พ่อเลี้ยงยอดเซียน - บทที่ 66 เทศกาลบูชาเพลิง[รีไรท์]
บทที่ 66 เทศกาลบูชาเพลิง[รีไรท์]
เมื่อได้ยินหลิงตู้ฉิงออกคำสั่ง เด็กทุกคนจึงรีบวิ่งกลับไปฝึกฝนตามเดิม รวมถึงมี่ไลที่กลับไปทำความเข้าใจเคล็ดวิชาสุริยะสาดแสงและหลิวเฟ่ยเฟ่ยที่กลับไปฝึกฝนเคล็ดดรุณีมายา
เมื่อเหตุการณ์ในลานสงบลง หลิงตู้ฉิงได้ร่ายม่านปิดกั้นเสียงอีกครั้งเพื่อแยกเขากับหลิงเทียนหยุนจากคนอื่นในลานและจึงเริ่มถ่ายทอดเคล็ดวิชาหมื่นเงามายา
ที่หลิงตู้ฉิงต้องใช้ม่านปิดกั้นเสียงจากทุกคนในลาน ไม่ใช่ว่าหลิงตู้ฉิงจะหวงวิชาแต่อย่างใด แต่เขากลัวว่าเด็ก ๆ ที่อัจฉริยะเหล่านี้จะนำเอาวิชาหมื่นเงามายาไปแอบฝึกฝนด้วยตนเอง
วิชาหมื่นเงามายานี้ไม่ใช่วิชาที่ใคร ๆ ก็สามารถฝึกฝนได้ หากพรสวรรค์ทางร่างกายไม่เหมาะสมแล้ว เมื่อดันทุรังฝึกไปจะเป็นผลเสียต่อร่างกายอย่างมหาศาล
ส่วนคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่บรรดาลูกของเขานั้น เขาไม่ห่วงเลย เพราะคนธรรมดาทั่วไปต่อให้จำเคล็ดวิชานี้ได้ขึ้นใจก็ไม่มีทางบรรลุแก่นแท้ของมันได้แน่นอน
หลังถ่ายเคล็ดวิชาให้กับหลิงเทียนหยุนเสร็จ หลิงตู้ฉิงได้กล่าวกำชับทิ้งท้าย “เทียนหยุน เจ้าห้ามถ่ายทอดวิชานี้ให้กับใครเป็นอันขาด วิชานี้เหมาะสมกับเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น หากคนอื่นนำไปฝึกฝนมันจะเป็นผลเสียต่อคนผู้นั้นอย่างใหญ่หลวง เจ้าต้องตั้งใจฝึกมันอย่างจริงจัง ด้วยวิชานี้จะทำให้เจ้าแข็งแกร่งกว่าบุคคลอื่นหลายเท่าตัว!”
“ท่านพ่อ ข้าให้สัญญาข้าจะขยันหมั่นฝึกฝน ไม่ทำให้ท่านพ่อต้องผิดหวัง” หลิงเทียนหยุนลั่นวาจาสัญญาอย่างจริงจัง
หลิงตู้ฉิงเมื่อได้ยินคำสัญญาของลูกชายจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “พ่อเชื่อในตัวเจ้า”
เมื่อกล่าวเสร็จหลิงตู้ฉิงจึงปล่อยให้หลิงเทียนหยุนไปฝึกฝนตามลำพัง จากนั้นเขาจึงทอดสายตามองไปรอบ ๆ ลาน เขามองไปยังเหล่าเด็ก ๆ ที่กำลังฝึกฝนกันอย่างขะมักเขม้นด้วยสายที่พึงพอใจ
แต่เมื่อกวาดสายตามองไปสักพัก สายตาของเขาก็ต้องหยุดลงตรงที่เด็กชายทั้งสองคน :ซึ่งกำลังห้ำหั่นกันด้วยเกมหมากรุก
สำหรับการฝึกฝนเด็กคนอื่น ๆ นอกจากสองคนนี้แล้วถือว่าง่ายกว่ามาก
อันที่จริงเขาเองก็อยากปลุกพรสวรรค์ให้กับลูกของเขาทั้งสองนี้เช่นกัน แต่ด้วยเหตุผลที่วิธีการปลุกพรสวรรค์ร่างกายของพวกเขาค่อนข้างซับซ้อนกว่าคนอื่น หลิงตู้ฉิงจึงต้องยืดเวลาเตรียมตัวออกไปอีกหน่อยเขาถึงพร้อมจะทำได้
