พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 635 ยุคแห่งสันเขาหมื่นอสูร
ไม่มีใครนึกฝันว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอาณาเขตนภาได้ขนาดนี้
ตั้งแต่แรกเริ่มอาณาเขตนภาถูกแบ่งเอาไว้ด้วยอาณาจักรใหญ่ ๆ หลายอาณาจักร เช่น อาณาจักรเลือดทระนง อาณาจักรนภาจรัสแสง อาณาจักรอี้จิ๋น อาณาจักรอ้าวเทียน อาณาจักรมังกรทะยาน ราชวงศ์เหมันต์ หอการค้าเชื่อมสวรรค์ที่ทำตัวเป็นกลาง และทะเลชางหมางที่แปลกประหลาด
เพราะผนึกปริศนาที่ปกคลุมทะเลชางหมางเอาไว้ ผู้คนมากมายจึงพยายามเข้าไปสืบหาความลับที่ซ่อนอยู่ของมัน แต่มันก็ไม่มีใครหาอะไรเจอเป็นชิ้นเป็นอัน
แต่แล้วเมื่อผนึกของมันถูกคลายออก มันก็มีผู้คนมากขึ้นที่พยายามเข้าไปสืบหาความลับมากขึ้น
แต่การที่บรรดาผู้คนเข้าไปในทะเลชางหมางเช่นนี้มันก็เท่ากับว่าเป็นการล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตของอาณาจักรจันทราเช่นกัน เนื่องจากอาณาจักรจันทราได้ทำการควบรวมทุกเกาะในทะเลชางหมางเป็นของตนเองจนหมดแล้ว
แต่ถึงแม้ว่าเหล่าผู้คนจะรู้ว่าในตอนนี้พื้นที่ของทะเลชางหมางทั้งหมดจะเป็นของอาณาจักรจันทรา แต่มันก็ไม่มีใครให้ความสนใจอะไร
ทางด้านของอาณาจักรจันทราเองเมื่อมีคนบุกเข้ามาในเขตแดนของตัวเองมากขนาดนี้ก็ไม่มีท่าทีตอบโต้อะไรออกไปเหมือนกัน
เนื่องจากในเวลานั้นบรรดาตัวตนระดับสูงของอาณาจักรจันทราจันทราทั้งหมดต่างไปรวมตัวกันอยู่ที่คฤหาสน์สราญรมย์เพื่อปกป้องหลิงตู้ฉิง
ดังนั้นอาณาจักรจันทราในเวลานั้นจึงพูดได้ว่าตกอยู่ในสภาพ ‘เละเทะ’
สถานการณ์ที่เละเทะเช่นนี้ดำเนินไปถึง 7-8 ปี ซึ่งมันส่งผลให้คนในอาณาจักรจันทราต้องล้มตายไปจากการถูกกดขี่โดยคนนอกเป็นจำนวนมาก
แต่แล้วสถานการณ์ทุกอย่างก็กลับตาลปัตรอีกครั้งเมื่อเข้าปีที่ 10
จู่ ๆ คนของสันเขาทรราชก็ถอนตัวออกจากอาณาเขตนภาและปล่อยให้อาณาจักรจันทราเข้าครอบครองอาณาจักรเลือดทระนง ซึ่งนับได้ว่าเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาเขตนภา
จากนั้นเมื่ออาณาจักรเลือดทระนงถูกยึดครองโดยอาณาจักรจันทราเรียบร้อย หลิงยี่เทียนก็เริ่มทำการกวาดล้างเหล่าขุมกำลังภายนอกทั้งหมดที่เข้ามายุ่มย่ามในอาณาจักรของเขาทันที
ด้วยการนำของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันและจักรพรรดิหลายคนและเหล่าแม่ทัพที่อาจหาญรวมไปถึงกองทหารนับล้านที่เคยเป็นของอาณาจักรเลือดทระนงที่ถูกทิ้งไว้ให้โดยตระกูลเทียน หลิงยี่เทียนจึงสามารถปราบปรามและจับกุมคนของขุมกำลังภายนอกได้อย่างง่ายดายทั้งหมด ซึ่งจำนวนของคนที่เขาจับกุมได้นั้นมีนับล้านคนและรวมไปถึงสมบัติอีกมากมายที่ถูกทิ้งไว้โดยเหล่าผู้รุกรานที่หนีไปได้
