พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 619 เรื่องราว
แขกทุกคนที่มาเยือนตำหนักไร้หทัยในวันนี้ล้วนแล้วแต่มีเป้าหมายเดียวกันหมดคือมาทวงถามหาทายาทของพวกเขาที่หายไป
เมื่อนานมาแล้วเหล่าทายาทของพวกเขาได้ถูกลักพาตัวไปอย่างเป็นปริศนา
พวกเขาทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนระดับสูงสุด แต่แล้วทายาทของพวกเขากลับถูกลักพาตัวโดยที่พวกเขาไม่อาจแกะรอยได้เลยว่าเป็นใครทำ ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คือผู้ที่ลงมือจะต้องเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเหนือยิ่งกว่าพวกเขาไปอีก สิ่งนี้มันทำให้พวกเขาโกรธจนคลั่งไปหลายต่อหลายรอบ
แต่เมื่อในตอนนี้ผนึกที่ปกปิดทะเลชางหมางอยู่ถูกคลายออก พวกเขาจึงสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงต่าง ๆ ซึ่งชี้มาที่ตำหนักไร้หทัย
ดังนั้นพวกเขาจึงรีบเดินทางมาที่ตำหนักไร้หทัยเพื่อสืบสาวเรื่องราว
“ใช่ ข้าเป็นคนลักพาตัวทายาทของพวกเจ้าไปเอง!” ศิษย์พี่ใหญ่แห่งตำหนักไร้หทัย ต้วนฉิง เอ่ยขึ้น
“เอาลูกสาวของข้าคืนมา!” จักรพรรดินีฟีนิกซ์ตะคอกกลับทันที
เจ้าแห่งพรตเต๋าพูดขึ้นเช่นกัน “มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาผู้ที่มีร่างกายแห่งเต๋าเช่นศิษย์ของข้า จงคืนศิษย์ของข้ามา ไม่เช่นนั้นวันนี้ข้าจะไม่ยอมเลิกรากับเจ้าแน่!”
มหาจักรพรรดิแห่งเผ่ามนุษย์ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “ลูกชายของข้ากำเนิดขึ้นเพื่อเป็นผู้นำแห่งมวลมนุษย์ บัลลังก์ของข้าในอนาคตต้องมีเขาไว้คอยดูแล ดังนั้นเจ้าจงรีบคืนเขามาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
เมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ กำลังจะทวงถามกันขึ้นมาอีก ต้วนฉิงจึงโบกมือและพูดว่า “ในตอนนี้ข้ายังคืนเหล่าทายาทและลูกศิษย์ให้พวกเจ้าไม่ได้ แต่พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลกับอนาคตของพวกเขา พวกข้าได้ส่งตัวพวกเขาให้กับผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นผู้ชี้แนะแนวทางให้กับพวกเขาไว้แล้ว”
ร่างเงามายาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “มีแค่ข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่คู่ควรจะเป็นผู้สั่งสอนลูกของข้า ภายใต้สวรรค์ทั้งหมดใครกันจะคู่ควรมากกว่าข้าผู้นี้!”
บรรดาคนอื่น ๆ ต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีใครนอกเหนือจากพวกเขาที่คู่ควรสั่งสอนทายาทของพวกเขาเอง
“เจ้าส่งเหล่าเด็ก ๆ ไปให้ใครดูแล?” เสียงจากในรอยแยกมิติถามขึ้น
ต้วนฉิงยิ้มและตอบกลับว่า “อาจารย์ของข้า!”
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้ บรรดาผู้คนต่างก็แสดงสีหน้าตะลึงงัน ถ้าหากเป็นอาจารย์ของต้วนฉิงที่ดูแลทายาทของพวกเขาจริงดังนั้นพวกเขาก็เถียงอะไรไม่ออก!
มีเพียงแค่จักรพรรดินีฟีนิกซ์เท่านั้นนี่เผยสีหน้าเดือดดาลและตะคอกขึ้นว่า “นี่เจ้าบังอาจเอาลูกสาวของข้าไปให้ไอ้ฆาตกรนั่นดูแลงั้นเหรอ? เจ้าจะให้ลูกสาวของข้ากลายเป็นมือสังหารที่รู้จักแต่การฆ่าเหรอไง? ไอ้เฒ่าสารเลวนั่นมันอยู่ไหน? ข้าจะไปรับตัวลูกสาวของข้าคืนเดี๋ยวนี้!”
