเป็นกลลวงแน่ ๆ นางเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดารา นางจะกลัวหลิงตู้ฉิงได้อย่างไร?”
ซ่งเหวินเถาคิดเองเออเองคนเดียวจนปักใจเชื่อว่า การกระทำที่เสี่ยวเย่วเฟิงแสดงออกมามันคือการแสร้งทำเพื่อให้หลิงตู้ฉิงหลงกล แต่เขาหารู้ไม่เหตุผลที่เสี่ยวเย่วเฟิงหนีไปจริง ๆ แล้วก็คือกลัวหลิงตู้ฉิงนั่นแหละ!
อันที่จริงทุกคนในตระกูลหลิงก็รู้สึกสงสัยเหมือนกันว่าหลิงตู้ฉิงตกลงอะไรกับประมุขกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตจนหญิงสาวผู้นั้นยอมถอยกลับไปโดยไม่มีเรื่องมีราว พวกเขาไม่เห็นเหตุการณ์ที่ด้านนอกเรือน เนื่องจากหลิงตู้ฉิงสั่งให้พวกเขาห้ามออกมา
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ระหว่าหลิงตู้ฉิงและเสี่ยวเย่วเฟิงเลยแม้แต่คนเดียว
แถว ๆ ระแวกเรือนตระกูลหลิงในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ มักมีบุคคลมากหน้าหลายตาแวะเวียนกันมาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ มองไปยังเรือนหลิงอยู่บ่อย ๆ และบุคคลที่ถูกสับเปลี่ยนมาในวันนี้คือ อี้ฟาน
อี้ฟาน ผู้นี้คือผู้เชี่ยวชาญที่ถูกส่งมาสังเกตการณ์ที่เรือนหลิงโดยคำสั่งของหยิงหวูเจี้ยงหรือเจ้าเมือง
เขาได้รับคำสั่งมาให้สังเกตการกระทำทุกอย่างของหลิงตู้ฉิง
แต่น่าเสียดาย ตั้งแต่ที่อี้ฟานได้รับคำสั่งมาเฝ้าจับตาดูเรือนหลิง เขาก็ยังไม่เคยเห็นหลิงตู้ฉิงโผล่ออกมาจากเรือนเลยสักครั้ง มีเพียงพ่อบ้านของเรือนหลิง โม่หยูถัง ผู้คุ้มกันและบ่าวรับใช้หน้าเดิม ๆ 6 คนที่เข้าออกเรือนหลิง ส่วนบรรดาลูกของหลิงตู้ฉิงนี่ยิ่งแล้วใหญ่ เขาไม่เคยเห็นหน้าเด็ก ๆ เหล่านั้นเลยสักคน
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้เขาจึงไม่มีข่าวอะไรกับไปรายงานเจ้านายของเขาเลย
ระหว่างที่เขากำลังนอนหาวด้วยความเบื่อใต้พุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากหน้าเรือนหลิงประมาณ 100 เมตร
จู่ ๆ เขาก็เห็นร่างของหญิงสาวใส่ชุดเสื้อคลุมสีแดงโลหิตปรากฎขึ้นบนท้องฟ้าแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
เมื่อเห็นภาพเช่นนั้น เขาก็อุทานขึ้นมาเบา ๆ ด้วยความตกใจ “เวรแล้วไง ผู้เชี่ยวชาญขอบรวมแสงดารา เผ่นก่อน!”
