พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 615 เทพหายนะกลับมาแล้ว
พระราชวังอันใหญ่โตแห่งนี้ ซึ่งใหญ่โตกว่าพระราชวังใด ๆ ในโลกจะสามารถเทียบเคียงได้
ด้านในพระราชวังแห่งนี้แค่ดวงไฟบนคบเพลิงแต่เพียงดวงเดียวก็รุนแรงกว่าดวงเพลิงของเตาเพลิงศักดิ์สิทธิ์นับร้อยเท่า
และที่ด้านบนสูงสุดของยอดปราสาทของพระราชวังแห่งนี้นั้นมันมีดวงแสงสีทองอันเจิดจ้าส่องประกาย ซึ่งมันเป็นตัวแทนของความเชื่อที่สืบทอดกันมาว่าดวงแสงนี้คือดวงแสงที่มีไว้คอยชี้นำเหล่าเผ่ามนุษย์ทุกคน
ดวงแสงที่เปล่งประกายเจิดจ้านี้ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ผู้ไหนที่ได้เห็นมันก็ล้วนแล้วแต่จะทำให้จิตใจของคนผู้นั้นเต็มไปด้วยความสงบและความหวัง
ที่ด้านในท้องพระโรง ตัวตนหนึ่งซึ่งสวมชุดคลุมสีทองอร่ามนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงสุด เขานั่งหลับตาสงบนิ่งอยู่บนบัลลังก์นั้นราวกับว่าเขาเป็นรูปปั้นที่อยู่มาเนิ่นนานตั้งแต่บรรพกาล
แต่แล้วจู่ ๆ ดวงตาของตัวตนที่นั่งนิ่งอยู่บนบัลลังก์จู่ ๆ ก็ลืมตาเบิกโพลงขึ้นราวกับว่ามีบางสิ่งกระทบใจของเขาจนตื่นตัวสุดขีด
“เขากลับมาแล้ว!” ตัวตนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เอ่ยขึ้น “ส่งคำสั่งของข้าออกไป จงหาตัวเขาให้เร็วที่สุดหากมีความคืบหน้าอย่างไรให้แจ้งกลับมาที่ข้าในทันที!”
ณ อารามเต๋าแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงจนไม่อาจเห็นได้ว่าภูเขาลูกนี้นั้นมีความสูงสักเพียงใด
บริเวณรอบ ๆ ของอารามเต๋าแห่งนี้นั้นไปด้วยสายลมกรรโชกรุนแรง ซึ่งการพัดผ่านของสายลมนี้แต่ละครั้งมันรุนแรงซะจนสามารถทำให้ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นสูงสุดเช่น ซวนหยวนตายได้ในพริบตา
ไม่เพียงแต่จะมีแค่สายลมที่กรรโชกแรงเท่านั้น แต่บริเวณรอบ ๆ ยังมีพายุมิติที่ผันผวนรุนแรงโหมกระหน่ำไปมาอยู่เรื่อย ๆ
แต่ถึงแม้จะเผชิญกับทั้งสายลมที่กรรโชกแรงเหนือจินตนาการและพายุมิติที่ผันผวน อารามเต๋าแห่งนี้ก็ยังคงไม่ไหวติงกับสิ่งใด ๆ ไม่แม้กระทั่งต้นหญ้าสักต้นที่กำเนิดขึ้นบนกำแพงอารามจะสั่นไหวแม้แต่น้อย มันตั้งอยู่ในสถานที่แห่งนี้มานานแล้วกว่าล้านล้านปี
แต่แล้วหลังจากอารามเต๋าแห่งนี้ที่ไม่มีความเคลื่อนไหวมานาน จู่ ๆ ประตูของอารามก็เปิดออกพร้อมกับมีบุรุษวัยกลางคนใส่ชุดนักพรตเต๋าสีเขียวผู้หนึ่งเดินออกมา
เมื่อบุรุษวัยกลางคนใส่ชุดนักพรตเต๋าสีเขียวปรากฏกายขึ้น พายุมิติที่เกิดขึ้นรอบ ๆ อารามเต๋าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย สายลมกรรโชกแรงก็กลายเป็นอ่อนกำลังลงจนเป็นเพียงแค่สายลมเย็นสบายที่แผ่วเบาพัดผ่าน
บุรุษวัยกลางคนใส่ชุดนักพรตเต๋าสีเขียว เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไอ้ปีศาจตนนั้นมันปรากฏตัวขึ้นแล้ว รีบตามหามันในทันที!”
