พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 608 ข้าจะส่งพวกเจ้าไปเกิดใหม่!
เหตุผลที่หลิงตู้ฉิงเข้ามาพบกับซวนหยวนเป็นการส่วนตัวด้วยตัวเองก็เพราะว่าเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา
และแน่นอนว่าเขาก็ต้องการที่จะทำข้อตกลงบางอย่างกับซวนหยวนด้วย
ในตอนนี้ซวนหยวนนั้นได้สาบานว่าจะเป็นผู้พิทักษ์เต๋าให้กับหลิงว่านถิงแล้ว ซึ่งมันถือว่าเป็นการพัฒนาไปในทิศทางที่ดี อย่างน้อย ๆ หลิงตู้ฉิงก็พอจะมีความมั่นใจให้หลิงว่านถิงสามารถอยู่ที่นี่ต่อได้บ้าง
ซวนหยวน เมื่อได้ยินว่าการที่เขาสาบานว่าจะเป็นผู้พิทักษ์เต๋านั้นมันยังไม่เพียงพอ ดังนั้นเขาจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าหนักใจ “ถ้าเช่นนั้นท่านต้องการที่จะให้ข้าทำอะไรเพิ่มอีกถึงจะเพียงพอ?”
หลิงตู้ฉิงจ้องไปที่ซวนหยวน และพูดว่า “เจ้ามีพลังชีวิตเหลืออีกไม่มากนัก หากเจ้าลงมือด้วยตัวเอง เจ้าจะยิ่งตายไวขึ้น!”
“ตราบใดที่ข้าสามารถช่วยปกป้องผู้ที่จะกลายมาเป็นความหวังของสำนักข้าได้ แม้ข้าตายมันก็ถือว่าคุ้มค่า!” ซวนหยวนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “นี่มันก็ผ่านมานานกว่าแสนปีแล้วที่สำนักของข้าไม่มีผู้ใดสามารถสร้างวิถีเต๋าของตัวเองสำเร็จขึ้นมาได้เลยสักคน หากเหล่าบรรพบุรุษรุ่นก่อนรู้เข้าพวกเขาคงจะตำหนิข้าจนตายแน่ ๆ”
“แน่นอนว่าบรรพบุรุษของเจ้าคงโกรธพวกเจ้าจนกระอักเลือดเลยเชียวล่ะ!” หลิงตู้ฉิงพูดเสริม
ซวนหยวนหัวเราะอย่างขมขื่น แต่จากนั้นจู่ ๆ เขาก็คิดอะไรบางอย่างออกและถามขึ้นว่า “ว่าแต่ ในเมื่อท่านเคยไปอยู่ที่โลกเบื้องบนมาก่อนแล้ว สำนักเต๋าสวรรค์ของพวกเราข้างบนนั้น…”
หลิงตู้ฉิงหรี่ตามองไปที่ซวนหยวน และพูดแทรกทันที “อย่าถามข้าในเรื่องที่เจ้าไม่ควรรู้! เอาล่ะ ในเมื่อเจ้ายินดีที่จะมาเป็นผู้พิทักษ์เต๋าให้กับลูกสาวของข้า ดังนั้นข้าจะมอบประโยชน์อะไรให้เจ้าบางอย่าง”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงก็หยิบกิ่งไม้ที่ได้มาจากต้นเทวะศาสตราขึ้นมา จากนั้นเขาเด็ดใบของมันออกมาใบหนึ่งและส่งมันให้กับซวนหยวน
ในฐานะที่หลิงตู้ฉิงเป็นนายของมัน ดังนั้นแน่นอนว่าหลิงตู้ฉิงจึงสามารถเด็ดใบมันออกมาจากกิ่งได้อย่างง่ายดาย
“ใบไม้ใบนี้จะรับประกันว่าเจ้าจะสามารถมีชีวิตอยู่ไปได้อีก 1,000 ปี โดยที่เจ้าไม่ต้องกังวลถึงเรื่องอะไรทั้งสิ้นหรือไม่ว่าเจ้าจะใช้พลังของตัวเองไปมากสักแค่ไหนมันก็จะไม่มีผลกับในช่วงเวลา 1,000 ปีนับจากนี้!” หลิงตู้ฉิงพูดขึ้น