เมื่อนึกอะไรบางอย่างออก หลิงตู้ฉิงจึงเดินเข้าไปหาหลิงว่านจุนและหลิงยี่เทียนที่กำลังจะเริ่มหมากตาใหม่ เขาเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเล่นหมากรุกอีกต่อไปแล้ว พ่อจะสอนหมากแบบใหม่ให้เจ้าเล่นแทน”
เนื่องจากเด็กทั้งสองได้เชี่ยวชาญการเล่นหมากรุกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันจึงไม่มีประโยชน์อะไรในการให้พวกเขาเล่นแต่หมากเดิม ๆ ต่อไป
จากกนั้นหลิงตู้ฉิงก็ได้เริ่มสอนหมากแบบใหม่ให้พวกเขาเล่น
“ท่านพ่อ จะสอนหมากแบบไหนให้พวกเราเล่นเหรอ?” สองพี่น้องถามขึ้นพร้อมกัน
“พ่อจะสอนให้พวกเจ้าเล่นหมากรุกเซียน แต่ก่อนอื่นพ่อต้องสร้างกระดานหมากให้พวกเจ้าใหม่ก่อน” เมื่อพูดจบหลิงตู้ฉิงเริ่มสร้างกระดานหมากใหม่จากวัสดุต่าง ๆ ที่มี่ตั้วตั้วเคยนำมามอบให้
เมื่อสร้างเสร็จ หลิงตู้ฉิงมองกระดานหมากใหม่เอี่ยมที่แผ่กลิ่นอายพลังวิญญาณออกมาด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะพวกเจ้าฟังให้ดี เกมหมากแบบใหม่นี้ พ่อจะให้เวลาพวกเจ้า 7 วันในการแข่งขันกัน ในระหว่างที่พวกเจ้าแข่งขันกัน 7 วันนี้พ่อเองก็จะให้คำชี้แนะกับพวกเจ้าไปด้วย แต่หากพ้น 7 วันไปแล้วพ่อจะเลิกชี้แนะทันที พวกเจ้าต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองหลังจากนั้น และที่สำคัญภายใน 7 วันที่พ่อกำหนด ใครที่สามารถเอาชนะได้มากที่สุด พ่อจะมอบกระดานหมากนี้ให้”
“เนื่องจากที่พวกเจ้ายังไม่สามารถบ่มเพาะได้ตอนนี้ พวกเจ้าจงใช้เวลาที่มีอยู่ฝึกฝนกลยุทธ์ด้วยการเล่นหมากไปก่อน พ่อขอบอกใบ้ให้แล้วกันว่ากระดานหมากอันนี้มันสามารถใช้ต่อสู้ได้ในอนาคต…”
เมื่อได้ยินว่ากระดานหมากอันนี้สามารถใช้ในการต่อสู้ได้ หลิงว่านจุนและหลิงยี่เทียนหูผึ่งทันที ดวงตาของเขาทั้งคู่ลุกโชนไปด้วยไฟแห่งความปรารถนาในชัยชนะ
หากพ่อของพวกเขาบอกว่ากระดานหมากนี้ใช้ต่อสู้ได้ มันจะต้องเป็นของวิเศษที่เยี่ยมที่สุดแน่นอน พวกเขาทั้งต่างมีความคิดตรงกันว่า ‘ข้าจะต้องได้มันมา!’
จากนั้นพวกเขาสามคนก็เริ่มผลัดกันเล่น โดยหลิงตู้ฉิงสอนจากการร่วมเล่นด้วย
มีกฎที่เปลี่ยนไปคือผู้ชนะจะได้รางวัล แต่กฎที่ยังคงเดิมคือผู้แพ้จะต้องวิ่งรอบลาน ซึ่งแน่นอนหลิงตู้ฉิงไม่เคยต้องไปวิ่งรอบลานเลย….
ตัดกลับมาที่สถาบันหงส์เพลิง
เวลานี้บรรดาศิษย์ที่อยู่ในสถาบันกำลังพูดถึงเทศกาลบูชาเพลิงกันอย่างออกรส
“เทศกาลบูชาเพลิงใกล้จะถึงแล้ว ปีนี้กฎของการประลองประจำเทศกาลปีนี้จะเป็นการส่งตัวแทนของแต่ละสถาบันเพียงไม่กี่คนให้มาเจอกัน!”
“พวกเราต้องตัดสินใจให้ดีว่าจะส่งใครไปเป็นตัวแทนของห้องเพื่อประลองกับห้องอื่น!”
