พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 637 กระบี่พิภพสังหาร
หลูหมิง คืออสูรกวางขอบเขตมหาจักรพรรดิที่มีภารกิจมาที่อาณาเขตสุสานกระบี่เพื่อสังหารเหล่าทายาทของเทพกระบี่
ในอดีตเขาได้ยินมาตลอดว่าที่นี่มีทายาทของเทพกระบี่อาศัยอยู่ แต่มันก็เป็นเพียงข่าวลือ ซึ่งไม่สามารถยืนยันได้จริง ๆ
แต่เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา กลับมีผู้ยืนยันได้แล้วจริง ๆ ว่าทายาทของเทพกระบี่เป็นใคร
สถานที่แรกที่หลูหมิงแวะเมื่อเขามาถึงอาณาเขตสุสานกระบี่ก็คือ จุดที่ตั้งของสุสานเทพกระบี่
แต่เมื่อเขามาถึงและได้เห็นอักษรที่ถูกจารึกไว้บนหน้าผา เขาก็แสงสีหน้าเย้ยหยัน แต่แน่นอนว่าเขาไม่เข้าไปด้านในสุสาน เนื่องจากภารกิจของเขาที่มาที่นี่นั้นไม่ใช่การทำลายสุสาน แต่เป็นการสังหารเหล่าทายาทของเทพกระบี่ให้หมด
“มู่จางหมิง?” หลูหมิงแสดงสีหน้าเยาะเย้ย “ในเมื่อเจ้าตายไปแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นจะต้องใส่ใจคนตายอย่างเจ้า ในอีกไม่ช้าพวกของข้าจะสังหารร่างที่เกิดใหม่ของเจ้า ส่วนทายาทของเจ้า ข้าผู้นี้จะเป็นคนสังหารพวกมันทั้งหมดเอง!”
หลูหมิงมองไปที่อักษรที่ถูกจารึกเอาไว้อีกครั้งด้วยสีหน้าไม่อยากจะยินยอม อันที่จริงเขาเองก็อยากจะบุกเข้าไปด้านในสุสานและทำลายมันทิ้งเพื่อเหยียบย่ำข้อความที่ดูโอหังให้มันย่อยยับ แต่ในใจลึก ๆ ของเขาก็ไม่กล้า ดังนั้นเขาจึงทำได้แต่กัดฟันกรอด ๆ
แน่นอนว่าเขาเห็นป้ายหลุมศพของมหาจักรพรรดิอุปราคาที่ถูกสร้างขึ้นโดย มู่หยุนชาน เช่นกัน
“มหาจักรพรรดิที่ไหนมาถูกฝังอยู่แถวนี้ล่ะเนี่ย? น่าอดสูขนาดนี้ไม่ควรได้รับฉายาเป็นมหาจักรพรรดิเลยจริง ๆ” หลูหมิงอดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าล้อเลียน
หลูหมิงไม่รู้ว่ามหาจักรพรรดิอุปราคานั้นเป็นใคร ดังนั้นเขาจึงล้อเลียนโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก
หลังจากนั้นเขาก็หันหลังและบินไปยังสำนักกระบี่เอกภพ
ตามข้อมูลที่เขาได้รับมา ทายาทของเทพกระบี่ทั้งหมดนั้นคือผู้คนของสำนักกระบี่เอกภพ
ในระหว่างที่หลูหมิงกำลังบินไปที่สำนักกระบี่เอกภพ เขาก็ปลดปล่อยกลิ่นอายของเขาโดยไม่ปกปิดมันอีกต่อไป
เขาไม่มีความกลัวต่อเหล่าผู้คนของสำนักกระบี่เอกภพแม้แต่น้อย เพราะจากข้อมูลที่เขาได้รับมา สำนักกระบี่เอกภพนั้นไม่ใช่สำนักที่มีมหาวิถีเต๋าของตนเอง ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครที่แข็งแกร่งกว่าเขาอยู่ในสำนัก
เมื่อเห็นว่าสำนักกระบี่เอกภพอยู่อีกไม่ไกล หลูหมิงจึงตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เหล่าทายาทเทพกระบี่ วันนี้ข้าจะสังหารพวกเจ้าทั้งหมดให้ตายอย่างน่าอนาถเพื่อสังเวยให้กับดวงวิญญาณของพวกข้าที่ล้มตายลงไปโดยคมกระบี่ของบรรพบุรุษพวกเจ้า!”