หลังจากสัมผัสได้ถึงความวิเศษของใบไม้ที่หลิงตู้ฉิงยื่นให้ ซวนหยวนก็รับมันมาและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังทันที “ข้าขอขอบคุณท่านเป็นอย่างสูงที่มอบชีวิตอีก 1,000 ปีให้กับข้า ด้วยเวลาขนาดนี้บางทีข้าอาจคงทันเห็นความรุ่งเรืองของสำนักเต๋าสวรรค์ในอนาคต”
เมื่อพูดจบ ซวนหยวนก็หลอมรวมใบไม้ที่เขาได้รับมาเข้าไปในร่าง ซึ่งมันส่งผลให้ร่างกายของเขาที่ดูแห้งเหี่ยวกลายเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นในทันที
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “หลังจาก 1,000 ปีผ่านไป ตัวตนของเจ้าก็คงจะไม่มีความจำเป็นใด ๆ กับลูกสาวของข้าอีกแล้ว ในเวลานั้นนางน่าจะสามารถอยู่ได้ด้วยตัวของนางเอง ส่วนเรื่องที่ลูกสาวของข้าถูกใช้งานก่อนหน้านี้ข้าต้องการให้เหล่าผู้คนของเจ้าที่ได้รับประโยชน์ไปทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม พวกมันจะต้องกลายเป็นทาสรับใช้ให้กับลูกสาวของข้า แต่ถ้าหากพวกมันปฏิเสธไม่ยินยอม เจ้าจะต้องฆ่าพวกมันให้หมด ในเมื่อพวกมันเคยมีความคิดที่จะเอาเปรียบลูกสาวของข้าไปรอบหนึ่งแล้ว ดังนั้นในอนาคตมันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พวกมันจะคิดเรื่องหาผลประโยชน์กับลูกสาวของข้าได้อีกรอบหนึ่ง!”
ซวนหยวนครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นเขาถอนหายใจ “เอาแบบนั้นก็ได้ ถ้าหากไอ้พวกโง่งมนั่นไม่ยอมรับลูกสาวของท่านเป็นนายของพวกมัน ข้าจะเป็นคนส่งให้พวกมันไปเกิดใหม่เอง อย่างน้อย ๆ มันก็ดีกว่ารอให้ในอนาคตท่านเป็นผู้มาลงมือด้วยตัวเองที่สำนักข้าก็แล้วกัน”
ก่อนหน้านี้มันก็เกือบที่สำนักของเขาจะได้เผชิญหายนะแล้ว ดังนั้นซวนหยวนจึงตั้งใจไว้ว่าจะพยายามทำทุกอย่างไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก
เขาคือผู้ที่เคยอยู่ในยุคเดียวกับปีศาจตนนี้มาก่อน เขาจึงรู้ดีว่าปีศาจตนนี้ไม่ได้มองชีวิตของเหล่าผู้คนเป็นเหมือนผักปลา แต่ปีศาจตนนี้มองชีวิตของเหล่าผู้คนไม่มีค่าอะไรเลยต่างหาก
“ถ้างั้นก็ดีมาก!” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “ในเมื่อเจ้าตั้งใจจะทำแบบนี้งั้นข้าก็จะอนุญาตให้ลูกสาวของข้าอยู่ที่นี่ต่อ เอาล่ะถ้างั้นพวกเราก็ออกไปสะสางเรื่องนี้เลยก็แล้วกัน”
ซวนหยวนลุกขึ้นและพูดว่า “งั้นเดี๋ยวขอข้าเรียกคนของข้ามาสอบถามดูก่อนว่าใครเป็นคนต้นคิด”
หลิงตู้ฉิงส่ายหัว “ไม่จำเป็นแค่เจ้าไปเห็นลูกสาวของข้า เจ้าก็จะรู้ทุกอย่างเอง”
ทางด้านของอู๋หลิงซีที่กำลังยืนคอยหลิงตู้ฉิงอยู่หน้าถ้ำอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อเขาได้เห็นว่าหลิงตู้ฉิงเดินออกมาพร้อมกับซวนหยวน เขาก็รีบถามขึ้นทันที “ท่านบรรพบุรุษ นี่ท่านถึงขนาดออกมาด้วยตนเองเลยงั้นเหรอ?”