หลังจากประสบความสำเร็จกับการกวาดล้าง หลิงยี่เทียนและหลิงว่านจุนก็เริ่มเสริมทัพของตนเองใหม่อีกรอบโดยการใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่ยึดมาได้และเลือกเหล่าทหารที่เคยเป็นของอาณาจักรเลือดทระนงที่ฝีมือดีให้มาเข้าร่วมกับกองทัพมังกร
แค่เพียงในเวลาสั้น ๆ กองทัพมังกรก็ขยายกำลังพลออกไปจนมีจำนวนอยู่ที่ 100,000 คน ส่งผลให้ความแข็งแกร่งของกองทัพมังกรเมื่อเปิดใช้งานค่ายกลรบไปแตะอยู่ที่ระดับเหนือล้ำ ซึ่งพลังระดับนี้แน่นอนว่ามันยังคงไม่เพียงพอที่จะเผชิญกับภัยคุกตามในอนาคต
ดังนั้นหลิงว่านจุนจึงเรียกกองทัพของเขากลับไปที่เมืองจันทรา เพื่อเก็บตัวบ่มเพาะอย่างลับ ๆ ด้วยเนื้อของอสูรงูและอสูรช้างขอบเขตมหาจักรพรรดิที่พ่อเขาแบ่งให้ ซึ่งมันมากพอที่จะให้กองทัพของเขาได้กินครบหมดทุกคน
แต่เนื่องจากเนื้อของอสูรขอบเขตมหาจักรพรรดินั้นมีพลังมากจนเกินไป ซึ่งต่อให้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์สามัญก็ไม่อาจกินมันได้ครั้งละมากนัก ดังนั้นกองทัพมังกรของหลิงว่านจุน จึงต้องค่อย ๆ กินมันทีละน้อย ๆ ในทุก ๆ วัน พลางบ่มเพาะไปด้วย เพื่อหวังว่าจะได้เห็นผลลัพธ์อันน่าตื่นตะลึงในอนาคต
จากนั้น 2 ปีถัดมา จู่ ๆ ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในอาณาจักรอี้จิ๋น เนื่องจากบรรดาผู้คนของสำนักเบญจธาตุ จู่ ๆ กลับประกาศขึ้นมาว่าจะกลับสำนักและสละสิทธิ์การครอบครองอาณาจักรโดยไม่ระบุว่าจะส่งมอบต่อให้ใคร
แน่นอนว่าการประกาศเช่นนี้มันทำให้อาณาจักรอี้จิ๋นตกอยู่ในความวุนวายทันที
เนื่องจากสีจิ้งหมิงนั้นไม่พอใจในหลิงตู้ฉิง แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่อาจต่อกรอะไรได้ ดังนั้นเขาจึงทำการแก้เผ็ดโดยการยอมสละอาณาจักรอี้จิ๋นให้ตามสัญญา แต่เขาก็ไม่ได้ช่วยหลิงยี่เทียนในการส่งต่อการปกครองต่อเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อจู่ ๆ จักรพรรดิของตนเองและบรรดาคนของสำนักเบญจธาตุจากไปอย่างกะทันหัน เหล่าผู้คนของอาณาจักรอี้จิ๋นที่มีอยู่หลายฝ่ายจึงพากันเริ่มทำตามใจตัวเองและขัดแย้งกันในทันที
บางกลุ่มก็แยกตัวเองไปเข้าร่วมกับอาณาจักรอ้าวเทียน บางกลุ่มก็แยกไปเข้าร่วมกับ อาณาจักรมังกรทะยาน และแน่นอนว่าบางกลุ่มก็มาเข้าร่วมกับอาณาจักรจันทราด้วยเช่นกัน
แต่เพราะชื่อเสียงของอาณาจักรจันทราที่เพิ่งจะโด่งดังขึ้นและความแข็งแกร่งที่ยังไม่ถูกเปิดเผยทั้งหมดแถมผู้คนยังเข้าใจไปว่าอาณาจักรจันทรานั้นไม่มีผู้ใดให้การหนุนหลัง ผู้คนของอาณาจักรอี้จิ๋นส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะไปเข้าร่วมกับอาณาจักรมังกรทะยานและอาณาจักรอ้าวเทียนมากกว่า