อี้ฟานไม่ทราบว่าคนที่อยู่บนฟ้าคือประมุขแห่งกลุ่มเสื้อคลุมโลหิต แต่สิ่งหนึ่งที่เขาแน่ใจก็คือหญิงสาวคนนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตและหญิงสาวคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดารา เห็นเช่นนั้นเขาก็ถอยห่างออกไปอีก 100 เมตรทันที
อี้ฟานกลัวว่าถ้าเขาอยู่ใกล้เกินเขาอาจถูกตรวจพบ สัมผัสการตรวจจับของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราไม่ใช่อะไรที่เขาจะประมาทได้ หากเขาถูกตรวจพบเข้าล่ะก็ เขาไม่รอดออกจากที่นี่แน่นอน แม้แต่ท่านเจ้าเมืองก็ยังยากที่จะช่วยเขาได้
สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้มีเพียงแค่แอบซุ่มดูจากในระยะไกล ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถรับรู้รายละเอียดได้มากแต่ก็ดีกว่าไม่ได้อะไรกลับไปเลย
เมื่อซุ่มดูเหตุการณ์จากระยะไกลจนจบ คิ้วของอี้ฟานตอนนี้ย่นเข้าหาจนแทบจะเชื่อมติดกัน
เกิดอะไรขึ้น? เสื้อคลุมโลหิตนั่นไม่ได้มาฆ่าหลิงตู้ฉิงงั้นหรือ? แล้วเมื่อกี้พวกเขาคุยอะไรกัน? แล้วเมื่อครู่หลิงตู้ฉิงทำอะไรกับหญิงสาวคนนั้น? ทำไมดูเหมือนหลิงตู้ฉิงวิ่งเข้าไปจับหน้าอกจากหญิงสาวชุดแดงกัน? แล้วที่สำคัญทำไมก่อนพวกเขาแยกกันหญิงสาวชุดแดงคนนั้นตะโกนโหวกเหวกอะไรก่อนบินจากไป? นี่มันแปลก นี่มันแปลกมากจริง ๆ หรือว่าเรื่องราวทั้งหมดระหว่างหลิงตู้ฉิงกับกลุ่มเสื้อคลุมโลหิตมันจะเป็นเพียงเรื่องงอนง้อระหว่างหนุ่มสาวเท่านั้น….
อี้ฟานผู้เห็นเหตุการณ์แบบไม่ชัดเจนมาก ๆ ในระยะไกลเริ่มคิดเดามั่วไปเรื่อย ตอนนี้ยิ่งเขาคิดก็ยิ่งจินตนาการไปไกลจนเรื่องจินตนาการเพ้อเจ้อกลายเป็นเรื่องที่อาจจะจริงสำหรับเขา
หลังจากคิดจินตนาการมานานจนเขาก็ปักใจเชื่อในที่สุด บางทีหลิงตู้ฉิงและหญิงสาวเสื้อคลุมโลหิตนั่นต้องเป็นคนที่รู้จักกันเป็นอย่างดีแน่นอน! จากนั้นเขาก็รีบวิ่งกลับไปยังคฤหาสน์เจ้าเมืองเพื่อส่งข่าวไปยังหยิงหวูเจี้ยง
เฮ่อเจี้ยนปิงที่นั่งอยู่กับหยิงหวูเจี้ยง เมื่อทั้งสองได้ทราบข่าวของผู้เชี่ยวชาญเสื้อคลุมโลหิตที่ไปเยือนยังเรือนตระกูลหลิงจากปากของอี้ฟาน พวกเขาต่างนั่งมองหน้ากันด้วยหน้าตางุนงงจนยากบรรยาย พวกเขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันเริ่มเหนือคาดขึ้นไปเรื่อย ๆ เสียแล้ว ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตรวมแสงดาราปรากฎตัวขึ้นมา แต่กลับไม่ได้ต่อสู้กันแถมหลิงตู้ฉิงยังเอื้อมมือพุ่งไปจับ….เอ่อ…?