บรรดาคนอื่น ๆ ที่ได้ยินเช่นนี้ก็เริ่มที่จะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จากนั้นพวกเขาก็แสดงสีหน้าหวาดผวาและรีบถามขึ้นทันที “อาจารย์ของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
หญิงสาวในชุดแดงที่นั่งอยู่ ซึ่งเป็นศิษย์น้องเล็กรีบเอ่ยขึ้นปลอบทุกคนทันที “ไม่ต้องกังวล มันไม่แย่อย่างที่ทุกท่านคิดหรอก”
ต้วนฉิงเอ่ยขึ้นเสริมต่อ “เมื่อ 3,000 ปีก่อนหน้านี้มันมีบางอย่างเกิดขึ้น ซึ่งส่งผลให้อาจารย์ของพวกข้าต้องไปเกิดใหม่อีกครั้งและพวกข้าทั้งสามก็เป็นผู้พาอาจารย์ไปกำเนิดในโลกเบื้องล่างเอง”
“แต่ด้วยความกังวลของพวกข้า พวกข้าจึงไม่กล้าที่จะเปิดความทรงจำของท่านอาจารย์ จากนั้นเมื่อท่านอาจารย์ของพวกข้าโตขึ้นจนกลายเป็นหนุ่ม เขาก็เริ่มรับอุปการะเด็กกำพร้า”
เมื่อทุกคนได้ยินถึงตรงนี้ พวกเขาก็รู้สึกตะลึงเข้าไปใหญ่ ปีศาจที่ไร้หัวจิตหัวใจแบบนั้นกลายเป็นคนโอบอ้อมอารีรับเลี้ยงเด็กกำพร้าได้ยังไง?
ต้วนฉิงพูดขึ้นต่อ “เด็กกำพร้าคนแรกที่อาจารย์ของข้ารับอุปการะก็คือ ผู้ที่มีสายเลือดของสายเลือดทรราชสวรรค์!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้บรรดาผู้คนต่างก็มองหน้ากันด้วยสีหน้างุนงง พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าสถานการณ์ในตอนนี้มันชักจะแปลกมากขึ้นไปทุกที
ต้วนฉิงพูดต่อ “พวกข้าเองเมื่อเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกว่ามันแปลกมาก ๆ อยู่เหมือนกัน ดังนั้นพวกข้าจึงลองลักพาตัวศิษย์ของเจ้าแห่งพรตเต๋าและแอบสร้างสถานการณ์ให้นางได้ไปอยู่กับอาจารย์ของพวกข้า”
เจ้าแห่งพรตเต๋ารู้สึกไม่มีความสุขทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาถามขึ้นสวนว่า “ทำไมพวกเจ้าต้องลักพาตัวลูกศิษย์ข้าเป็นคนแรกด้วย?”
ต้วนฉิงมองไปที่เจ้าแห่งพรตเต๋า และตอบกลับว่า “เพราะว่าพวกเราอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน แต่ความขัดแย้งระหว่างพวกเรานั้นมันก็ไม่ได้มีมากมายสักเท่าไหร่หากเทียบกับคนอื่น ๆ ดังนั้นเพื่อเป็นการทดสอบปฏิกิริยาของอาจารย์พวกข้า ข้าจึงเริ่มต้นจากการส่งให้ลูกศิษย์ของเจ้าไปอยู่ข้างกายอาจารย์ของพวกข้าก่อน ซึ่งผลที่ออกมาก็คืออาจารย์ของพวกข้ารับอุปการะลูกศิษย์ของเจ้าในทันทีที่เขาเห็นหน้านางเลย จากนั้นเมื่อพวกข้าเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไร พวกข้าก็เลยค่อย ๆ ลักพาตัวทายาทของพวกเจ้าที่เหลือทีละคนทีละคน…”
ในระหว่างที่เล่าเรื่อง ต้วนฉิงก็ค่อย ๆ มองไล่ไปที่ร่างเงามายา จักรพรรดิมังกร และจากนั้นก็จักรพรรดินีฟีนิกซ์
“แต่หลังจากนั้น เมื่อพวกข้ากำลังวางแผนที่จะลักพาตัวเหล่าทายาทของคนอื่น ๆ ไปให้กับท่านอาจารย์ของพวกข้าอุปการะเพิ่ม จู่ ๆ ห้วงความทรงจำของอาจารย์พวกข้าก็ถูกปลดผนึกออกโดยที่พวกข้าเองก็ไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้นพวกข้าจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากจะหยุดแผนการให้อาจารย์ของพวกข้ารับอุปการะเด็กเพิ่มแค่เพียงเท่านั้น” ต้วนฉิงเอ่ยขึ้นปิดท้าย
จักรพรรดินีฟีนิกซ์ทวงถามขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาทันที “แต่ตอนนี้ตัวตนเดิมของเขาได้กลับมาแล้ว เจ้าจะว่ายังไงต่อ?”
“พวกข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน” หญิงสาวในชุดแดงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“ถ้างั้นตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?” เสียงจากในรอยแยกมิติถามขึ้น
“ตอนนี้ท่านอาจารย์ของข้าอยู่ในโลกเบื้องล่าง” ต้วนฉิงตอบกลับทันที “แต่ว่าเพื่อความปลอดภัยของศิษย์และเหล่าทายาทของพวกเจ้า ข้าแนะนำว่าในตอนนี้พวกเจ้าอย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่ามและไปยุ่งกับอาจารย์ของข้า และอีกอย่างพวกเจ้าสัมผัสไม่ได้หรือยังไงว่าในตอนนี้กลิ่นอายของอาจารย์ข้านั้นหายไปแล้ว? ดังนั้นมันจะต้องมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ยังคงทำให้อาจารย์ของข้าไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมแน่นอน”
“ไร้สาระ ข้าจะเชื่อแบบนั้นได้ยังไง!” จักรพรรดินีฟีนิกซ์ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าโมโห
“ข้าเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน!” มหาจักรพรรดิแห่งเผ่ามนุษย์เอ่ยขึ้นตาม
เสียงจากในรอยแยกมิติดังขึ้น “อย่างน้อย ๆ ข้าก็ต้องไปดูให้เห็นกับตาก่อน!”