ซวนหยวนพ่นลมออกจมูก “ถ้าข้าไม่ออกมา ข้าจะสืบเรื่องราวต่ำช้าที่พวกเจ้าทำกันเอาไว้ได้อย่างงั้นเหรอ?”
“พวกเรา…” อู๋หลิงซีไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ
ทางด้านคนอื่น ๆ ของสำนักเต๋าสวรรค์ที่สัมผัสได้ว่าซวนหยวนออกมาจากถ้ำเก็บตัว พวกเขาก็รีบบินมาหาในทันทีเพื่อทำความเคารพ
ซวนหยวนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาไปยังเหล่าคนรุ่นหลังของสำนักเขา “ข้าไม่กล้ารับการคารวะจากพวกเจ้าหรอก ขืนข้ารับการคารวะจากพวกเจ้ามาก ๆ สักวันข้าคงต้องกระอักตายเพราะพวกเจ้า ดังนั้นไม่จำเป็นต้องมาคารวะอะไรข้าทั้งนั้น!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ บรรดาผู้คนของสำนักเต๋าสวรรค์จึงได้แต่พากันนิ่งเงียบไม่กล้าเอ่ยอะไร
ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าหลิงตู้ฉิงคุยอะไรกับบรรพบุรุษของพวกเขา แต่พวกเขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าบรรพบุรุษของพวกเขากำลังโมโหเป็นอย่างมาก
จากนั้นพวกเขาก็ได้เดินตามซวนหยวนไปไม่ห่าง โดยไม่รู้ว่าซวนหยวนนั้นโกรธอะไรพวกเขามากมายนัก
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ พวกเขาเกือบจะสร้างหายนะใหญ่ถึงขั้นสำนักถูกทำลายไปแล้วก่อนหน้านี้ ซึ่งมันทำให้ซวนหยวนยังคงขวัญหนีดีฝ่อมาจนถึงตอนนี้และรู้สึกโชคดีที่มันยังไม่เกิดขึ้น
หลังจากนั้นเมื่อทุกคนได้เดินมาถึงค่ายกลกระบี่เหินเมฆา หลิงตู้ฉิงก็สั่งให้ค่ายกลกระบี่เปิดออกและชี้ไปที่หลิงว่านถิง และพูดว่า “เจ้าจงดูด้วยตาของเจ้าเองก็แล้วกัน”
แค่เพียงชั่วครู่เดียวที่ซวนหยวนมองไปยังร่างของหลิงว่านถิง สีหน้าของเขาก็มืดหม่นลงในทันที
ไอ้พวกเวรนี่มันกล้าที่จะฝังเศษเสี้ยวจิตสำนึกของพวกมันลงไปในร่างกายของหลิงว่านถิง เพื่อตรวจสอบและทำความเข้าใจเคล็ดวิชาต่าง ๆ ที่นางได้บรรลุเพื่อเอามาพัฒนาตัวเองอย่างนั้นเหรอ?
เด็กสาวผู้นี้คือว่าที่เจ้าสำนักและเป็นความหวังของสำนักเต๋าสวรรค์แถมยังเป็นผู้หญิงอีกต่างหาก นี่พวกมันคิดบ้าอะไรกันถึงได้ปฏิบัติกับนางแบบนี้?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพ่อของนางถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นี่มันถือได้ว่าปราณีขนาดไหนแล้วที่ปีศาจตนนี้ไม่ได้ฆ่าใครไปเลยสักคนเดียว!
ซวนหยวนหันไปหาคนของเขาทันที จากนั้นเขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาลว่า “ไอ้คนไหนที่มันใช้จิตสำนึกของตัวเองฝังเข้าไปในร่างของนาง เพื่อตรวจสอบร่างกายของนาง ไสหัวออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
ในเวลาเพียงครู่เดียว ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิ 17 คนก็ก้าวออกมาหาซวนหยวน
“ไอ้สวะอีก 2 คนมันอยู่ที่ไหน?” ซวนหยวนถามขึ้น
แน่นอนว่าซวนหยวนรู้เป็นอย่างดีว่ามันมีจำนวนกี่คนที่ฝังจิตสำนึกไว้ในร่างกายของหลิงว่านถิง
โม่หลิงซีรีบตอบกลับทันที “รายงานท่านบรรพบุรุษ ศิษย์น้องหลิงหยุนซี ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้กำลังเก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บ ส่วนอีกคนหนึ่งตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสำนัก”
ซวนหยวนพ่นลมออกจมูก จากนั้นเขาปลดปล่อยเจตจำนงของเขาเองครอบคลุมไปทั่วอาณาเขตเต๋าทั้งหมดเพื่อตามหาร่องรอยของหลิงหยุนซี และอีกคนหนึ่งที่ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่
ซึ่งคนแรกที่เขาเจอว่าแน่นอนมันคือหลิงหยุนซี ดังนั้นเมื่อซวนหยวนเจอตัว เขาจึงใช้เจตจำนงของเขากุมตัวเป้าหมายแรกมาปรากฏตรงหน้าเขาก่อนทันที
คนอื่น ๆ ที่เห็นเช่นนี้ต่างก็พากันงุนงงและรู้สึกหวาดกลัวในอำนาจของบรรพบุรุษพวกเขา พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมซวนหยวนถึงต้องลงทุนใช้พลังของตัวเองมากขนาดนี้
พวกเขาทุกคนต่างเข้าใจว่าการที่ซวนหยวนใช้พลังเยอะขนาดนี้มันจะทำให้อายุยิ่งสั้นลงไปอีกเป็นจำนวนมาก
ผ่านไปเพียงครู่เดียว ซวนหยวนก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าเจอเจ้าแล้ว!”
เมื่อพูดจบ ซวนหยวนก็ฉีกมิติตรงหน้าของเขาออก จากนั้นเขาก็เอื้อมมือผ่านมิติไปจับคอของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันขั้นปลายผู้หนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปนับพันกิโลเมตร และกระชากคนผู้นั้นกลับมา และโยนลงไปยังพื้นตรงหน้าของเหล่าผู้คนที่กำลังงุนงง
“ไอ้พวกโง่! พวกแกรู้ตัวบ้างไหมว่าทำอะไรลงไป!?” ซวนหยวนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาล “พวกแกรู้บ้างไหมว่าร่างแห่งเต๋ามันหมายความว่ายังไงต่อสำนักของเรา? ผู้ที่ครอบครองร่างแห่งเต๋านั้นหมายถึงว่าเขาจะกลายเป็นเจ้าสำนักของพวกแกเองในวันข้างหน้า และจะกลายเป็นผู้ที่สามารถสร้างวิถีเต๋าของตนเองได้ แต่แล้วพวกแกกลับกล้าปฏิบัติต่อนางแบบนี้อย่างงั้นเหรอ?”
“ในเมื่อพวกแกล่วงเกินว่านถิงไปแบบนี้ พวกแกก็ต้องชดใช้โดยต้องกลายเป็นทาสรับใช้ให้กับว่านถิงซะ ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งพวกแกไปเกิดใหม่กันให้หมดทุกคน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนของสำนักเต๋าสวรรค์ก็รู้สึกตกตะลึงไปตาม ๆ กัน พวกเขาผู้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูง 19 คนจะต้องกลายเป็นทาสรับใช้ให้กับเด็กสาวคนนนี้ยังงั้นเหรอ?
“ท่านบรรพบุรุษ นี่มันผิดกฎของพวกเรา!” หลิงหยินซีรีบเอ่ยขึ้น