“เจ้าแน่ใจหรือว่าพวกเขาไม่ต่อสู้กัน แล้วเจ้าแน่ใจหรือว่าหลิงตู้ฉิงพยายามลวนลามผู้เชี่ยวชาญคนนั้นจริง ๆ?” เฮ่อเจี้ยนปิงถามด้วยความสับสน
อี้ฟานผงกหัวงึก ๆ และพูดว่า “ใช่แน่นอนนายท่าน! หลังจากที่ทั้งสองได้พบกัน ข้าแทบไม่ได้กระพริบตา พวกเขาไม่ได้โจมตีอะไรกันเลยจะมีก็แต่ที่หลิงตู้ฉิงพุ่งเข้าหาหญิงสาวชุดแดง จากนั้นหญิงสาวที่อยู่ในขอบเขตรวมแสงดาราคนนั้นกระทืบเท้าด้วยความโกรธและจากไป”
“นี่มันไม่เข้าท่าเลย!” หยิงหวูเจี้ยงบ่น
เมื่อมองอี้ฟานที่ดูมั่นใจ ทำให้พวกเขาไม่สามารถพูดอะไรได้
หลังจากส่งอี้ฟานออกไป หยิงหวูเจี้ยงก็ถามขึ้น “ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าอย่างไร?”
เฮ่อเจี้ยนปิงเกาหัวแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าทั้งสองไม่น่าจะรู้จักกันมาก่อน ส่วนเรื่องที่คนของเจ้าเห็นหลิงตู้ฉิงลวนลามหญิงสาวคนนั้นข้าคิดว่านั่นอาจจะเป็นกระบวนท่าโจมตีบางอย่างต่างหาก แต่การเคลื่อนไหวคงเร็วมากจนคนของเจ้า อี้ฟานไม่สามารถมองได้ทัน มิฉะนั้น…ข้าก็ไม่มีคำอธิบายอะไรอย่างอื่นแล้ว…”
“นี่…” หยิงหวูเจี้ยงยิ้มอย่างขมขื่น
หยิงหวูเจี้ยงอยากจะบอกกับศิษย์พี่ของเขาว่าอี้ฟานนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตประสานทะเลปราณ แล้วเรื่องแค่นี้เขาจะมองไม่ออกงั้นเหรอ?
เฮ่อเจี้ยนปิงยิ้มอย่างขมขื่นเช่นกัน “ข้าเข้าใจว่าเจ้าคิดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมามันแปลกประหลาด แต่เจ้าอย่าลืมสิ เหตุการณ์นี้มันเกี่ยวข้องอยู่กับใคร?”
“เรื่องทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกับหลิงตู้ฉิง! และเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัวเขามันก็ล้วนแต่แปลกประหลาดด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ เอาล่ะ เราอย่าเพิ่งคิดอะไรไปให้มันมากมายในตอนนี้ พรุ่งนี้ข้าจะลองไปเยี่ยมเขาในตอนเช้าและจะดูด้วยตาของข้าเองว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นคนยังไง”
1 คืนผ่านไป…
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เฮ่อเจี้ยนปิงกินอาหารเช้าเสร็จ เฮ่อเจี้ยนปิงก็ขึ้นรถม้าของคฤหาสน์เจ้าเมืองไปยังเรือนหลิง
เมื่อเฮ่อเจี้ยนปิงมาถึงหน้าประตูเรือนหลิง เขาเห็นประตูเรือนเปิดค้างอยู่ และเมื่อมองเข้าไปภายในเรือนเขาเห็นว่าบรรดากลุ่มคนภายในทั้งหมดกำลังเตรียมตัวจะออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง
เขาเดินเข้าไปในเรือนพร้อมกับพูดทักทายทันทีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านหลิง ท่านจะออกไปข้างนอกหรือ?”
หลิงตู้ฉิงเหลือบมองมาที่เฮ่อเจี้ยนปิงและพูดว่า “ใช่”
เฮ่อเจี้ยนปิงหัวเราะและพูดว่า “ข้าได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของท่านหลิงมานานแล้วและอยากจะมาทำความรู้จักด้วยตัวข้าเอง! แต่เมื่อข้าเห็นท่านในวันนี้ข้ารู้แล้วว่าชื่อเสียงของท่านไม่ใช่เรื่องโอ้อวดเกินจริง”
หลิงตู้ฉิงโบกมือแล้วถามว่า “ท่านวางแผนที่จะมาเยี่ยมข้าด้วยเรื่องอะไร?”