ดังนั้นความแข็งแกร่งของอาณาจักรมังกรทะยานและอาณาจักรอ้าวเทียนจึงทะยานพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้าภายในเวลาสั้น ๆ ทันที
ความเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ของสมดุลอำนาจ มันจึงส่งผลให้บรรดาอาณาจักรอื่นที่เล็ก ๆ เริ่มตื่นตัวและเริ่มสะสมกำลังพลมากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าหลังจากที่อาณาจักรใหญ่ ๆ ได้ทำการจัดระเบียบทรัพยากรที่ได้รับมาเพิ่มจนเสร็จหมดแล้ว มันจะต้องมีสงครามใหญ่ตามมาอย่างแน่นอน
แต่มันก็ยังมีบางอาณาจักรที่เก็บตัวเงียบไม่เคลื่อนไหวอะไรเลยเช่นกัน ซึ่งอาณาจักรนั้นก็คืออาณาจักรนภาจรัสแสง
เหตุผลที่อาณาจักรนภาจรัสแสงไม่เคลื่อนไหวใด ๆ เลยก็เพราะว่าก่อนหน้านี้ตัวตนระดับสูงของพวกเขาทั้งหมดที่เป็นคนของตำหนักแสงศักดิ์สิทธิ์กลับถูกสังหารจนไม่เหลือในทะเลชางหมาง ซึ่งปัจจุบันนี้พวกเขายังคงเก็บเป็นความลับเงียบเอาไว้ จะมีก็แต่ข่าวลือที่ไม่มีใครออกมายืนยัน
ด้วยความสูญเสียของพวกเขาขนาดนี้ มันจึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไรเพราะพวกเขารู้ตัวดีว่าสู้กับอาณาจักรอื่น ๆ ไม่ได้แน่นอน
ส่วนทางด้านของหอการค้าเชื่อมสวรรค์นั้นด้วยความเป็นกลางของพวกเขาแถมยังเคยติดต่อมีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง หลิงยี่เทียนจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร ส่วนราชวงศ์เหมันต์นั้นด้วยความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ใกล้ชิดกับลั่วหยุน ดังนั้นหลิงยี่เทียนจึงใช้โอกาสนี้ที่ถือว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันขอเจรจามอบสิทธิ์ในการสำรวจเกาะในทะเลชางหมางได้ 8 เกาะ เพื่อแลกกับกองกำลังทั้งหมดของราชวงศ์เหมันต์ที่มีอยู่ในอาณาเขตนภา
ในระหว่างที่หลิงยี่เทียนกำลังง่วนอยู่กับการจัดการปัญหาต่าง ๆ ในอาณาเขตนภาอยู่นั้น เขาก็ไม่ได้รู้เลยว่าหายนะใหญ่กำลังมาเยือนเขาอีกรอบ
หายนะใหญ่ที่กำลังมาเยือนนี้ไม่ใช่จากใครอื่นนอกซะจากสันเขาหมื่นอสูรนั่นเอง
เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วที่บรรดาอสูรของสันเขาหมื่นอสูร 1,000 ตนบุกไปหาหลิงยี่เทียน และได้ถูกฆ่าตายทั้งหมด ข่าวนี้มันทำให้พวกระดับสูงในสันเขาหมื่นอสูรโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าก่อนหน้าเหตุผลการรบของพวกสันเขาหมื่นอสูรจะเป็นเรื่องของเกียรติแห่งเผ่าพันธุ์อสูรปีศาจ แต่ในตอนนี้มันกลับกลายเป็นเรื่องของความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ทั้งหมด
อสูรกว่า 1,000 ตนกลับถูกฆ่าตายง่าย ๆ แบบนี้ได้ยังไง?