หลูหมิงไม่รีบร้อนเลยแม้แต่น้อย เขาค่อย ๆ เดินช้า ๆ เข้าไปหาสำนักกระบี่เอกภพและค่อย ๆ กลายร่างของตัวเองให้กลายเป็นกวางขนาดมหึมาและปล่อยกลิ่นอายของตัวเองปกคลุมสำนักกระบี่เอกภพเอาไว้ทั้งหมด
ทางด้านของสำนักกระบี่เอกภพ เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอสูรปีศาจอันรุนแรง พวกเขาก็ตื่นตัวในทันที
“เปิดใช้ค่ายกลป้องกันสำนักเดี๋ยวนี้!” มู่เทียนหยูตะโกนขึ้นทันที
มู่หยุนชาน ในตอนนี้ก็ออกมาดูสถานการณ์เช่นกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่านพ่อ ท่านพอจะจัดการมันได้ไหม?” มู่ว่านชิวถามไปที่มู่หยุนชาน
มู่หยุนชานตอบกลับ “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล พวกเรายังมียันต์สั่งสวรรค์ที่ผนึกพลังของท่านลุงเอาไว้ 3 ครั้งที่เขาเคยให้ไว้กับพวกเรา ไม่ว่าผู้ที่บุกมาจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน พวกเราก็ฆ่าพวกมันได้ 3 รอบ!”
มู่ว่านชิวและมู่เทียนหยูต่างเผยรอยยิ้มขมขื่น ถึงแม้ว่าพลังที่หลิงตู้ฉิงจะมอบไว้ให้พวกเขาป้องกันตัวมันจะทรงอำนาจมาก แต่มันก็เป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป ดังนั้นเมื่อไหร่ที่พวกเขาใช้มันหมด มันก็จะหมายความว่าสำนักของพวกเขาไม่เหลือตัวช่วยอีกต่อไปแล้ว
ในท้ายที่สุดปัญหาของพวกเขามันก็ยังคือการที่สำนักของพวกเขายังไม่มีรากฐานที่มั่นคงเพียงพอ
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีผู้เชี่ยวชาญระดับสูงอยู่หลายคนก็จริง แต่ถ้าเทียบความแข็งแกร่งกันตัวต่อตัวแล้ว เหล่าอสูรปีศาจมันแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเขา
ดังนั้นรากฐานทั้งหมดของสำนักพวกเขาในตอนนี้ก็มีเพียงแค่ยันต์สั่งสวรรค์ 3 อันที่หลิงตู้ฉิงให้มาก็เท่านั้น ซึ่งถ้าไม่ถึงวิกฤตเป็นตายจริง ๆ พวกเขาก็ไม่อยากจะใช้มันเลย
แต่ว่าในเมื่อตอนนี้อสูรกวางขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นปลายมาบุกพวกเขาแบบนี้ พวกเขาอาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องใช้ยันต์สั่งสวรรค์ที่หลิงตู้ฉิงเคยมอบให้
มู่หยุนชานตะโกนขึ้นสั่งผู้คนของเขา “ผู้ใดที่ยังมีระดับการบ่มเพาะไม่ถึงขอบเขตจักรพรรดิถอยกลับเข้าไปในสำนักเดี๋ยวนี้!”