เฮ่อเจี้ยนปิงตกตะลึงจากนั้นเขาก็ยิ้มและพูดว่า “ข้าได้ยินชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของท่านมานานแล้วและความชอบธรรมของท่านนั้นก็บริสุทธิ์ชัดเจนเหมือนเมฆบนท้องฟ้า…”
หลิงตู้ฉิงยกมือขึ้นเพื่อให้เฮ่อเจี้ยนปิงหยุดเยินยออ้อมค้อม “จ้าวเหมิงลู่บอกให้ท่านมางั้นสิใช่ไหม?”
เฮ่อเจี้ยนปิงถึงกับใบ้กิน เขาถูกส่งมาที่นี่อย่างลับ ๆ เพื่อตรวจสอบประวัติของหลิงตู้ฉิง แต่เหตุใดตัวตนของเขาจึงถูกเปิดเผยตั้งแต่เพิ่งพบกัน หรือว่าหลิงตู้ฉิงผู้นี้มีเครือข่ายข่าวกรองที่สามารถตรวจสอบเขาได้หรือไม่?
“ท่านพ่อ เขาเป็นเพื่อนกับท่านแม่หรือไม่?” หลิงไช่หยุนถาม
คำพูดของหลิงไช่หยุน ทำให้เฮ่อเจี้ยนปิงยิ่งสับสนหนัก
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าตั้งแต่ที่เขาได้ยินชื่อหลิงตู้ฉิง มันเหมือนกับสมองของเขาจะเริ่มเสื่อมถอยลง ทำไมช่วงนี้เขารู้สึกปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรไม่ค่อยจะได้เลยสักอย่าง
เขาปรับอารมณ์ที่ยุ่งเหยิงของเขาและถามว่า “จ้าวเหมิงลู่ เป็นหลานสาวของอาจารย์ข้า แต่ข้าขอถาม ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเหมิงลู่กับข้ารู้จักกัน?”
หลิงตู้ฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ท่านกับจ้าวเหมิงลู่มีเคล็ดบ่มเพาะบนเส้นทางเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าพวกท่านมีอาจารย์คนเดียวกัน จึงไม่ได้เดายากอะไร เมื่อท่านมาที่นี่แล้วข้าคงต้องถามท่านว่าเวลาผ่านไปกว่า 1 เดือนแล้วนางจะกลับมาเมื่อไร?”
เฮ่อเจี้ยนปิงตกตะลึงและถามว่า “ทำไมนางถึงจะต้องกลับมา?”
“เราตกลงกันว่านางจะกลับมาเป็นแม่ของลูก ๆ ข้าภายใน 3 เดือน นางบอกว่านางจะกลับไปแจ้งเรื่องนี้ต่อพ่อแม่ของนาง แต่ข้าไม่สามารถติดต่อนางได้ในตอนนี้ ข้าเลยต้องถามจากท่าน” หลิงตู้ฉิงพูด
เมื่อเฮ่อเจี้ยนปิงได้ยินประโยคนี้หัวของเขาแทบระเบิด หน้าผากของเขาย่นเต็มไปด้วยเส้นสีดำ เขาแทบร่ำไห้อยู่ในใจและพึมพำกับตัวเองว่า “ท่านอาจารย์ ที่ท่านให้ข้าทำมาทั้งหมดนี้ ก็เพราะต้องการให้ข้าตรวจสอบหลานเขยของท่าน? ทำไมท่านไม่บอกข้าตั้งแต่แรก?”
ดวงตาของเขาเหม่อลอยว่างเปล่า เขาไม่รู้ว่าจะตอบหลิงตู้ฉิงอย่างไร?