เทศกาลบูชาเพลิงนั้นสืบเนื่องมาจากตำนานของเมืองฟินิกซ์
ตามตำนานได้มีการกล่าวไว้ว่า จุดที่เมืองฟินิกซ์ได้ตั้งอยู่นี้ เมื่อครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีนกฟินิกซ์ตัวหนึ่งกำเนิดใหม่ขึ้นจากเปลวเพลิงในบริเวณจุดเดียวกับจุดที่เมืองตั้งอยู่ เมื่อนกฟินิกซ์ตัวนั้นได้กำเนิดใหม่ขึ้นจากเปลวเพลิง มันได้แสดงอภินิหารบินพุ่งขึ้นไปยังสวรรค์ส่งผลให้ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงได้เห็นภาพอันน่าอัศจรรย์
เมื่อผู้คนในระแวกรอบ ๆ ได้เห็นเช่นนั้น พวกเขาจึงย้ายถิ่นฐานของตนเองมาที่บริเวณจุดที่นกฟินิกซ์กำเนิดใหม่ เพราะเชื่อว่าบริเวณนี้เป็นบริเวณศักดิ์สิทธิ์ที่นกฟินิกซ์เคยกำเนิดขึ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ได้มีผู้คนย้ายเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเมืองฟินิกซ์ในปัจจุบัน
เมืองฟินิกซ์นั้นจัดเทศกาลบูชาเพลิงขึ้นเป็นประจำทุกปี และในทุกปีจะมีการจัดประลองใหญ่ขึ้น ซึ่งกฎของการเข้าร่วมประลองจะคล้าย ๆ กัน คืออนุญาตให้เฉพาะเด็กที่อายุไม่เกิน 10 ปีเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าร่วมประลองได้
แต่ก็ไม่ใช่เด็กทุกคนจะเข้าร่วมได้เช่นกัน เด็ก ๆ ที่เข้าร่วมส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่มาจากสถาบันชั้นนำต่าง ๆ ในเมือง มีบ้างบางส่วนที่ไม่ได้มาจากสถาบัน ซึ่งเด็กเหล่านั้นจะต้องได้รับคำเชิญจากฝ่ายจัดงานเทศกาลโดยตรง
ในปีนี้กฎของการส่งผู้เข้าร่วมได้ถูกแจ้งออกมาแล้ว ซึ่งกฎที่ออกมาปีนี้ได้จำกัดจำนวนผู้ที่จะเข้าร่วมการประลองเป็นอย่างมาก แต่ละสถาบันสามารถส่งตัวแทนออกมาได้เพียงสถาบันละ 3 คนเท่านั้น เมื่อเผชิญกับกฎการคัดเลือกเช่นนี้จึงก่อให้เกิดการประลองภายในสถาบันเพื่อหาตัวแทนเข้าลงแข่งขันอย่างดุเดือด
“ข้าจะต้องเป็นตัวแทนของสถาบันให้ได้!” หวงหลิงซาน เด็กหญิงเมื่อตอนที่ทดสอบระดับรากฐานได้ระดับเหนือชั้นตะโกนด้วยความมั่นใจ ตั้งแต่ที่นางได้เข้าชั้นเรียนระดับเหนือชั้นของสถาบันหงส์เพลิง ความเร็วในการบ่มเพาะของนางจัดได้ว่าแซงหน้าเพื่อนร่วมชั้นของนางอยู่ไกลโข
“ไอ้หยา ข้าว่าข้าต้องไม่มีโอกาสแน่ ๆ เลย!” มี่ยี่ถงตัดพ้อด้วยอารมณ์หดหู่ ตอนนี้มี่ยี่ถงนั้นอยู่เพียงขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 2 ระดับของเขาอยู่ห่างไกลจากพวกหัวกะทิอย่างหวงหลิงซานเป็นอย่างมาก
พวกเด็ก ๆในสถาบันกำลังพูดคุยกันอย่างดุเดือดเรื่องใครจะได้รับเลือกให้ไปเป็นตัวแทนในการประลอง จากนั้นจู่ ๆ ก็มีเสียงเด็กคนหนึ่งลอยขึ้นมา “เฮ้! เจ้าจำไอ้เด็กเมื่อตอนทดสอบเข้าสถาบันได้ไหม ที่มันชื่ออะไรนะ…เอ่อ…หลิง…หลิงยู่ชานน่ะ ที่วันนั้นที่พ่อมันพามันกลับไปโดยที่บอกไว้ว่าจะพาลูกมันกลับไปสอนเองน่ะ ข้าล่ะอยากจะรู้จริง ๆ ว่าคนอย่างมันจะไปฝึกได้ยังไง!”
เมื่อทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นได้ยินชื่อของหลิงยู่ชานลอยเข้าหู พวกเขาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที
โดยเฉพาะคำพูดที่หลิงตู้ฉิงเคยกล่าวเอาไว้ก่อนจากไปวันนั้นยังฝังตราตรึงใจพวกเขามาจวบจนวันนี้
พวกเขาที่สามารถเข้ามาอยู่ในสถาบันได้ กลับถูกหลิงตู้ฉิงเรียกว่า ‘ขยะ’ ทั้ง ๆ ที่ลูกของตัวเองไม่สามารถผ่านการทดสอบของสถาบันได้แท้ ๆ
หวงหลิงซานตะโกนสวนด้วยอารมณ์โมโหทันที “พวกเจ้าจะไปพูดถึงชื่อนั้นทำไม! แม้แต่ตัวมันเองยังไม่สามารถผ่านการทดสอบได้แถมพ่อของมันยังทำร้ายอาจารย์ของสถาบันอีก อย่าได้เอาคนแบบนั้นมาเปรียบเทียบกับพวกเราเด็ดขาด!”
“อีกอย่างข้าได้ยินว่าพวกอาจารย์คุยกันว่าในตอนนั้นพ่อของหลิงยู่ชานมันอยู่แค่ขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 2 เท่านั้น แต่ตอนนี้แม้แต่ข้าเองยังอยู่ในขอบเขตหลอมรวมลมปราณระดับ 7 แล้ว คนไร้ความสามารถเช่นมันจะไปสั่งสอนอะไรใครให้ได้ดิบได้ดี ได้กัน”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าหลิงยู่ชานสามารถบ่มเพาะได้แล้วนะ” เสียงของคนที่เอ่ยชื่อหลิงยู่ชานในตอนแรกดังขึ้นมาอีกครั้ง
ด้วยความสงสัยทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นจึงหันไปหาต้นทางของเสียง
“หูเสี่ยวฮุย ข้าจำได้ว่าพ่อของเจ้าเป็นทหารอยู่ในจวนเจ้าเมืองนี่ เจ้ารู้อะไรดี ๆ มาใช่ไหม?” หวงหลิงซานเอ่ยถาม
หูเสี่ยวฮุยพยักหน้าพร้อมกล่าวตอบ “ท่านพ่อของข้าเล่าให้ข้าฟังเองว่าไอ้หลิงยู่ชานตอนนี้มันสามารถฝึกฝนได้แล้ว ข้าล่ะอยากเจอมันมากเลย ข้ายังจำตอนที่พ่อของมันดูถูกพวกเราได้อย่างชัดเจน ข้าอยากจะรู้จริง ๆ หากพวกเราสามารถอัดมันจนจมดินได้แล้วพ่อของมันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
หวงหลิงซานเมื่อได้ยินเช่นนั้นนางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึงแล้วกล่าวขึ้น “แต่หลิงยู่ชานคนนี้ มันไม่ได้อยู่ในสถาบันเรา แล้วพวกเราจะไปอัดเขาได้ยังไง?”
“ข้าก็อยากจะอัดเขาเหมือนกัน!” คนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับหวงหลิงซานตะโกนเสริม
หูเสี่ยวฮุยหัวเราะ “นั่นไม่ยากเลย ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่ในสถาบันของเรา แต่ไม่มีกฎข้อไหนของการประลองเทศกาลบูชาเพลิงที่ห้ามไม่ให้คนนอกเข้าร่วม พวกเราเพียงแค่ไปยื่นคำท้าให้มันมาสมัครเพื่อเข้าร่วมการประลองในเทศกาล จากนั้นเราก็ลุ้นให้มันผ่านรอบคัดเลือกเข้ามาเท่านี้พวกเราก็จะได้อัดมันแล้ว!”
“แต่ข้าเกรงว่ามันจะไม่กล้ามาสมัครน่ะสิ!” บรรดาพวกที่อยู่รอบ ๆ ได้ตะโกนสวนมา
“เรื่องนี้ง่ายมาก พวกเราเพียงเขียนจดหมายท้าประลองขึ้นมา แล้วจากนั้นพวกเราก็ไปยั่วยุส่งคำท้ามันถึงหน้าบ้าน! ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนหากมันไม่กล้ารับคำท้าของพวกเรา!” หูเสี่ยวฮุยกล่าวยั่วยุด้วยความสะใจ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นบรรดาศิษย์สถาบันหงส์เพลิงตะโกนปลุกใจกันยกใหญ่ “ดี! งั้นพวกเราทำตามนั้น เมื่อเขียนเสร็จพวกเราไปหามันถึงหน้าบ้านกันเลย!”