ต่อให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิจะไม่สามารถต่อกรกับอสูรกวางตนนี้ได้ แต่มันก็ไม่ถึงกับจะถูกสังหารได้ภายในพริบตา ดังนั้น มู่หยุนชานจึงยังคงอนุญาตให้คนที่มีขอบเขตจักรพรรดิขึ้นไปอยู่ดูสถานการณ์ต่อได้
เมื่อได้รับคำสั่ง บรรดาคนของสำนักกระบี่เอกภพจำนวนมากก็พากันถอยกรูดเข้าไปในสำนักจนหมดเหลือแค่เพียงมู่ว่านชิวและมู่เทียนหยูเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ข้างมู่หยุนชาน
“ท่านพ่อ ท่านจะใช้ยันต์สั่งสวรรค์ที่ท่านลุงมอบเอาไว้ให้รึเปล่า?” มู่ว่านชิวเอ่ยถามขึ้น
มู่หยุนชานส่ายหัวและเอ่ยขึ้นช้า ๆ “พวกเราต้องพยายามพึ่งตัวเองจนสุดความสามารถก่อน ถ้าไม่มีทางเลือกจริง ๆ เราค่อยใช้มัน มันคือสมบัติที่รับประกันความอยู่รอดของพวกเรา หากใช้มันไปจนหมดเมื่อไหร่ อนาคตพวกเราคงอยู่ได้อีกไม่นาน”
“ถ้างั้นพวกเราจะทำยังไงกันต่อดี?” มู่ว่านชิวถามขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
มู่หยุนชานตอบกลับ “ท่านลุงได้สอนท่าไม้ตายพ่อมา 3 กระบี่ หลังจากที่พ่อศึกษามันมาร้อยปี ในที่สุดพ่อก็เข้าใจ 1 หนึ่งใน 3 กระบี่นั้น ดังนั้นในครั้งนี้พ่อจะลองใช้กระบี่นั้นดู!”
“แต่จากที่ข้าดูแล้วอสูรกวางตัวนั้นน่าจะแข็งแกร่งกว่าท่านไม่ใช่น้อยเลย ท่านแน่ใจใช่ไหมว่าจะจัดการมันได้?” มู่ว่านชิวถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล
มู่หยุนชานตอบกลับทันที “ข้าจำเป็นต้องจัดการกับมันให้ได้! ไม่ว่าจะยังไงพวกเราจำเป็นต้องใช้ความแข็งแกร่งของพวกเราเองในการยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้”
ในระหว่างที่คู่พ่อลูกกำลังคุยกันอยู่ หลูหมิงก็ได้เดินมาถึงหน้าประตูสำนักกระบี่เอกภพเรียบร้อย มันมองไปที่พ่อลูกทั้งสาม และเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหยอกล้อว่า “โอ้ พวกเจ้าไม่หนีจริง ๆ ด้วย ข้าก็นึกว่าข้าจำเป็นต้องไล่ล่าพวกเจ้าทีละคน ๆ เหมือนแมวล่าลูกหนูซะแล้ว!”
แต่เมื่อมันพูดจบและยังเห็นท่าทีของทั้งสามพ่อลูกไม่ได้ดูตื่นตระหนกเลยสักนิด หลูหมิงก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจ
ในตอนแรกก่อนที่มันจะมาถึงมันคิดในใจเอาไว้ว่า เมื่อคนพวกนี้เห็นการปรากฏกายของมัน คนพวกนี้จะต้องตกอยู่ในการตื่นตระหนกวิ่งหนีกันเป็นพัลวัน
แต่ว่าสิ่งที่มันได้เห็นในตอนนี้ก็คือทั้งสามพ่อลูกมีอาการออกทางสีหน้าแค่ลังเลและมุ่งมั่น
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
หรือว่าทั้งสามคนพ่อลูกนี้ตั้งใจว่าจะต่อสู้กับเขา?
หลูหมิงรู้สึกดูถูกในใจ
มู่หยุนชานตอบกลับด้วยสีหน้าดุดัน “พวกเจ้าเผ่าอสูรปีศาจมันก็เป็นแค่สัตว์เดรัจฉานเท่านั้น ในอดีตพ่อของข้าสังหารพวกเจ้าไปมากมาย ดังนั้นทำไมพวกข้าจะต้องหนีเจ้าด้วย?”