ต้วนฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ในตอนนี้สถานการณ์ของอาจารย์ข้ายังไม่ชัดเจน มันจะดีที่สุดถ้าหากพวกเจ้ารอดูอยู่เฉย ๆ และเพื่อความปลอดภัยของอาจารย์ข้า หากพวกเจ้าคนไหนกล้าลงมือทำอะไร ข้าจะโจมตีพวกเจ้าทันที และเพื่อความปลอดภัยของทายาทพวกเจ้าด้วย พวกเจ้าก็ไม่ควรที่จะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเหมือนกัน!”
เสียงจากในรอยแยกมิติถามขึ้น “เจ้าคิดว่า เจ้าจะสามารถรับมือกับพวกเรา 6 คนได้พร้อม ๆ กันงั้นเหรอ?”
ต้วนฉิงยิ้มและพูดว่า “ศิษย์น้องของข้าทั้งสองรวมกับกิเลน สามารถรับมือพวกเจ้าได้ 3 คน และพวกเจ้าลืมกันไปแล้วเหรอว่าตอนนี้อาจารย์ของข้าเพิ่งจะลงไปเกิดใหม่ ดังนั้นพวกเจ้าคิดว่าอาวุธของเขาอยู่ที่ไหนกันล่ะ?”
“ไอ้อาวุธนั่นมันอยู่กับเจ้างั้นเหรอ?” บรรดาผู้คนอดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้าหวาดหวั่น
ต้วนฉิงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เขาเอาแต่ยืนยิ้มแบบมีเลศนัย
ส่วนบรรดาผู้มาเยือนต่างก็ได้แต่คาดเดากันอย่างเงียบ ๆ ไม่กล้าลงมือทำอะไรต่อ
แต่แล้วจู่ ๆ กลิ่นอายอสูรปีศาจอันรุนแรงก็ปรากฏขึ้นปกคลุมท้องฟ้าเหนือตำหนักไร้หทัย
“ซวนหู่ ตำหนักไร้หทัยไม่ต้อนรับเจ้า ไสหัวไปซะ!” กิเลนดีดตัวขึ้นยืนทันทีพร้อมกับตะคอกขึ้น
ที่ด้านนอกตำหนักไร้หทัย ในเวลานี้ได้มีเสื้อสีดำทมิฬตัวมหึมาปรากฏขึ้น เมื่อมันได้ยินสิ่งที่กิเลนพูดกับมัน มันจึงตอบกลับในทันที “ข้าได้ยินว่าวันนี้ตำหนักของเจ้ามีแขกมาเยือนมากมาย วันนี้ข้าจึงขอมาร่วมสนุกด้วยคน!”
ต้วนฉิงรีบออกไปปรากฏร่างอยู่ที่ด้านนอกตำหนักไร้หทัยทันทีพร้อมกับตะโกนว่า “ไสหัวไปซะ!”
ส่วนบรรดาผู้ที่ยังคงอยู่ในตำหนักไร้หทัย จักรพรรดินีฟีนิกซ์เป็นคนแรกที่ปรากฏกายออกมาจากตำหนักไร้หทัย จากนั้นหลังจากที่นางมองไปที่ซวนหู่ นางจึงตะคอกใส่ต้วนฉิงว่า “จงจำไว้ ข้ายังไม่จบเรื่องกับพวกเจ้าตำหนักไร้หทัย!”
เมื่อพูดจบ นางใช้มือตบไปที่หัวของกิเลนด้วยความโมโห จากนั้นนางก็บินจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อจู่ ๆ ก็ถูกตบเช่นนี้ กิเลนก็รู้สึกโมโหทันทีพร้อมกับคิดในใจ “เจ้ามาตีข้าทำไม? ข้าไม่ใช่คนที่สร้างปัญหาให้กับเจ้าสักหน่อย นังนกบ้า!”
หลังจากที่จักรพรรดินีฟีนิกซ์จากไป บรรดาคนอื่น ๆ ต่างก็พากันจากไปโดยไม่เอ่ยคำร่ำลาอะไรทั้งนั้นเหลือแต่เพียงคนสุดท้ายก็คือ เจ้าแห่งพรตเต๋า ฉิงอี้ ซึ่งก่อนที่เขาจะจากไปเขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะกลับมาคิดบัญชีกับพวกเจ้า!”
เมื่อเห็นว่าคนอื่น ๆ จากไปหมดแล้ว ซวนหู่ก็ไม่กล้าที่จะรั้งอยู่อีกต่อไป เขารีบบินหายไปในทันทีพร้อมกับฝากเสียงหัวเราะอันเย็นยะเยือกเอาไว้