ถึงแม้ว่าน้ำสียงของเขาที่เปล่งออกไปจะไม่ดังอะไรมากมายนัก แต่มันกลับทำให้บรรดานักพรตที่อยู่ในอารามทุกคนได้ยินกันอย่างชัดเจน
มากกว่า 200 ล้านกิโลเมตรห่างจากอารามเต๋า มันคือเทือกเขาที่เต็มไปด้วยภูเขาไฟที่กำลังปะทุ
แต่สิ่งที่น่าแปลกที่สุดของเปลวเพลิงที่ปะทุขึ้นออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟก็คือเปลวเพลิงเหล่านี้มันเป็นสีขาวบริสุทธิ์ทั้งหมด
หากเย่เจียงไห่ได้มาเห็นภาพของสถานที่แห่งนี้เขาคงจะรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากเปลวเพลิงสีขาวเหล่านี้มันคือจุดสูงสุดของแก่นแท้ในเส้นทางการบ่มเพาะที่เขาใฝ่ฝันหามาตลอด
หากเขาสามารถมาบ่มเพาะในสถานที่แห่งนี้ได้ เขาจะยิ่งสามารถบ่มเพาะได้เร็วกว่าเดิมขึ้นอีกนับพันเท่า
แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้เขาจะรู้ว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ที่ไหนเขาก็ไม่อาจมาได้อยู่ดี
เนื่องจากเพลิงเหล่านี้มันคือเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาที่ไหนจะสามารถเข้ามาใกล้ได้ หากคนธรรมดาคนไหนกล้าที่จะย่างกรายเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ ร่างของคนผู้นั้นจะถูกเผาไหม้จนเหลือแต่เถ้าถ่านในทันที
แต่ ณ จุดศูนย์กลางของเพลิงที่ร้อนแรงที่สุด กลับมีนกฟีนิกซ์ร่างยักษ์จนไม่อาจอธิบายได้ว่าร่างกายของมันใหญ่โตถึงขนาดไหนนอนหลับอยู่อย่างสงบ
นกฟีนิกซ์ยักษ์ตัวนี้มีขนสีทองทั่วทั้งตัว ขนของมันแค่เพียงอันเดียวหากหล่นลงไปในมหาสมุทรมันก็สามารถทำให้น้ำทั้งหมดในมหาสมุทรระเหยแห้งไปได้เพียงชั่วพริบตาและถึงร้อนแรงจนถึงขนาดหลอมละลายโลกทั้งใบได้อย่างไม่ยากเย็น
ในเวลานี้ จู่ ๆ ฟีนิกซ์ยักษ์ก็ดีดตัวลุกขึ้น หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง นางก็พึมพำกับตัวเอง “ไอ้สารเลวนั่นมันกลับมาแล้ว! ข้าคงต้องรีบไปที่ตำหนักไร้หทัย เพื่อดูว่าท่านบรรพบุรุษอยากจะให้ข้าช่วยเหลืออะไรบ้างไหม! จงฟังคำสั่งของข้า! พวกเจ้าจงออกไปควานหาตัวไอ้สารเลวนั่นให้เจอและจับตัวมันมาให้ข้า ข้าต้องการจะทุบตีมันให้หนำใจเพื่อระบายความโกรธของข้าให้หมด!”
“รับทราบ!” หลายเสียงตะโกนรับพร้อม ๆ กัน
จากนั้นฟีนิกซ์ร่างยักษ์ก็กลายร่างเป็นหญิงสาวหน้าตางดงาม ซึ่งสวมมงกุฎฟีนิกซ์และชุดคลุมฟีนิกซ์สีแดงเพลิงและพุ่งตัวไปถึงตำหนักไร้หทัยในช่วงเวลาเพียงพริบตา
ณ ที่หน้าตำหนักไร้หทัย กิเลนยักษ์ตัวหนึ่งกำลังนอนหลับปุ๋ยด้วยท่าทีสบายใจ
แต่แล้วเมื่อกิเลนยักษ์สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของฟีนิกซ์ที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น มันเปิดเปลือกตาออกและถามขึ้นด้วยสีหน้าเกียจคร้าน “เจ้ามาที่นี่มีอะไร?”