เมื่อเห็นสีหน้าของเฮ่อเจี้ยนปิง หลิงตู้ฉิงส่ายหัวเบา ๆ และพูดว่า “ครั้งหน้า หากท่านมีเรื่องอะไรควรเอ่ยกับข้าตรงๆ ไม่ใช่มัวแต่อ้อมค้อม มันทำให้ข้าเสียเวลานะท่านรู้ไหม อ๋อ แล้วอีกอย่างท่านควรใช้เวลากับการคิดคำเยินยอผู้คนให้มันน้อยหน่อย เอาเวลาไปบ่มเพาะให้มันมากขึ้นและที่สำคัญท่านควรหมั่นออกไปหาคนมาต่อสู้เยอะ ๆไม่งั้นพอถึงเวลาที่จะทะลวงขั้นต่อไปข้ารับรองว่าท่านลำบากหนักแน่”
หลังจากให้คำชี้แนะแก่เฮ่อเจี้ยนปิงเรียบร้อย หลิงตู้ฉิงก็ไม่สนใจเขาอีก เขาหันไปกล่าวกับคนในเรือนหลิง “เอาล่ะพวกเราไปกันได้แล้ว”
เฮ่อเจี้ยนปิงได้แต่ยืนอ้าปากค้างมองดูหลิงตู้ฉิงพาบรรดาเหล่าคนในเรือนหลิงเดินจากไป
หลังจากหลิงตู้ฉิงพาคนของเขาเดินลับตาหายไปแล้ว เฮ่อเจี้ยนปิงจึงเดินออกมายังหน้าเรือนหลิงเขาหันกลับไปปิดประตูเรือนหลิงด้วยสายตาว่างเปล่า
จะให้ข้าเฮ่อเจี้ยนปิงตรวจสอบประวัติคนแบบนี้งั้นหรือ? มีอะไรที่ข้าจะตรวจสอบคนแบบนี้ได้กัน?
หากจะพูดเรื่องชาติตระกูล หลิงตู้ฉิงก็ไม่น้อยหน้าใคร หากจะพูดถึงเรื่องชื่อเสียง เขาก็ไม่ได้เลวร้าย แถมที่สำคัญยังโสดอยู่อีกต่างหาก นี่มันไม่ใช่ว่าสุดจะเพียบพร้อมเลยไม่ใช่หรือไง?
เฮ่อเจี้ยนปิงตัดสินใจรายงานข้อมูลเหล่านี้ตามที่เขาพบเห็น
แต่ว่าเมื่อครู่หลิงตู้ฉิงได้เอ่ยกับเขาถึงระยะเวลา 3 เดือนที่เขาจะรอจ้าวเหมิงลู่ ซึ่งเวลาก็ได้ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว เฮ่อเจี้ยนปิงมีเวลาเหลือไม่มากแล้วที่จะนำข่าวนี้ไปรายงานให้กับอาจารย์ของเขา ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไม่มีเวลาเตรียมงานแต่งได้ทันอย่างแน่นอน
หลังจากรวบรวมสติจนตัดสินใจได้แล้ว เขาตั้งใจว่าจะออกเดินทางกลับไปยังเมืองหลวงทันที
แต่ก่อนที่เขาจะเดินออกตัวไป มีบางสิ่งสะดุดตาเขาอยู่ที่พื้น สิ่งนั้นคือรอยเท้าที่เสี่ยวเย่วเฟิงฝากเอาไว้เมื่อวานก่อนที่จะบินหนีไป
เฮ่อเจี้ยนปิงมองลงไปในรอยแยกเล็ก ๆ เขาลองเอาเท้าตัวเองไปเหยียบไว้บนรอยแยกแล้วเริ่มส่งพลังวิญญาณพุ่งลงไปสำรวจความลึกในรอยแยกนี้
หลังจากที่เขาส่งพลังวิญญาณลงไปได้ลึกประมาณ 15 เมตร พลังวิญญาณของเขาก็ยังไปไม่ถึงก้นรอยแยกอยู่ดี นี่ทำให้เขาถอดใจถอนพลังวิญญาณกลับมาและเริ่มเดินจากไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด