พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 649 เข้าสู่แดนกระดูกขาว
จ้าวเหมิงลู่และคนอื่น ๆ ที่ยังอยู่ในอาณาเขตเอ้อหลง ต่างก็รอการกลับมาของหลิงตู้ฉิงอย่างใจจดใจจ่อ
ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาใช้เวลารอกว่า 8 วัน ซึ่งจู่ ๆ รอยแยกของมิติก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาและภาพที่พวกเขาเห็นก็คือ หลิงตู้ฉิงได้พาหลิงฟ่างหัวและหยูเจิ้นไห่เดินออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ
“ท่านพ่อในที่สุดท่านก็กลับมา!” หลิงไช่หยุนตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบาน “พี่ห้า ท่านนี่สุดยอดไปเลย ท่านส่งภูเขาเอ้อหลงทั้งลูกเข้าไปในรอยแยกมิติได้จริง ๆ ด้วย!”
หลงเฉินที่อยู่ด้านข้างก็มองไปที่หลิงฟ่างหั ด้วยสายตาหดหู่จนพูดไม่ออก เนื่องจากบ้านเกิดของเขาถูกทำให้หายไปโดยหลิงฟ่างหัว
หลิงตู้ฉิงมองไปที่หลิงไช่หยุน และพูดว่า “อย่าเพิ่งรบกวนพี่ของเจ้าตอนนี้ พี่ของเจ้าต้องการความสงบเพื่อทำความเข้าใจสิ่งที่นางได้บรรลุมาก่อนหน้านี้”
ในระหว่างที่พูด หมิงยู่ก็แยกร่างของนางออกมาจากหลิงตู้ฉิง
ร่างโลหิตอมตะของนางในตอนแรกที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับสวรรค์สมบูรณ์หรือขอบเขตสวรรค์ระดับ 8 หลังจากหมดพลังไปกับการท่องห้วงอวกาศกับหลิงตู้ฉิง ตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของร่างโลหิตอมตะเหลือเพียงระดับสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดหรือขอบเขตสวรรค์ระดับ 6 เท่านั้น
แต่แน่นอนว่านางก็ได้รับประโยชน์จากหลิงตู้ฉิงเช่นกัน ในระหว่างที่นางรวมร่างเข้ากับหลิงตู้ฉิง เพราะนางได้เห็นคาถาต่าง ๆ ที่หลิงตู้ฉิงใช้หลายอย่างซึ่งมันถือว่าเป็นความรู้ที่ประเมินค่าไม่ได้
หลังจากนั้น หลิงตู้ฉิงพูดกับหลิงฟ่างหัวว่า “เจ้าเข้าไปในรถมังกรและเก็บตัวพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เจ้าเห็นมาก่อนหน้านี้เพื่อเอามาพัฒนาพลังกฎแห่งมิติของเจ้าซะ หลงเฉิน เฟิง มุ่งหน้าไปที่ภูเขาฟีนิกซ์!”
เสี่ยวเยว่เฟิงรีบตอบรับทันที “รับทราบนายท่าน!”
นางคือคนของภูเขาฟีนิกซ์มาก่อน ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็นที่จะต้องมานั่งหาเส้นทางไปภูเขาฟีนิกซ์ เนื่องจากนางรู้เส้นทางดีอยู่แล้ว
ส่วนทางด้านของหลงเฉินนั้นเศร้าสลดอยู่ได้สักพักก็ทำใจได้ จากนั้นเขาก็หันมาลากรถมังกรอย่างตั้งใจต่อ
เขาปลงตกว่าดวงชะตาพวกของเขาคงไม่มีบุญพอจะได้รับประโยชน์แบบเขา
ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังลากรถมังกรไปยังภูเขาฟีนิกซ์ ทุก ๆ คนต่างก็เข้าสู่สภาวะเก็บตัวบ่มเพาะ
หลิงฟ่างหัวเก็บตัวทำความเข้าใจในสิ่งที่นางเห็นมาเพื่อเอามาพัฒนาเต๋าแห่งมิติ ส่วน หลิงไช่หยุน เมื่อนางได้ยินว่าตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของหวงเซียะได้ทะลวงไปถึงสวรรค์สามัญแล้ว นางก็พยายามบ่มเพาะอย่างบ้าคลั่งเพื่อลดช่องว่างให้ได้มากที่สุด เนื่องจากตอนนี้นางยังอยู่แค่ขอบเขตนภาระดับ 5
ส่วนทางด้านของเสี่ยวเยว่เฟิงและเสี่ยวหลิงเฟิง ยิ่งพวกนางเข้าใกล้กับภูเขาฟีนิกซ์มากเท่าไหร่ พวกนางก็รู้สึกกระวนกระวายมากเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ในอดีตตอนที่พวกนางพัวพันอยู่กับครอบครัวหนิงเฟิง ซึ่งในตอนที่พวกนางกำลังหลบหนี มันมีกลุ่มคนบางกลุ่มของพวกนางที่ยอมสละตัวเองอยู่รั้งท้ายเพื่อคอยถ่วงเวลาเหล่าผู้คนที่ตามล่าพวกนาง ซึ่งในกลุ่มคนพวกนั้นก็มีพ่อแม่ของนางรวมอยู่ด้วย
หลายปีที่ผ่านมานี้พ่อแม่ของพวกนางจะยังมีชีวิตรอดอยู่ไหม? หรือตายไปแล้วตั้งแต่การหลบหนีครั้งนั้น?
สองพี่น้องได้แต่หวังว่าพ่อแม่ของพวกนางจะยังคงมีชีวิตอยู่ เนื่องจากการกลับไปที่ภูเขาฟีนิกซ์รอบนี้พวกนางจะได้กลายเป็นชนชั้นสูง ซึ่งพวกนางจะสามารถใช้สถานะของพวกนางในการช่วยเหลือครอบครัวได้
“ท่านพี่ พวกเราจะกลับไปที่เมืองเกิดของพวกเราก่อนไหม?” เสี่ยวหลิงเฟิงถามขึ้น
เสี่ยวเยว่เฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนางตอบว่า “พวกเราต้องลองถามนายท่านดูก่อนว่านายท่านจะอนุญาตไหม”
“ไม่จำเป็นต้องถามอะไรข้าเรื่องนี้!” เสียงของหลิงตู้ฉิงดังขึ้น “หากเจ้าต้องการจะไปแวะที่เมืองขนนกอัคคี ถ้างั้นพวกเราก็มุ่งหน้าไปที่เมืองขนนกอัคคีก่อน! อันที่จริงข้าเองก็เคยไปเยือนเมืองขนนกอัคคีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อในอดีต ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าตอนนี้ข้าจะได้มีโอกาสไปเยือนมันอีกรอบหนึ่ง”
“ขอบคุณนายท่าน!” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าซาบซึ้ง จากนั้นนางถามขึ้นด้วยความสงสัย “ว่าแต่นายท่านเคยไปเยือนที่เมืองขนนกอัคคีตั้งแต่เมื่อไหร่งั้นเหรอ?”
หลิงตู้ฉิงยิ้มและตอบกลับ “น่าจะประมาณเมื่อ 70,000 ปีที่แล้วล่ะมั้ง ข้าเองก็จำได้แค่คร่าว ๆ”
“แล้วนายท่านไปเยือนที่เมืองขนนกอัคคีทำไมงั้นเหรอ?” เสี่ยวเย่วเฟิงถามต่อ
หลิงตู้ฉิงถอนหายใจ “ชีวิตที่แล้วของข้าถูกประกอบด้วย 2 สิ่งเท่านั้น คือการการฆ่าและฝึกฝน เมืองขนนกอัคคีของเจ้านั้นไม่มีเคล็ดวิชาอะไรที่น่าสนใจสักเท่าไหร่ในการเอามาฝึกฝน ดังนั้นมันก็มีสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการฆ่า”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิงเช่นนี้ หลงเฉิน เสี่ยวเยว่เฟิง และคนอื่น ๆ ต่างก็พากันนิ่งเงียบ
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสันเขาทรราช
แต่สภาพของพวกเขาก็ยังดีกว่าโม่หยูถัง
ไม่ว่าภาพที่พวกเขาเคยเห็นมันจะน่ากลัวขนาดไหน พวกเขาก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วหลิงตู้ฉิงเป็นใครไม่เหมือนกับโม่หยูถังที่รู้แล้ว
โม่หยูถังเหงื่อเริ่มแตกอีกรอบเมื่อเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการสังหารของหลิงตู้ฉิง
“ท่านพ่อ ดูเหมือนว่าชีวิตก่อนหน้านี่ท่านจะชอบฆ่าคนมาก ท่านจำได้ไหมว่าท่านฆ่าไปเท่าไหร่?” หลิงฟ่างหัวปรากฏกายขึ้นที่ข้าง ๆ หลิงตู้ฉิง และถามขึ้น
ในเวลานี้ทั้งหลิงฟ่างหัวและหลิงไช่หยุนต่างก็ออกมาร่วมการสนทนาทันที เมื่อพวกนางได้ยินประเด็นการสนทนามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติของพ่อพวกนาง
หลิงตู้ฉิงครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นเขาส่ายหัว “พ่อจำไม่ได้เหมือนกัน”
ในเวลาเดียวกัน หลงเฉินก็เอ่ยเตือนขึ้น “นายท่าน พวกเรากำลังจะเข้าไปในเหวมรณะ!”
เสี่ยวเยว่เฟิงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “นายท่านเมื่อพ้นจากเหวมรณะไปแล้วถัดไปคือแดนกระดูกขาว ซึ่งพวกเราต้องระวังมันให้มาก! มันมีพวกผีร้ายและปีศาจมากมายที่อยู่ข้างใน”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะ “ไม่เป็นอะไรหรอก ด้วยการปกป้องของค่ายกลกระบี่เหินเมฆาพวกเราทุกคนจะปลอดภัย หยูเจิ้นไห่เปิดใช้ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาที”
ทางด้านของโม่หยูถังที่ได้ยินถึงชื่อแดนกระดูกขาว เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงประวัติของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งมันทำให้เขาถึงกับเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง
จ้าวเหมิงลู่ถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย “พ่อบ้านโม่ นี่เจ้าเป็นอะไร?”
โม่หยูถังเหล่มองไปที่หลิงตู้ฉิงอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นเขาก็หันกลับไปตอบว่า “นายหญิง ไม่มีอะไรหรอกข้าแค่ร้อนนิดหน่อย!”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ จ้าวเหมิงลู่ก็รู้สึกงงงัน นี่เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับเหนือล้ำ แต่เจ้ากลับเหงื่อแตกเพราะร้อนนิดหน่อย?
หลิงตู้ฉิงไม่ได้ใส่ใจอะไรกับท่าทีของโม่หยูถัง เขาพาบรรดาคนของเขาเข้าไปในแดนกระดูกขาวด้วยรอยยิ้ม
ในเวลาไม่นาน พวกเขาก็ได้เข้าไปสู่เขตแดนกระดูกขาว ในทันทีที่พวกเขาเข้าไป ทุกคนก็ได้เห็นกองกระดูกขนาดยักษ์สูงราวกับภูเขาตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
“ว้าว กระดูกนี้มันใหญ่จัง! มันเป็นกระดูกของตัวอะไรกันเนี่ย?” หลิงไช่หยุนเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตา
ก่อนที่หลิงตู้ฉิงจะทันได้ตอบ เสี่ยวเยว่เฟิงก็พูดขึ้นก่อนว่า “คุณหนู ข้าได้ยินมาว่ามันคือโครงกระดูกของราชาแห่งเผ่าปีศาจกระดูก”
“ไม่ใช่!” หลิงตู้ฉิงพูดแทรกขึ้น “นี่ไม่ใช่โครงกระดูกของเผ่าปีศาจกระดูก แต่มันคือสัตว์ประหลาดที่ถูกเผ่าปีศาจกระดูกเอามาทำให้กลายเป็นเหลือแต่กระดูก และใช้มันเพื่อการสงคราม”