ฟีนิกซ์เผยสีหน้าไม่พอใจและพูดขึ้นว่า “ไอ้เจ้านายสารเลวของเจ้าปรากฏตัวขึ้นแล้ว ข้าอยากรู้ว่าท่านบรรพบุรุษมีอะไรจะให้ข้าช่วยไหม?”
“นายท่านกลับมาแล้วงั้นเหรอ?” กิเลนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบิกบาน จากนั้นมันก็หลับตาลงเตรียมนอนเหมือนเดิมและเอ่ยขึ้นว่า “ว่าแต่ทำไมคุณหนูของข้าถึงจะต้องการความช่วยเหลือของเจ้า? กลับรังของเจ้าไปนอนซะจะดีกว่า หรือถ้าหากเจ้ามีเวลาว่างมากนักเจ้าก็ควรจะลองวางไข่ดูเพิ่มอีกสักหน่อยเพื่อทำประโยชน์ให้กับเผ่าพันธุ์ของเจ้า”
“นี่เจ้า!” ฟีนิกซ์ตะคอกขึ้นด้วยสีหน้าเดือดดาล “ข้าไม่ได้มาหาเจ้า ข้ามาหาบรรพบุรุษของข้า เจ้าไม่มีสิทธิมาตัดสินใจแทนบรรพบุรุษของข้าโดยพละการแบบนี้ เจ้ามีหน้าที่แค่ต้องเข้าไปแจ้งข่าวเท่านั้น!”
กิเลนเปิดตาขึ้นอีกรอบและตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “คุณหนูของข้าแจ้งว่านางไม่ต้องการจะเจอใครทั้งนั้น!”
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ ฟีนิกซ์ก็ยิ่งโมโหมากขึ้นไปอีก แต่นางก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ เนื่องจากนางรู้ตัวดีว่านางไม่แข็งแกร่งพอจะต่อกรกับกิเลนตัวนี้ได้ นางไม่อยากจากไปโดยที่นางยังมีเรื่องคาใจ
แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นออกมาจากด้านในตำหนัก “จงกลับไปก่อน ข้าได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ข้าขอบใจในเจตนาช่วยเหลือของเจ้า แต่ตอนนี้ข้ายังไม่ต้องการ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟีนิกซ์รีบโค้งตัวคำนับและตอบกลับทันที “รับทราบ!”
จากนั้นนางก็รีบบินจากไปในทันที
ทางด้านกิเลนที่เห็นภาพเช่นนี้ก็เอ่ยสบถขึ้นเบา ๆ “พวกนกเอ้ย!”
แต่แล้วหลังจากที่คำพูดนี้หลุดปากออกไป กิเลนก็สัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตที่มาจากด้านในตำหนักที่อยู่ด้านหลังของมันทันที มันรีบหดคอลงและกลับไปหลับเหมือนเดิม
ที่ด้านในตำหนักไร้หทัย หญิงสาวผู้หนึ่งจ้องเขม็งไปที่กิเลนก่อนจะถอนสายตากลับมา
ในท้องพระโรงด้านในตำหนักตอนนี้นั้นมีคนอยู่ 3 คนนั่งอยู่ 2 คนเป็นผู้ชายและอีก 1 เป็นผู้หญิง
ชายผู้หนึ่งมีสีหน้าที่เย็นชา ส่วนคู่ชายหญิงที่เหลือต่างมีสีหน้าที่กังวล
“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราควรจะทำยังไงกันต่อดี?” หญิงสาวถามขึ้น “ในที่สุดเขาก็กลับมาแล้ว เขาจะโทษพวกเรารึเปล่า?”
ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “นี่มันเร็วเกินไปจริง ๆ พวกเรายังไม่ทันจะได้เตรียมตัวอะไรเลย หากเขากลับมาในตอนนี้เขาจะต้องโทษพวกเราแน่ ๆ”
ชายที่นั่งอยู่ตรงกลาง เงียบไปสักพักจากนั้นเขาพูดขึ้นว่า “ในตอนนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์จะคิดอย่างไรและข้าก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นสิ่งที่พวกเราทำได้ก็คงทำได้แค่เพียงรอดูสถานการณ์ไปก่อน”
“แต่…” หญิงสาวยิ้มอย่างขมขื่น
ชายที่นั่งอยู่ตรงกลาง ผู้ซึ่งเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของทั้งสองเอ่ยขึ้นอีกรอบ “เอาเป็นว่าไม่ว่าท่านอาจารย์จะตำหนิพวกเราขนาดไหน เขาก็คงไม่ทำอะไรรุนแรงกับพวกเราหรอก ข้าคิดว่าอาจารย์เองก็คงรู้ดีว่าสิ่งที่พวกเราทำไปนั้นเพราะพวกเราต่างหวังดีและมันก็ถือว่าเขาติดค้างพวกเราด้วยซ้ำ ดังนั้นในตอนนี้พวกเรายังไม่ควรต้องกังวลเรื่องอะไรให้มากเกินเหตุไปทั้งนั้น”
“พวกเราควรจะจับตาดูเหล่าขุมกำลังต่าง ๆ ก่อนเพื่อไม่ให้มีใครลงมือทำอะไร ไม่ว่าจะยังไงถึงแม้ว่าจะมีคนรู้ว่าอาจารย์ของเราปรากฏตัวขึ้นแล้วแต่มันก็ยังไม่มีใครรู้อยู่ดีว่าเขาอยู่ที่จุดไหนในโลกเบื้องล่างนั่น เราก็วางใจอะไรไม่ได้ เรื่องแรกที่พวกเราควรจะใส่ใจก็คือความปลอดภัยของท่านอาจารย์”
คู่ชายหญิงอีกสองคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย
ในเวลาเดียวกัน ในอีกมิติหนึ่งที่เต็มไปด้วยเหล่าอสูรมากมาย ซึ่งความแข็งแกร่งของแต่ละตนนั้นมันแข็งแกร่งมากกว่าอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดที่อยู่ในโลกเบื้องล่างอย่างเทียบไม่ติด
อสูรตนหนึ่งที่ดูอาวุโสที่สุดตะโกนขึ้นว่า “ส่งคำสั่งออกไปให้เหล่าอสูรทุกตนที่อยู่ในโลกเบื้องล่างให้หาตัวไอ้ปีศาจนั่น! จงใช้โอกาสตอนนี้ที่มันยังอ่อนแออยู่ฆ่ามันซะ! หากอสูรตนไหนที่สามารถทำงานนี้ได้สำเร็จข้าจะตบรางวัลให้เป็นอย่างงาม!”
คำสั่งนี้ถูกส่งออกไปอย่างรวดเร็วในทันที
ณ ด้านหลังของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนี้หมาสีทองลุกขึ้นยืนเหยียดตัวตรงพร้อมกับแสดงแววตาดุร้าย
ในตอนที่มันลุกขึ้นยืน ผู้คนของทั้งสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว พวกเขาทุกคนรู้สึกได้ทันทีว่าในตอนนี้สิ่งที่อยู่ด้านหลังสำนักของพวกเขามันเริ่มเคลื่อนไหวแถมยังปล่อยกลิ่นอายสังหารที่รุนแรงออกมาราวกับว่าจะกลืนกินพวกเขาทุกคนให้ลงไปอยู่ในท้องของมัน
ทางด้านของภูเขาฟีนิกซ์ ในเวลานี้ก็มีโครงกระดูกร่างหนึ่งที่อยู่ใต้พื้นดินกำลังร่ำไห้
ในภูมิภาคเหนือสุด ซึ่งเป็นอาณาเขตของเผ่าอสูรทมิฬสงคราม บรรพบุรุษอสูรทมิฬตนหนึ่งก็เหม่อมองไปยังท้องฟ้าด้วยแววตาขุ่นเคือง
และไม่ห่างไกลจากเผ่าอสูรทมิฬสงครามมากนัก มีหญิงสาวนางหนึ่งที่มีความสูงเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของมนุษย์ปกติกำลังแสดงสีหน้าเย้ยหยัน จากนั้นนางก็เอนกายลงไปนอนหลับเหมือนเดิม!