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาก่อนหน้านี้พวกมันไม่เคยเสียหายมากขนาดนี้มาก่อน
ดังนั้นในครั้งนี้บรรดาเหล่าตัวตนระดับสูงของสันเขาหมื่นอสูรจึงตื่นตัวกันในทันที
“เราจะยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปไม่ได้!” หนึ่งในตัวตนระดับสูงของสันเขาหมื่นอสูรเอ่ยขึ้น
“ไม่ว่ามันจะเป็นใครที่หนุนหลังทะเลชางหมางอยู่ พวกเราต้องกำจัดมันออกไปในทันที!”
“ในเมื่อตอนนี้ผนึกของทะเลชางหมางหายไปแล้ว ดังนั้นพวกเราควรจะรีบลงมือกวาดล้างพวกมันให้เร็วที่สุดด้วยกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเราทั้งหมดที่จะสามารถส่งออกไปได้ เพื่อเป็นการเตือนให้ขุมกำลังอื่น ๆ ได้รู้ไว้ว่าไม่ควรจะล่วงเกินพวกเรา!”
โอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป้ง พูดขึ้นแทรกด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม “ไหน ๆ ในรอบนี้พวกเราก็จะแสดงให้ทุกชีวิตทั่วโลกเห็นแล้วว่าพวกเรายิ่งใหญ่แค่ไหน ดังนั้นพวกเราควรจะคิดบัญชีทั้งของศัตรูเก่าและศัตรูใหม่ไปเลยในทีเดียว เป้าหมายแรกของพวกเราคือทะเลชางหมาง ในเมื่อพวกมันกล้าหยามเกียรติเรามาหลายต่อหลายรอบ รอบนี้พวกเราจะทุ่มสุดตัว ซึ่งข้าขอแจ้งเอาไว้ตรงนี้เลยว่าเผ่าไหนที่เข้าร่วมการบุกครั้งนี้ ข้าจะอนุญาตให้เผ่านั้นสามารถจับมนุษย์ที่อยู่ในทะเลชางหมางกินได้อย่างไม่อั้น!”
“และเป้าหมายถัดมาของพวกเราคือไอ้เด็กที่เป็นเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิดและทายาทของเทพกระบี่ ซึ่งเป็นศัตรูเก่าของเรา อันดับแรกพวกเราต้องทำให้สำนักวิญญาณกระบี่ตัดขาดจากไอ้เด็กที่เป็นเทพกระบี่ที่กลับชาติมาเกิดซะ ส่วนทายาทของเทพกระบี่ ข้าคงต้องขอความช่วยเหลือจากเหล่าผู้อาวุโสให้ไปสังหารพวกมันให้หมด!”
“ในเมื่อยุคนี้มันไม่มีใครกล้าพอที่จะเริ่มบรรเลงกลองรบสักที งั้นให้พวกเราเหล่าอสูรเป็นผู้ลั่นกลองรบเป็นผู้แรก เพื่อประกาศศักดาว่ายุคนี้มันคือยุคของพวกเราก็แล้วกัน!”
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป้ง บรรดาผู้อาวุโสของแต่ละเผ่าต่างก็เริ่มเอ่ยปากเข้าร่วมทันที
ท้ายที่สุดทุกเผ่าต่างก็เอ่ยปากเข้าร่วมทั้งหมด เนื่องจากพวกเขาไม่อยากจะพลาดโอกาสการได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งคุนเป้ง ซึ่งมันจะส่งผลให้ในอนาคตของพวกเขาจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก
และก่อนที่การประชุมจะจบลง อสูรปีศาจระดับสูง 2 ตนที่อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิก็ลุกขึ้นและเอ่ยว่า “พวกข้าจะเป็นคนไปจัดการเรื่องของเทพกระบี่เอง!”