หลูหมิงจ้องไปที่มู่หยุนชานด้วยสายตาเย็นชาและพูดว่า “ที่แท้เจ้าก็เป็นลูกของไอ้สารเลวนั่นสินะ? ไอ้พ่อสารเลวของเจ้าในอดีตมันยังไม่เคยกล้าพูดจาดูหมิ่นพวกข้าแบบนี้มาก่อน หากพ่อของเจ้าเก่งจริงทำไมมันถึงไม่เคยมาบุกสันเขาหมื่นอสูรของพวกข้าบ้างล่ะ? แล้วทำไมไอ้พ่อสารเลวของเจ้าที่เจ้าว่าเก่งนักเก่งหนาทำไมมันถึงนอนเป็นศพอยู่ในสุสาน? ในเมื่อพวกเจ้าเทิดทูนไอ้แก่นั่นมากขนาดนี้ เดี๋ยวข้าจะส่งพวกเจ้าไปอยู่กับไอ้แก่นั่นในนรกก็แล้วกัน!”
มู่หยุนชานตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “ก็พ่อของข้าถูกลอบโจมตีจากกลุ่มคนสารเลวบางกลุ่มที่พวกเจ้าก็น่าจะรู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น ส่วนตัวเจ้าเองหากเจ้าเก่งจริงทำไมถึงไม่กล้าบุกเข้าไปในสุสานพ่อของข้าล่ะ เมื่อครู่เจ้าเองก็มาจากสุสานพ่อของข้าไม่ใช่เหรอไง?”
“ในตอนที่พ่อของข้ามีชีวิต พวกเจ้าก็ไม่อาจต่อกรกับเขาได้ พอมาถึงตอนนี้ที่พ่อของข้าตายไปนับหมื่นปีเจ้าก็ยังไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับพ่อของข้าในสุสานอีก เจ้าน่ะมันก็แค่อสูรแก่ขี้ขลาด กล้ามาคิดบัญชีแต่กับคนที่เจ้าคิดว่าอ่อนแอกว่า ข้าบอกเลยว่าครั้งนี้เจ้าคิดผิดแล้วที่มาหาพวกข้า เพราะในวันนี้ข้าจะเป็นคนสังหารเจ้าให้ตายคามือ!”
หลูหมิงเยาะเย้ย “เจ้านี่มันปากดีจริง ๆ เจ้ามันก็แค่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิขั้นกลางเท่านั้น เจ้าคิดเหรอว่าเจ้าจะสู้ข้าได้? แต่ไม่ต้องเป็นกังวล หลังจากที่ข้าฆ่าเจ้าเสร็จแล้ว ข้าจะไม่ฆ่าลูกหลานของเจ้าไปจนหมดหรอก ข้าจะเก็บพวกมันไว้บางส่วนเพื่อเอากลับไปเลี้ยงดูให้มันออกลูกออกหลานมา จากนั้นข้าก็จะค่อย ๆ จับพวกมันกินไปเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าเผ่าของข้าคือเผ่ากวาง แต่พวกข้าก็ยังคงชอบกินมนุษย์เช่นกัน เจ้ารู้ใช่ไหม?”
มู่หยุนชานยิ้มและตอบกลับว่า “เจ้าไม่มีโอกาสนั้นหรอก! มันเป็นฝั่งของข้าต่างหากที่ในวันนี้จะได้ลิ้มรสเนื้อกวางขอบเขตมหาจักรพรรดิ อ๋อแล้วอีกอย่าง ข้าขอขอบคุณเจ้าจริง ๆ ที่คุยกับข้าซะยืดยาว จนทำให้ข้ามีเวลาเตรียมพร้อมใช้กระบี่ของข้าได้สำเร็จ เอาล่ะตอนนี้ ให้ข้าแสดงให้เจ้าดูว่า กระบี่พิภพสังหาร ที่ข้าได้เรียนรู้มามันน่ากลัวแค่ไหน!”